กู้จวิ้นเฉินส่งเสียงฮึ มือนั้นอดไม่ไหวจึงบีบลงไปที่จมูกของหลี่ลั่ว “เ้าฉลาดยิ่งนัก รู้จักใช้ประโยชน์จากเสด็จอา”
“ข้าเปล่าทำนะขอรับ” หลี่ลั่วมองซ้ายมองขวา หากถูกผู้อื่นได้ยินเข้า แล้วรู้ไปถึงหูฝ่าาละก็ เขาก็จะไม่มีที่ยืนแล้ว
“องครักษ์ในวังหลวงเข้มงวดนัก ต่อให้เป็องครักษ์เงาก็เข้ามาไม่ได้ เ้าไม่ต้องกังวล” กู้จวิ้นเฉินบอกเขาตามตรง
“องครักษ์เงาก็เข้ามาไม่ได้? เช่นนั้นหากเกิดปัญหามีอันตรายจะทำเช่นใดเล่าขอรับ?” หัวใจดวงน้อยของหลี่ลั่วรู้สึกกลัว ในวังมักจะเกิดเื่น่าเศร้ามากมาย ชีวิตน้อยๆ ของเขาไม่มีผู้คุ้มกันเขาตายได้ตลอดเวลา
“ข้าให้พ่อบ้านกู่นำองครักษ์ของเ้าที่รออยู่หน้าประตูวังเข้ามาแล้ว ป้ายอาญาสิทธิ์ที่พวกเขาห้อยไว้ข้างเอวเป็ของจวนฉีอ๋อง ระวังหน่อย อย่าได้ก่อความเดือดร้อนให้ข้า” กู้จวิ้นเฉินบอกกล่าวกับเขา
เฮอะ ทั้งๆ ที่เป็ห่วงตนเองแท้ๆ หลี่ลั่วคิดอย่างได้ใจเล็กน้อย กู้จวิ้นเฉินผู้นี้อะไรล้วนดีไปเสียหมด เพียงแต่ไม่ค่อยยอมรับความจริง แต่การไม่ยอมรับความจริงก็เป็รสชาติอย่างหนึ่ง เขายังยอมรับอย่างแกนๆ
“ก้นของเ้าคันอีกแล้วใช่หรือไม่?” เห็นหลี่ลั่วมีท่าทางราวกับจะลอยได้ กู้จวิ้นเฉินจึงรู้ว่าเขาคิดเตลิดไปไกลแล้ว
ก้นของหลี่ลั่วเกร็งขึ้นมาในทันใด
คนทั้งสองกินของกินเล็กน้อยในศาลา พ่อบ้านกู่นำหลี่ฉางเฉิงเข้าวังมาแล้ว ตลอดทางพ่อบ้านกู่นำหลี่ฉางเฉิงเดินอ้อมไปอ้อมมาไม่น้อย ทำให้หลี่ฉางเฉิงคิดว่าพ่อบ้านกู่กำลังทำให้เขาลำบากใช่หรือไม่?
แต่สุดท้ายพ่อบ้านกู่ถามมาหนึ่งประโยค “ความจำของเ้าดีหรือไม่?”
