ก่อนจะออกจากมิติจึงอาบน้ำแปรงฟัน ถึงแม้่ที่นอนป่วยจะมีมารดาและเสี่ยวหลานคอยเช็ดตัวให้ก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกเหนียวตัวอยู่ดี หลังออกมาจากมิติก็กลับมาอยู่บนเตียงเช่นเดิม
‘ข้าเข้าไปในมิติตั้งนานพอออกมาเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน ยอดเยี่ยมจริง ๆ’
ผ่านไปหลายวันหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา จนร่างกายดีขึ้นมากซินเยว่จึง้าพูดคุยกับมารดาอย่างจริงจังเสียที
“ท่านแม่เ้าคะ ทำไมพวกเราต้องทนอยู่ที่จวนแห่งนี้ด้วย ความเป็อยู่ของพวกเราสามคน ไม่ต่างจากบ่าวไพร่ในจวนเลยนะเ้าคะ งานก็ต้องทำทุกอย่างเบี้ยหวัดไม่เคยได้รับ แม้แต่จะออกไปนอกจวนก็ยังไม่ได้น่าโมโหชะมัด”
“เยว่เอ๋อร์แม่ขอโทษที่ทำให้เ้าต้องลำบาก แม่สัญญาต่อไปแม่จะปกป้องเ้า และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเ้าได้” ลี่หลินกล่าวพร้อมน้ำตา
“ท่านแม่ท่านยังรักบุรุษผู้นั้นอยู่หรือไม่เ้าคะ”
“เยว่เอ๋อร์! เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นเล่า นั่นคือท่านบิดาของเ้านะ” ลี่หลินมีสีหน้าใที่ได้ยินบุตรสาว เรียกบิดาด้วยคำว่าบุรุษผู้นั้น แทนที่เด็กสาวจะเรียกเขาว่าท่านพ่อ
“ั้แ่ท่านถูกไล่ให้มาอยู่เรือนท้ายจวน ก็ไม่เคยมาหาทั้งยังไม่มีความสนใจใยดีต่อข้า ไม่เคยให้ความรักหรือการอุ้มข้าสักครั้งก็ไม่เคย เขาเป็คนหูเบาเชื่อคนง่ายบุรุษเช่นนั้นข้าไม่ขอนับว่าเป็พ่อเด็ดขาด”
ซินเยว่พูดด้วยความโมโห เป็ถึงรองเ้ากรมสำนักตรวจการแต่โง่เง่าไม่ทันมารยาสาไถของสตรี จะให้ยอมรับว่าเป็พ่อของนางได้เช่นไรกัน ซินเยว่แอบหยิกต้นขาตนเองให้มีน้ำตา เพื่อเรียกความสงสารจากมารดา
“แม่หมดรักบิดาของเ้า ั้แ่แม่รู้ว่ามีเ้าแล้วล่ะความรักของแม่มีให้เ้าเท่านั้น เ้าเป็ทุกสิ่งในชีวิตของแม่”
“ท่านแม่ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราออกไปหาที่อยู่ในเมืองอื่นดีหรือไม่เ้าคะ” ซินเยว่ยังคงหยิกขาตนเองให้มีน้ำตาต่อไป
“ที่เ้าพูดมาหมายความว่า...” อันที่จริงนางก็เริ่มคิดตามเมื่อได้ยินคำถามของบุตรสาวแล้ว นางเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เช่นกัน ที่ผ่านมานางช่างโง่งมทนอยู่มาได้อย่างไรตั้งหลายปี
“ข้าอยากให้ท่านแม่ตัดขาดกับบุรุษผู้นั้นและออกไปจากจวนแห่งนี้ เพื่อเริ่มต้นใหม่นั่นถึงจะเป็การปกป้องข้า ขอท่านแม่โปรดเชื่อใจข้าพวกเราอยู่ได้ข้าจะหาเงินเลี้ยงดูท่านแม่เองเ้าค่ะ” พร้อมทำท่าตบไปที่หน้าอกของตนเอง และจ้องมองมารดาที่มีสีหน้ากังวลนิดหน่อย
