พอเก็บกระบี่เข้าฝักแล้ว ไป๋หานก็กวาดตามองรอบๆ ก่อนเดินจากไป
หนีเจียเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันไปมองโจวชิงหวา พลางยกยิ้มบางๆ “ชิงหวา พวกเรารอดแล้วนะ เ้าต้องแข็งใจเอาไว้ ข้าจะพาไปหาหมอให้เร็วที่สุด!”
จากนั้นก็พยายามแบกร่างอีกฝ่ายขึ้น และเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้อย่างทุลักทุเล ดวงตาอันอ่อนล้า พลันมองเห็นแสงไฟจากคบเพลิงอยู่ไกลๆ ไม่ทันรู้แน่ชัด ว่าจะเป็ของคนสำนักฝูเซิงหรือไม่ สติของนางก็ดับวูบไป
...
ตอนเที่ยง ในวันถัดมา
หนีเจียเอ๋อร์สะดุ้งตื่น พลางมองสถานที่อันแปลกตาด้วยความตื่นตระหนก ภาพสุดท้ายที่จำได้ ก็คือกลุ่มคบเพลิง...
หรือว่าพวกตนจะถูกคนของสำนักฝูเซิงจับตัวมา?
โจวชิงหวาที่กำลังาเ็สาหัส ก็มิได้อยู่ด้วย... ใจของหนีเจียเอ๋อร์พลันหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
นางลุกขึ้นสวมรองเท้าอย่างเร่งรีบ แล้ววิ่งออกไปจากห้องนอน
เมื่อออกมาข้างนอก ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีคนเฝ้ายามเช่นที่คิด...
อะไรกัน! เว่ยฉีหรานมิได้สั่งให้ศิษย์คอยจับตาดูนางเอาไว้หรอกหรือ?
“แม่นาง ท่านฟื้นแล้วหรือ?”
ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงหวานของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น หนีเจียเอ๋อร์หันไปมอง ก็พบเข้ากับหญิงสาวในชุดสีเขียวน้ำทะเล ท่าทางใจดีผู้หนึ่ง
หากแต่รอยยิ้มบางๆ และแววตาอ่อนโยน ก็ไม่อาจทำให้นางไว้วางใจคนตรงหน้าได้ หนีเจียเอ๋อร์ถอยเท้า ก่อนสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ...
แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่น เมื่อพบว่าบัดนี้ ตนมิได้สวมอาภรณ์บุรุษเช่นก่อนหน้า หากแต่อยู่ในชุดสตรีสีฟ้าอ่อนแทน
หนีเจียเอ๋อร์ตวัดสายตามอง “ท่านเป็ใคร?”
ใบหน้าอ่อนหวานยังคงแย้มยิ้ม ขณะตอบอย่างอ่อนโยน “อย่ากลัวไปเลย ข้าหาได้เป็คนเลวเช่นที่ท่านคิด ข้าคือนักแสดงในคณะงิ้ว นามเหมยอี่เหลียน ข้าบังเอิญพบพวกท่านทั้งสองนอนหมดสติอยู่ระหว่างทางกลับจากเมืองหลวงน่ะ”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “แต่จนถึงตอนนี้ เพื่อนของท่านยังไม่ได้สติเลย อาการของเขาคงจะสาหัสเอาการ”
หนีเจียเอ๋อร์กวาดสายตาสำรวจหญิงสาวตรงหน้า แล้วจึงมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าที่อีกฝ่ายเอ่ยมาเป็ความจริง ก็โค้งตัวขอโทษขอโพย “ต้องขออภัยด้วย ที่แสดงท่าทีไม่สุภาพ ขอบคุณแม่นางเหมยที่ช่วยพวกเราไว้ ท่านพอจะพาข้าไปพบเขาหน่อยได้หรือไม่?”
นางกล่าว พลางจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า... เหมยอี่เหลียน จาก ‘คณะงิ้วสกุลเหมย’ ถือว่าเป็นักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงในแคว้นฉีหลาน อาจจะด้วยเครื่องแต่งกาย จึงทำให้จำอีกฝ่ายไม่ได้ โชคดีที่หนีเจียเอ๋อร์เคยชมการแสดงของสตรีผู้นี้มาก่อน
“ไม่เป็ไร ข้าก็แนะนำตัวเองช้าไปหน่อยเช่นกัน” เหมยอี่เหลียนนำทางไปยังลานกว้าง “ว่าแต่ ท่านเป็ใครหรือ? แล้วผู้ใดกันที่กำลังไล่ล่าพวกท่าน?”