หลี่ฉางเฉิงเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง ที่แท้พ่อบ้านกู่กำลังพาให้เขารู้จักเส้นทาง
“ฝ่าากำชับมา เ้าต้องเข้าวังมาเป็เพื่อนเสี่ยวโหวเหฺย รู้จักเส้นทางมากสักหน่อยจึงจะเป็การดี” พ่อบ้านกู่พูดอีก
หลี่ฉางเฉิงเข้าใจแล้ว ฉีอ๋องจัดการเื่ราวใดๆ เขาล้วนมีเหตุผล แต่ถูกต้องจริงดังว่า อยู่ในวังหลวงรู้จักเส้นทางมากหน่อยย่อมเป็การดี
รอหลี่ลั่วกินอิ่มเพียงสามส่วน กู้จวิ้นเฉินให้คนยกของว่างออก “พอสมควรแล้ว ไปเถิด”
“อื้ม” เมื่อหลี่ลั่วถูกกู้จวิ้นเฉินจูงมือเดินออกมาจากศาลานั้นก็เห็นหลี่ฉางเฉิง “ฉางเฉิง เ้ามาถึงแล้ว”
“ข้าน้อยคารวะโหวเหฺย ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินพยักหน้า
หน้าประตูได้เตรียมเกี้ยวเอาไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยขาเล็กๆ ของหลี่ลั่วคงเดินไม่ถึงงานเลี้ยงเป็แน่ กู้จวิ้นเฉินขึ้นเกี้ยวไปก่อน จากนั้นยื่นมือออกมา ชั่วขณะหนึ่งหลี่ลั่วรู้สึกราวกับกำลังอยู่ในห้วงเวลาของพิธีแลกแหวนแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์ ยื่นมือของตนให้แก่เขา
“ข้าตื่นเต้นเล็กน้อย” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้นมากะทันหัน
กู้จวิ้นเฉินกุมมือของเขาแน่น “เพราะเหตุใด?” เ้าสารเลวตัวน้อยนี่มิใช่ว่าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินไม่ใช่หรือ? ไฉนจู่ๆ จึงตื่นเต้นได้เล่า?
หลี่ลั่วส่ายหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าหลังจากวันนี้ไป ข้าก็คือพระชายาของฉีอ๋องแล้ว บนร่างกายของข้ามีสัญลักษณ์ของท่าน แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายเช่นวันนี้ แล้วยัง การกระทำของท่านที่ประตูไท่เหอ”
“ผิดแล้ว” กู้จวิ้นเฉินพูดขึ้นเสียงเย็น “ก่อนหน้าวันนี้เ้าก็ได้มีสัญลักษณ์ของข้าบนตัวเ้าแล้ว”
หืม...ฉีอ๋องกลับพูดได้เป็คุ้งเป็แคว
กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว “หรือว่าเ้าอับอายเช่นนั้นรึ?”
พูดราวกับว่าเป็ตนที่ทอดทิ้งเขา ช่างไหลลื่นดีแท้ หลี่ลั่วรีบส่ายหน้า กลัวว่าพูดจาไม่เข้าหูคำเดียวฉีอ๋องก็จะเอาก้นของเขามาข่มขู่ “ข้า...แค่ตื่นเต้นขอรับ”
“อย่ากลัว” กู้จวิ้นเฉินกุมมือของเขาเอาไว้ พูดเพียงสองคำ ทว่าหลี่ลั่วกลับรู้สึกได้จากฝ่ามือของเขา เป็ความอบอุ่นที่ค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามาในหัวใจ ที่จริงแล้วมือที่กุมมือของเขาไม่ได้ใหญ่เท่าใดนัก มือของหนุ่มน้อยอายุสิบสามปี เหมือนมือของคนในวัยเดียวกัน หลี่ลั่วก้มลงไปดู นิ้วมือของกู้จวิ้นเฉินเรียวยาว กลางฝ่ามือมีปุ่มด้านจากการฝึกยุทธ์เป็เวลายาวนาน แต่ต่อให้เป็เช่นนี้ก็ยังดูออกว่าเ้าของมือนี้มาจากครอบครัวมั่งคั่ง
มองไล่ไปเรื่อยๆ จากนิ้วมือ ลำดับแรกคือคางของกู้จวิ้นเฉิน สันกรามของเขาเต็มแน่น อย่างที่เห็นได้ในยามปกติทุกวันว่าเขาเข้มงวดเพียงใด ไล่ขึ้นไปอีกเป็ริมฝีปากที่เม้มแน่น สีของริมฝีปากจางๆ ด้วยเหตุที่ในยามปกตินั้นเขาพูดจาน้อยมาก สันจมูกโด่งเป็สัน ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ได้ยินหลี่จงิบอกว่าเขาและไท่จื่อเยี่ยนเหมือนกันมาก เช่นนั้นแสดงว่ายีนของไท่จื่อเยี่ยนดียิ่งนัก
