หลิวเต้าเซียงกล่าวดังนั้นพร้อมกับยื่นนิ้วออกมานับ ไก่ของตนที่เลี้ยงไว้ที่บ้านป้าหลี่ นั่นคือรายรับเต็มอัตรา หากว่าปีนี้เลี้ยงได้ดี ปีหน้าค่อยเลี้ยงเพิ่มอีกสิบตัว นั่นเท่ากับว่าทั้งปีจะมีเงินห้าถึงหกตำลึงทีเดียว
จากนั้นนางก็พูดถึงหลิวซุนซื่อกับหลิวจูเอ๋อร์ “ท่านแม่ ท่านดูสิว่าย่าของเราวันๆ เอาแต่สั่งสอนป้ารอง รอดูเถิด หากวันใดป้ารองหาจังหวะได้ต้องแอบท่านย่าหนีกลับตำบลเป็แน่ เื่แยกบ้าน ถึงอย่างไรก็ต้องถูกนำออกมาพูดแน่”
นางรู้สึกชัดเจนมาก พักหลังมานี้หลิวซุนซื่อด่าหลิวฉีซื่อลับหลังอย่างทวีความรุนแรงขึ้น เริ่มมีสัญญาณของน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้
อันที่จริงเื่นี้ง่ายมาก แต่ก่อนหลิวซุนซื่อมักจะพูดกรอกหูหลิวฉีซื่อลับหลังจางกุ้ยฮัว ส่วนหลิวเต้าเซียงเองก็เพียงแต่ฝึกทำตามก็เท่านั้น
นางกระตุ้นความขัดแย้งระหว่างหลิวซุนซื่อและหลิวฉีซื่อในตอนแรก เพียงแต่หลิวฉีซื่อมีจุดแข็งตลอดชีวิตอยู่เื่หนึ่งคือ เกลียดชังผู้ที่ไม่เชื่อฟังนางเป็ที่สุด ขณะเดียวกัน นางก็พร่ำบ่นตลอดชีวิต นางไม่เคยเห็นว่าหลิวต้าฟู่คือผู้ชายของตน
หรือถ้าหากเปลี่ยนคำพูดล่ะก็ คงต้องบอกว่าหลิวฉีซื่อเพียงแค่อาศัยหลิวต้าฟู่เป็เครื่องมือ จากนั้นให้กำเนิดบุตรชายดังที่นางปรารถนา
แน่นอน หลิวเต้าเซียงทำได้เพียงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจ มิกล้าเอ่ยออกมาต่อหน้าพ่อและแม่ผู้แสนดี มิเช่นนั้นคงทำให้ท่านทั้งสองใเป็แน่
ในที่สุดหลิวซานกุ้ยก็นึกได้ บุตรสาวของตนเร่งเร้าให้เขาเล่าเรียนต่อ คงเพราะมีความคิดบางอย่าง เพียงแต่ชายหนุ่มวัยใกล้สามสิบปีเช่นตนเองต้องไปเล่าเรียนกับเด็กน้อยที่เพิ่งจะถอดผ้าอ้อมออก คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าน่าขายขี้หน้าเหลือเกิน
ทว่า…การที่บุตรสาวของตนพูดอ้อมเช่นนี้ ครอบครัวของตนเริ่มมีสัญญาณได้สร้างบ้านใหม่ หากไม่เล่าเรียนเพิ่มเติม มันคงเป็การยากเสียหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่าตนเองนั้นไปเข้าตาคุณชายท่านอีท่าไหน ถึงได้บีบบังคับให้เขาต้องไปนั่งเรียนกับเด็กน้อย
แต่หัวใจของหลิวซานกุ้ยเปิดกว้างมาก การศึกษานับว่าเป็เื่ที่ดี
“ท่านพ่อ ดูสิว่าบ้านเรามีสภาพเช่นไร หากว่าเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ข้าคิดว่าคงไม่มีทางย่ำแย่สักเท่าใด ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายน้อยมีความตั้งใจให้ท่านพ่อเล่าเรียน หากว่าเขาได้กลับมาเหยียบที่บ้านของเรา แล้วพบว่าท่านพ่อไม่ได้เชื่อฟังเขา และเขาเกิดโกรธเคือง เกรงว่าครอบครัวเราคง…”
หลิวเต้าเซียงใช้ลูกไม้เ้าเล่ห์ พ่อผู้แสนดี หลังจากนี้ต้องวิเคราะห์ให้ดีแล้วนะเ้าคะ