เพื่อลดปัญหาที่ไม่จําเป็ หนีเจียเอ๋อร์จึงเลี่ยงที่จะตอบคำถาม “ต้องขออภัยด้วย ตอนนี้ข้ายังไม่อาจตอบคำถามของท่านได้”
ทุกคนบนโลกใบนี้ ย่อมมีเื่ที่ไม่สามารถพูดได้ เหมยอี่เหลียนจึงพยักหน้าเข้าใจ และไม่เซ้าซี้ถามอีก
“หากไม่สะดวกจะบอกก็ไม่เป็ไร พวกท่านพักฟื้นจนกว่าจะหายเถอะ ถึงตอนนั้น หากจะเดินทางต่อข้าก็ไม่ห้าม”
“ขอบคุณแม่นางเหมยที่เมตตา และเข้าใจข้าเ้าค่ะ!” หนีเจียเอ๋อร์เอ่ย
เหมยอี่เหลียนส่งยิ้มบางๆ ให้
หนีเจียเอ๋อร์จึงพูดต่อ “เช่นนั้น แม่นางเหมยก็เรียกข้าว่า ‘อาหนี’ ส่วนพี่ชายข้า ท่านเรียกเขาว่า ‘อาหวา’ ก็แล้วกัน”
เหมยอี่เหลียนคลี่ยิ้ม “ได้! เช่นนั้น อาหนีก็อย่าเรียกข้าว่าแม่นางเหมยเลย เรียกข้าว่าพี่เหมยเถอะ”
“พี่เหมย…” หนีเจียเอ๋อร์กล่าว
เหมยอี่เหลียนยกยิ้มกว้าง ทำให้นางดูสดใส จนหนีเจียเอ๋อร์พลอยรู้สึกดีไปด้วย
นางไม่คิดเลย ว่าเหมยอี่เหลียนผู้นี้ จะเป็สตรีที่มีรอยยิ้มงดงามถึงเพียงนี้
ทั้งสองเดินเข้าไปในลานกว้าง ก่อนเหมยอี่เหลียนจะชี้ไปยังประตูตรงหน้า “อาหนี พี่ชายของเ้าพักฟื้นอยู่ที่ห้องนั้น เ้าเข้าไปดูแลเขาเถอะ หากมีอะไรให้ช่วย ก็ไปหาข้าที่ห้องซ้อมได้” นางกล่าว พลางชี้ไปอีกทางหนึ่ง
หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้า “เช่นนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”
เหมยอี้เหลียนโบกมือให้ และเดินแยกไปอีกทาง โดยมีหนีเจียเอ๋อร์มองตามหลังไปจนสุดสายตา
แต่ก่อนที่นางจะผละไป ก็ยังไม่ลืมกำชับบ่าวรับใช้ ให้หาอาหารและน้ำมาให้อีกฝ่ายด้วย
...
เมื่อเข้ามาด้านใน หนีเจียเอ๋อร์ก็ลอบสำรวจไปรอบห้อง พบว่าค่อนข้างมืดทึบ มีแสงสว่างรำไรเท่านั้น ทั้งยังตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยาน
หนีเจียเอ๋อร์เดินตรงไปเปิดหน้าต่าง เพื่อไล่กลิ่นกำยาน ก่อนสำรวจอาการาเ็ของโจวชิงหวาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
พบว่าอาการาเ็ของเขาสาหัสกว่าที่คิด หญิงสาวยกมือขึ้นอังหน้าผาก เมื่อเห็นว่าไข้ลดลงกว่าเมื่อวานก็วางใจ
นี่เป็อีกครั้ง ที่โจวชิงหวาต้องมาาเ็เพราะตน...
ขณะกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ ประตูห้องก็เปิดออก แล้วบ่าวรับใช้ก็เดินเข้ามา พร้อมถ้วยยาที่ยังคงขึ้นควันกรุ่น
หนีเจียเอ๋อร์ตรวจดู พบว่าเป็เพียงยาลดไข้เท่านั้น มิได้มีผลต่อการรักษาาแของเขา
แม้ไข้จะลดลงแล้ว แต่หากาแยังไม่ทุเลาลงเช่นนี้ จะต้องเป็อันตรายแน่ หญิงสาวจึงไปพบเหมยอี่เหลียน เพื่อขอยืมเงินไปซื้อยามารักษาาแให้โจวชิงหวา
ซึ่งอีกฝ่ายก็แสดงความใจกว้าง หยิบเงินยี่สิบตำลึงออกมายื่นให้ โดยไม่ปริปากถาม
แน่นอนว่า หากเป็ยาสามัญทั่วไป เงินยี่สิบตำลึงคงจะซื้อได้ไม่น้อย แต่ยาที่หนีเจียเอ๋อร์้า กลับมีราคาสูงกว่ายี่สิบตำลึงนี่สิ...
ดูจากสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว ใช่ว่าคณะงิ้วสกุลเหมยจะร่ำรวยมากมาย หนีเจียเอ๋อร์จึงไม่อยากรบกวนเหมยอี่เหลียนอีก แต่ชีวิตของโจวชิงหวาก็สำคัญ ดังนั้น นางจึงคิดจะนำเครื่องประดับที่พกติดตัวมาไปขายแทน
หลังจากดื่มยาไปสองสามวัน แทนที่โจวชิงหวาจะอาการดีขึ้น แต่กลับดูเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ หนีเจียเอ๋อร์จึงเริ่มกังวล คิดว่าเป็เพราะความรู้ทางการแพทย์ของตนมิได้เื่ และอาจจ่ายยาไม่ถูกโรค นางจึงยอมขายป้ายหยก เพื่อเชิญแพทย์ฝีมือดีมารักษาเขา
ทว่าเมื่อหมอมาตรวจ ก็ยังคงไร้ซึ่งหนทางรักษา เพราะแม้แต่แพทย์ผู้นั้นก็งุนงง ไม่ทราบสาเหตุของอาการ แม้จะตรวจอยู่เป็นานก็ตาม...
หนีเจียเอ๋อร์เริ่มใจเสีย เมื่อเห็นว่าแม้แต่หมอมากฝีมือก็ไม่ยังอาจรักษาชายหนุ่มได้ นางจึงเฝ้าดูอาการของโจวชิงหวาทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมห่าง
พอมองร่างอันไร้สติของชายหนุ่ม หนีเจียเอ๋อร์ก็ยกมือกุมขมับ พยายามครุ่นคิดหาหนทางที่จะช่วยเขา
แต่ก็มืดแปดด้าน ด้วยไร้หนทางจะรักษา...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้