ดวงตาทั้งคู่ลุ่มลึก ทว่ากลับอ่านออกทะลุปรุโปร่ง ขอเพียงมีใจก็พอ รับรู้ได้ถึงสายตาจับจ้องของหลี่ลั่ว กู้จวิ้นเฉินหลุบตาลงต่ำ มองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง ที่จริงแล้วกู้จวิ้นเฉินไม่ชอบพูดจา แต่ดูเหมือนหลี่ลั่วจะอ่านออกถึงความหมายในดวงตาอันสงบนิ่งของเขา
หลี่ลั่วฉีกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ฉีอ๋องหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่งขอรับ”
กู้จวิ้นเฉินมองเขาแต่ไม่เอ่ยอันใด แต่ฐานะของเขาสูงส่ง ไม่เคยมีใครพูดจาเยินยอเขาต่อหน้าเช่นนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่ถูกหลี่ลั่วเกี้ยวพานเขา ติ่งหูของเขาจะค่อยๆ แดงขึ้น
ที่จริงแล้ว ความรู้สึกของคนผู้นี้ต่อโลกใบนี้ ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก
อาจจะเป็เพราะว่าในขณะที่เขายังไม่รู้จักความรู้สึกเ่าั้ เื่ราวที่ได้ผ่านเข้ามากลับเ็ปแสนสาหัส จึงทำให้เขาปิดกั้นความรู้สึกของตนเอง ทว่าอยู่มาวันหนึ่งได้มีคนมาทำให้หัวใจน้ำแข็งของเขาค่อยๆ ละลายลง
กู้จวิ้นเฉินดึงสายตากลับไป ไม่มองหลี่ลั่วอีก แต่กุมมือของเขาไว้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย
หลี่ลั่วคิดในใจ เขาตื่นเต้นเช่นกันใช่หรือไม่?
เมื่อมาถึงหอลิ่วฉง ด้านในนั้นคึกคักยิ่งนัก หอลิ่วฉงเป็สถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพ ในยามปกติไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามา จะเปิดก็ต่อเมื่อต้องต้อนรับแขกต่างแคว้น หรืออาจจะเหมือนเช่นวันนี้ที่มีงานฉลองยิ่งใหญ่
“น้องหก” ยามที่หลี่ลั่วและกู้จวิ้นเฉินมาถึง ทั่วทั้งห้องโถงก็พลันเงียบเสียงไปชั่วขณะหนึ่งในทันที ต่อมาก็กลับกลายมาเป็ครึกครื้นขึ้นมา มีสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่พวกเขา มองมาดูองค์ชายฉีอ๋องไม่ก็หลี่เสี่ยวโหวเหฺย หรือไม่ก็มองมาที่มือของพวกเขาที่กำลังจับกุมกันอยู่ ทว่าในกลุ่มฝูงชนเ่าั้ผู้ที่เคยพบเห็นฉีอ๋องมาก่อนมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย วันนี้ได้พบเห็นแล้ว แน่นอนว่าหัวใจย่อมต้องสั่นไหว
ฉีอ๋องในวัยสิบสามปีมีรูปร่างสูงเพรียว เมื่อสวมใส่อาภรณ์ชินอ๋องในชุดหมั่งเผาจึงทำให้เขายิ่งดูสูงส่งสง่างามกว่าปกติ มีขุนนางาุโบางท่านที่เผลอคิดไปว่าได้เห็นไท่จื่อเยี่ยนในครั้งนั้น ไท่จื่อเยี่ยนผู้ที่มักจะมองพวกเขาด้วยสายตายิ้มๆ และหยอกล้อพวกเขาอยู่เสมอ
ครั้นในเวลาต่อมา์กลับอิจฉาวีรบุรุษผู้ปรีชาสามารถทำให้จากไปั้แ่ยังหนุ่ม
มีคนไม่น้อยดวงตาแดงก่ำ คนเ่าั้มากกว่าครึ่งเป็ขุนนางสำคัญข้างกายของไท่จื่อเยี่ยน จ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ กลับไม่ได้ป้องกันพวกเขา เพราะพวกเขาแต่ละคนล้วนเป็คนที่มากด้วยความสามารถอย่างแท้จริง