หลิวซานกุ้ยรู้สึกประหม่ามากเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะเป็คนทำนา แต่ก็พอดูออกว่าสถานะของคุณชายผู้นั้นต้องไม่ธรรมดา ลำพังผู้อารักขาที่พกดาบยาวติดตัวนั้นก็ทำให้รู้ว่าไม่ใช่คุณชายจากตระกูลทั่วไป
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของเขาก็เต้นรัว
“ลูกรอง ตำราเ่าั้ พ่อเองก็ไม่ได้รู้ทั้งหมด”
หลิวซานกุ้ยยังจุกในอกเมื่อนึกถึงเื่นี้ อันที่จริงเขาไม่อยากพูดเื่นี้กับบุตรสาว
“ท่านพ่อ ข้ารู้!” หลิวเต้าเซียงกะพริบตากลมโต เมื่อฟังจากคำพูดที่เริ่มผ่อนเบา จึงรีบเอาไม้เกี่ยวงู
“ข้าแค่รู้สึกว่า คุณชายน้อยต้องได้ยินจากอาจารย์มาว่าท่านพ่อนั้นแต่ก่อนเก่งกาจด้านการเล่าเรียน ด้วยเหตุนี้ จึงรู้สึกว่าท่านพ่อคือบุคคลที่สมควรอุ้มชู”
เมื่อหลิวซานกุ้ยได้ยินคําชมของบุตรสาว จึงยิ้มจนไม่เห็นดวงตา จากนั้นเอ่ยเสริม “เป็บุคคลที่ควรอุ้มชู”
ทันทีที่เขาตระหนักว่าคุณชายมีความคิดดังนี้ จึงไม่ประหม่าแต่กลับมีความตื้นตันใจขึ้นมาแทน ที่แท้เขาก็ยังสามารถทำอย่างอื่นได้ ไม่ใช่ว่านอกจากทำนาแล้วจะทำอะไรไม่เป็
ในวัยหนุ่มหลิวซานกุ้ยเคยห้าวหาญ พยายามไขว่คว้าเพื่อตนเอง อาจารย์บอกว่าเล่าเรียนไม่ได้ก็ฝึกฝนศิลปะด้านอื่น ตอนนั้นอาจารย์กล่าวกับเขาว่ามีทั้งหมดสามสิบหกแขนง ทุกแขนงล้วนมีจอมหงวน
แม้นว่าเขาจะไม่อาจเป็จอมหงวนแขนงศึกษาศาสตร์ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเป็จอมหงวนแขนงอื่นได้เสียเมื่อไร
ภายใต้ความหน่ายใจ ตอนนั้นความคิดทั้งหมดของเขากลับถูกหลิวฉีซื่อปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
นอกจากนี้ หลิวสี่กุ้ยและหลิวเหรินกุ้ยสองพี่น้องได้ออกจากบ้านไป งานไร่นาจึงตกอยู่บนบ่าของหลิวซานกุ้ยทั้งหมด หลายปีมานี้เขาจึงตัดใจจากเื่นี้ไป และไม่คิดเลยว่า…
จิตใจของหลิวซานกุ้ยมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอคิดว่าต้องไปเรียนกับเด็กน้อยในปฐมวัยทั้งหลาย เขาก็ยังครุ่นคิดและรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“คือว่า เต้าเซียง เราศึกษาเองที่บ้านได้หรือไม่ เ้าดูสิ พ่อเป็ถึงคนที่มีครอบครัวแล้ว การจะไปเรียนในห้องเรียนกับเด็ก กระทั่งบางคนนั้นเด็กกว่าเ้าเสียอีก”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นจึงชะงักเล็กน้อย แต่ต่อมาก็ตั้งตัวได้ พ่อของตนไม่ได้ไม่อยากเล่าเรียน เพียงแต่รู้สึกว่ามันน่าอาย
คิดดูแล้วก็ถูก เขาสามารถเป็พ่อของเด็กเ่าั้ได้ และยังต้องไปเบียดกับเด็กเ่าั้อีก หลิวเต้าเซียงลองคิดกลับกัน หากเป็ตนเองก็คงหน้าหนาไม่พอ
เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?