ลี่หลินกลั้นขำกับท่าทางจริงจังของซินเยว่ ที่ดูจะห่างไกลจากคำว่าสตรียิ่งนัก “เหตุใดเ้าถึงมีท่าทีมั่นใจเช่นนั้นเล่าเยว่เอ๋อร์”
“พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน สินเดิมที่มีติดตัวของแม่ก็ขายออกไปหมดแล้ว รายได้ที่มีอยู่ก็มาจากการปักผ้าขาย แต่มันคงไม่พอเป็ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพวกเราหรอกนะ” ลี่หลินบอกถึงปัญหาเื่เงินทองกับบุตรสาว
ซินเยว่จำได้ว่าเงินทองที่ได้ จากการทยอยขายสินเดิมของมารดา หมดไปั้แ่นางอายุได้ห้าหนาวแล้ว ส่วนที่ใช้หลังจากนั้นได้มาจากการปักผ้าของมารดา ซึ่งมีเสี่ยวหลานที่แอบเอาไปขายในตลาด
“การจะออกจากที่นี่อย่างไรให้เป็หน้าที่ของข้า ส่วนจะไปอยู่ที่ไหนข้าไว้ใจท่านแม่ เพราะเมื่อก่อนท่านแม่ก็เดินทางติดตามท่านตา ไปค้าขายต่างเมืองมิใช่หรือเ้าคะ น่าจะพอมีเมืองที่การค้าขายคึกคักพอสมควร แม้ไม่อาจเทียบกับเมืองหลวงแต่การค้าก็ไม่ซบเซาจนเกินไปเ้าค่ะ”
ลี่หลินรู้สึกหนักใจกับคำถามนี้ของซินเยว่ เพราะเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยรู้ข่าวคราวว่า หัวเมืองที่เคยไปเป็เช่นไรในยามนี้ “แม่เองมาอยู่ที่จวนแห่งนี้สิบปีแล้ว เมืองที่เคยไปอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่นนั้นแม่จะให้เสี่ยวหลานออกไปถามข่าวของเมืองต่าง ๆ ให้เ้าก็แล้วกัน”
หากเสี่ยวหลานได้ยินนางคงจะดีใจมาก เพราะนี่เป็งานถนัดในการสืบข่าวหลอกถามพูดคุยกับผู้คน การออกไปแต่ละครั้งของเสี่ยวหลานมีครั้งไหนบ้างที่นางทำไม่สำเร็จ
“เ้าค่ะท่านแม่ ข้ายังมีอีกเื่ที่อยากบอกท่าน เื่นี้จะมีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่รู้เ้าค่ะ ในตอนที่ข้าหลับไปนั้นดวงจิตของข้าได้หลุดออกจากร่าง แต่โชคดีที่ได้ท่านเทพช่วยไว้ ท่านเทพดูแลดวงจิตของข้าอย่างดี
ทั้งยังอบรมสั่งสอนฝึกวิชาความรู้ให้มากมาย ข้านอนหลับไปสามวันแต่เวลาที่ดวงจิตข้าไปฝึกกับท่านเทพกลับเป็เวลาถึงสามปี เมื่อดวงจิตของข้ากลับมาเข้าร่างอีกครั้งทำให้ความคิดของข้า ไม่ใช่เด็กอายุสิบหนาวแล้ว และท่านเทพยังได้มอบของวิเศษให้ข้า นำติดตัวมาหลายอย่างด้วยเ้าค่ะ” ซินเยว่แสร้งหลับตาและแบมือออก นางนึกถึงกระจกที่พับได้ชั่วพริบตามันก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
ซินเยว่แอบหรี่ตามองมารดา ที่กำลังใอ้าปากค้างอยู่ข้าง ๆ ตนเอง ก็แทบกลั้นขำไว้เกือบไม่ไหว แต่นางจำเป็ต้องนิ่งเข้าไว้เพื่อให้มารดาเชื่อว่า สิ่งที่นางพูดออกมาล้วนมิใช่เื่โกหก