หนึ่งในนั้นก้าวขึ้นหน้ามา เป็ท่านข้าหลวงจากจวนว่าการนั่นเอง “ถวายบังคมฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ คารวะหลี่เสี่ยวโหวเหฺยขอรับ” เขาในวันนี้เขาช่างขวัญกล้านัก อาจเป็เพราะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและหลี่ลั่วนั้นนับได้ว่าไม่เลว มีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่บังเอิญได้พบกัน
“อืม” ฉีอ๋องรับคำอย่างเกียจคร้าน พูดออกมาเพียงคำเดียว
ทว่าหลี่ลั่วกลับเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี “ท่านใต้เท้าจวนว่าการ ไม่ได้พบท่านมาสักพักแล้ว ได้พบท่านที่นี่ข้ารู้สึกเป็กันเองยิ่งนัก ข้าเกรงว่ามาที่นี่แล้วจะไม่รู้จักผู้ใด ไม่มีผู้ใดคุยกับข้า”
ฟังคำพูดนี้แล้ว ราวกับว่าการมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพของฮ่องเต้นั้นมาเพื่อพบปะพูดคุยกันเท่านั้นเอง ผู้ที่ได้ยินคำพูดนี้รู้สึกจนปัญญา ใต้เท้าจวนว่าการจนปัญญายิ่งกว่า แต่เขายังคงต้องเสแสร้งทำเป็ดีอกดีใจและพูดว่า “หากเสี่ยวโหวเหฺยรู้สึกเบื่อหน่าย ข้าน้อยจะคุยเป็เพื่อนขอรับ”
เขาเพิ่งจะพูดจบ สายตาเ็าของกู้จวิ้นเฉินก็มองไปที่เขา และพูดขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “เ้าว่างรึ”
นี่มันหมายความว่าอันใดกัน? ฟังจากน้ำเสียงของฉีอ๋องแล้ว ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรผิดไป ใต้เท้าจวนว่าการรู้สึกลังเลใจ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาพูดผิดตรงไหน เสี่ยวโหวเหฺยกลัวคนแปลกหน้าตนเองจึงอาสาจะคุยด้วยก็เท่านั้นเอง?
มีคนได้ยินแล้วหัวเราะในใจ ใครใช้ให้เ้าไปประจบสอพลอเล่า ทำให้ฉีอ๋องหงุดหงิดรำคาญใจแล้ว
เหลือเกินจริงๆ งานฉลองวันพระราชสมภพฝ่าาเ้ากลับมาคุยกัน เสียแรงที่เ้าเป็ท่านข้าหลวงรั้งขุนนางตำแหน่งขั้นสาม
“ไม่ต้องแล้วขอรับ ขอบคุณท่านใต้เท้า ข้ามีท่านพี่ฉีอ๋องเป็เพื่อน” หลี่ลั่วยิ้มอ่อนหวาน แล้วแกว่งมือข้างที่จับมือของกู้จวิ้นเฉิน “ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านจะอยู่เป็เพื่อนข้า ใช่หรือไม่ขอรับ?”
กู้จวิ้นเฉินมองเขาแวบหนึ่งแล้วจูงมือเขาเดินไปข้างหน้า
นี่ท่านอ๋องกำลัง...หึงหวงใช่หรือไม่? ใต้เท้าจวนว่าการรีบส่ายหน้า เขาคิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป เด็กหนุ่มอายุสิบสามปีคนหนึ่ง กับเด็กชายน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง...ช่างดูเหมือนกำลังหึงหวง ดังเช่นของเล่นที่ตนเองชอบเล่นถูกแย่งไป ใต้เท้าจวนว่าการมองตามหลังของพวกเขาไปอย่างใจลอย
“น้องหก” หลี่ต้านหันหน้ามาโบกมือทักทายหลี่ลั่ว
หลี่เจ๋อจึงรีบเดินขึ้นหน้ามาด้วย หลี่เฉินจงกั๋วกงคนปัจจุบันก็มองเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน จึงเดินขึ้นหน้ามา
“ท่านลุง” หลี่ลั่วดึงมือของตนเองกลับมา เดินมาถึงเบื้องหน้าพวกเขา “ท่านพี่เจ๋อ ท่านพี่ต้าน” สายตามองไปรอบหนึ่ง ไม่เห็นร่างของเหล่ากั๋วกง “ท่านปู่ไม่มาหรือขอรับ?”