ปัญหาไม่เคยทำให้ใครตายได้
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็มีความคิดบางอย่าง
“ท่านพ่อ ทุกเช้าท่านมักจะไปจับปลาใช่หรือไม่ ถึงตอนนั้นก็ต้องส่งไปที่ตำบลพร้อมกับข้าใช่หรือไม่?”
หลิวซานกุ้ยประหลาดใจ เื่นี้ตนเองได้ปรึกษาหารือกับลูกเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ?
“ใช่แล้ว มีอะไรหรือ?”
ขณะที่ถาม หัวใจของเขาก็บีบรัด ไม่ง่ายกว่าจะหาหนทางทำเงินได้ ความหวังมีให้เห็นตรงหน้า คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะกลับใจหรอกนะ?
“ไม่มีอะไร แค่คิดว่าท่านพ่อต่อไปต้องเข้าไปในตำบลทุกวันอยู่แล้ว เหตุใดไม่บอกกับย่าว่าไปหางานข้างนอกทำ พอไปถึงตำบลก็ขายปลาเสีย แล้วค่อยถามแม่เฒ่าจางดูว่า เขาพอจะรู้จักอาจารย์ท่านใดในตำบลหรือไม่ หากว่ารู้จักก็ขอให้นางเชื่อมสัมพันธ์ให้หน่อย เลี้ยงอาหารและสุราสักหน่อย แล้วคุยกับเขาว่า ขอมอบซู่ซิวให้เช่นเดียวกัน แต่ไม่ขอเข้าเรียนในสถาบัน เป็เช่นไร?”
ในความเป็จริง ความคิดของนางเหมือนกับนักเรียนสมัยใหม่ที่เมื่อเลิกเรียนก็จะเชิญติวเตอร์ข้างนอกมาสอนเพิ่มเติมในบ้าน
เห็นได้ชัดว่าหลิวซานกุ้ยหวั่นไหว เขาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็สะกดกลั้นความวู่วามในใจไว้ไม่อยู่ “ความคิดนี้จะเป็ไปได้หรือ?”
“ท่านพ่อ บ้านเรายังมีหลายตำลึง บวกกับเงินที่ท่านพ่อไปจับปลาทุกวัน ขอเพียงให้ซู่ซิวนั้นมีมากกว่าปกติสักหน่อย ไหนเลยที่อาจารย์ท่านใดจะไม่พึงพอใจ แม้นว่าเป็ผู้เล่าเรียน ก็ต้องกินข้าวไม่ไช่หรือไร?”
หลิวเต้าเซียงพูดเื่นี้อย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะเป็ผู้มีการศึกษาระดับสูง แต่ชีวิตนี้ก็ตัดคําว่า ‘ผลประโยชน์’ ออกไปไม่ได้
หัวใจของหลิวซานกุ้ยรู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย เขาพยักหน้าทันที “ชุดซู่ซิวสำหรับปฐมวัยนั้นไม่แพง หากเตรียมเงินได้หลายร้อยอีแปะ วันเทศกาลต่างๆ ให้เตรียมเนื้อหมูเนื้อปลาไว้มอบตอบแทนก็เป็พอ วันรุ่งขึ้นเราลองไปสอบถามในตำบลดูก็แล้วกัน”
เื่นี้ตัดสินใจตามนี้
หลิวซานกุ้ยและครอบครัว นอกจากหลิวเต้าเซียงที่นอนหลับสนิท คนอื่นๆ ต่างก็ยากที่จะข่มตาหลับ
สิ่งที่หลิวซานกุ้ยคิดคือ โชคดีที่์นั้นเมตตากับเขา ในที่สุดก็มีโอกาสให้เขาได้พลิกตัว เขาจำต้องไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ สู้เพื่อครอบครัวอย่างแข็งขันสักที ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่เห็นครอบครัวของเขาอยู่ในสายตา
ส่วนจางกุ้ยฮัวคิดว่า ถ้าหัวหน้าครอบครัวไปเล่าเรียนแล้วได้ดิบได้ดี งานในสวนจะทำอย่างไรดี?
หลิวชิวเซียงคิดว่า ว้าว คนในครอบครัวของนางในที่สุดก็จะก้าวเข้าสู่การเป็ผู้มีการศึกษาแล้ว ต่อไปเื่แต่งงานก็จะได้ถูกลงหน่อย
ส่วนหลิวเต้าเซียงนั้น คร่อกฟี้ ผล็อยหลับอุตุไปนานแล้ว
ซูจื่อเยี่ยซึ่งผ่านพ้นเมืองดังกล่าวไปแล้วกำลังพิงอยู่ในห้องโดยสาร หารู้ไม่ว่า ตนเองเพียงแค่คิดว่าหลิวเต้าเซียงนั้นใฝ่รู้ จึงหาทางให้พ่อบ้านเตรียมตำราการเกษตรไว้ให้
อืม เขาเพียงเห็นว่านางสนใจในการเลี้ยงสัตว์ตัวน้อย จึงคิดเองเออเองว่าควรจะเลือกตำราการเกษตรให้นาง
แต่พ่อบ้านหวังหาได้รู้ไม่ ชั่วขณะที่ตนเองแปรความหมายผิด จึงกลายเป็การหยิบยื่นบันไดไปให้หลิวเต้าเซียงได้ปีนเสียอย่างนั้น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลิวซานกุ้ยและหลิวเต้าเซียงไปที่ปากทางหมู่บ้านแล้วจับปลาเฉาได้สองตัว จากนั้นหยิบปลาหลี่อวี๋ในข้องขึ้นมา ซึ่งมีขนาดยาวเท่าด้ามตะเกียบ น้ำหนักราวสองจุดห้ากิโลกรัม ส่วนตัวเล็กราวสองนิ้ว
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็สีขาว หลิวซานกุ้ยจึงพาหลิวเต้าเซียงเดินไปที่ตำบลด้วยกัน
ถูกต้อง เพื่อไม่ให้คนในหมู่บ้านซุบซิบจนไปถึงหูของหลิวฉีซื่อ ทั้งสองคนจึงตัดสินใจเดินไปตำบล
เมื่อไปถึงฟ้าก็สว่างมากแล้ว
หลิวเต้าเซียงรู้ว่าแม่เฒ่าจางยังไม่เลิกงาน เมื่อเห็นว่าเวลายังเช้าอยู่ จึงพาหลิวซานกุ้ยไปยังร้านค้าอาหารเช้า จากนั้นกินก๋วยเตี๋ยวกันคนละชาม
ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละห้าอีแปะ เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ขาวและนุ่ม โรยด้วยหัวหอมเล็ก จากนั้นตักราดด้วยน้ำแกงหมูข้น กลิ่นหอมนั้นช่างสดอร่อย!