“ท่านปู่และท่านย่าสะใภ้ของเ้าล้วนไม่ได้มา” หลี่เฉินหันมายิ้มอย่างเมตตา แล้วคารวะตามธรรมเนียมมารยาทให้กู้จวิ้นเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่ลั่ว “ข้าน้อยถวายบังคมฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“หลี่เจ๋อถวายบังคมฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าา” หลี่ต้านไม่ได้แสดงการคารวะ หากแต่เรียกด้วยความเคารพ ความสัมพันธ์ภายนอกของพวกเขานั้นเป็นายและสหายเรียน แต่ความจริงแล้วเป็เหมือนดั่งพี่น้อง หลี่ต้านเป็คนใจกว้างไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เป็ใหญ่
“จงกั๋วกงไม่ต้องมากธรรมเนียมมารยาท” กู้จวิ้นเฉินอยู่ต่อหน้าผู้อื่นถือว่าพูดจามากกว่าปกติแล้ว แม้น้ำเสียงจะฟังดูแล้วเ็าอยู่มากทว่านับว่าเกรงใจ “ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับซื่อจื่อคนใหม่”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพี่ฉีอ๋อง ข้าคุยกับท่านลุงและพวกเขาสักครู่ อีกสักประเดี๋ยวจะไปหาท่านนะขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว
กู้จวิ้นเฉินพยักหน้า เดินไปทางที่นั่งของตน
หลังจากหลี่ลั่วและหลี่เฉินรวมไปถึงคนอื่นได้กล่าวทักทายกันแล้ว จึงมองเห็นคนของสกุลหยาง บิดาของหลี่หยางซื่อรั้งตำแหน่งฮ่านหลินขั้นสี่ วันนี้เป็งานฉลองวันพระราชสมภพฮ่องเต้ เขาย่อมมาด้วย หยางเหล่าฮ่านหลินเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน แต่ด้วยความที่ฐานะและวัยของทั้งสองแตกต่างกันมาก หากให้เขาขึ้นหน้ามาทักทายหลี่ลั่ว จะทำให้ดูเหมือนเกินเลยอยู่สักหน่อย แต่กับสกุลหลี่นั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามีความสัมพันธ์ทางสายเื อีกทั้งเมื่อสักครู่ฉีอ๋องยังอยู่ข้างกายหลี่ลั่ว
หลี่ลั่วเดินไปหาหยางเหล่าฮ่านหลิน กลุ่มคนในงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพฮ่องเต้นั้นแบ่งออกมาอย่างชัดเจน เช่น หยางเหล่าฮ่านหลิน ฮ่านหลิน และอวี้สื่อนั้นเหมือนกัน ล้วนมาจากครอบครัวที่ยากจน ดังนั้นโดยส่วนใหญ่ฮ่านหลินและอวี้สื่อจะจับกลุ่มพูดคุยกันเสมอ ส่วนหลี่เฉินและคนอื่นๆ จะอยู่กับครอบครัวขุนนางด้วยกัน หลี่เจ๋อและหลี่ต้านล้วนอยู่กับคุณชายครอบครัวขุนนาง ฐานะเช่นเดียวกับพวกถังลิ่งและฉินเยวี่ยเหวิน
“ท่านตา” หลี่ลั่วมาถึงเบื้องหน้าหยางเหล่าฮ่านหลินเพื่อทักทาย