สายกินย่อมไม่เคยโกหก
หลิวเต้าเซียงไม่พูดอะไรสักคําแล้วสั่งสองชาม
จากนั้นกลัวว่าหลิวซานกุ้ยจะกินไม่อิ่ม จึงสั่งซาลาเปาไส้ผักเค็มเผ็ดอีกสองลูก
หลิวซานกุ้ยปฏิเสธในตอนแรก แต่เขาไม่สามารถควบคุมเงินที่อยู่ในมือหลิวเต้าเซียงได้ ท้ายที่สุดจึงได้กินอย่างอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ
หลังจากมื้ออาหาร ทั้งสองก็ตรงไปที่บ้านของแม่เฒ่าจาง
ส่วนเกาจิ่วที่ได้รับคําแนะนําจากซูจื่อเยี่ย หลังจากได้รับลูกชิ้นปลามาเมื่อวาน เขามองดูลูกชิ้นปลาในถ้วยอย่างครุ่นคิด แล้วก้มมอง่ล่างของตนเอง พลันคาดเดานัยแฝงของนายน้อย
เ้าไข่สองใบนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่!
เขาคิดไปคิดมาและรู้สึกว่า คงต้องดูแลแม่สาวน้อยนั่นให้ดี ต้องเป็เช่นนี้ไม่ผิดแน่
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย แล้วย้อนนึกถึงคำสั่งของซูจื่อเยี่ย จากนั้นก็เรียกให้ลูกน้องมาต้มลูกชิ้นปลาสองลูกนั้นจนสุก แล้วใส่ขิงกับหัวหอมลงไปในชาม
ลูกน้องจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ก็ทำตามที่เกาจิ่วสั่งงานอย่างเรียบร้อย
“นายท่านจิ่ว ไข่เนื้อสองลูกเสร็จแล้วครับ”
เมื่อได้ยินเสียงของคนที่อยู่นอกประตู ใบหน้าของเกาจิ่วก็สูดหายใจลึก จากนั้นก็เช็ดหน้าหนึ่งทีแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ยกเข้ามา”
ทันทีที่ลูกน้องนําของเข้ามา กลิ่นหอมนั้นก็โชยเข้าจมูก
เกาจิ่วถูกซูจื่อเยี่ยจัดให้มาอยู่ในโรงเตี๊ยมในตำบลนี้ ย่อมมีเหตุผลในใจ หนึ่งคือเขาเป็คนที่รู้จักมีปฏิสัมพันธ์และปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นในทุกสถานการณ์ ส่วนข้อสองคือ จมูกของเขาที่ดมกลิ่นได้ดีเสมือนสุนัข
พอได้กลิ่นหอมของเนื้อปลานั้น เขากลืนน้ำลายดังเอื๊อก แล้วรีบเร่งให้ลูกน้องนำลูกชิ้นปลาเข้ามา
เขาดมก่อนแล้วค่อยใช้ช้อนตักลูกชิ้นปลาขึ้นมากัดหนึ่งคำ
จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เมื่อมองลงไปที่ลูกชิ้นปลาที่เหลือ เขายิ้มและพูดว่า “สิ่งนี้ดูเหมือนลูกปัดหยก เวลากัดนั้นอ่อนนุ่มเด้งดึ๋ง ช่างเป็อาหารรสเลิศ”
“นายท่านจิ่ว นี่อร่อยจริงหรือ? เพียงแค่นำไปต้มกับน้ำเปล่าเล็กน้อย จากนั้นโรยขิง หัวหอม เกลือและน้ำมันหมูกับซีอิ๊วขาวไม่กี่หยด ข้าน้อยดูไม่ออกว่ามันน่าอร่อยตรงไหนขอรับ ก็แค่เป็อาหารหน้าตาใหม่ๆ”
เกาจิ่วเหลือบมองลูกน้องคนนี้แวบหนึ่ง ก่อนจะถลึงตาใส่แล้วตอบ “เ้าจะไปเข้าใจอะไร หากเ้าเข้าใจ ข้าเกาจิ่วคงไม่ต้องมานั่งตำแหน่งนี้หรอก”
------
