วันต่อมาไป๋หยุนเฟยไม่ได้ออกจากห้องไปเตร็ดเตร่ที่ใด เพียงใช้เวลาทั้งวันเพื่อรักษาอาการาเ็อยู่ภายในห้อง กระทั่งยามค่ำจึงเริ่มอัพเกรดสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ หลังจากอาวุธและเครื่องประดับถูกทำลายไปมากมาย ในที่สุดพลังิญญาของไป๋หยุนเฟยก็หมดสิ้นและล้มตัวลงบนเตียง
รัตติกาลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยามเช้าตรู่ไป๋หยุนเฟยจึงลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าก่อนจะบิดกายอย่างเกียจคร้านจนกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บไปทั่งร่าง หลังจากสะบัดแขนทั้งสองข้างและเหยียดกายพร้อมสูดลมหายใจสองสามครั้งก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“การใช้กระบวนการอัพเกรดยังคงเป็วิธีที่รวดเร็วที่สุดอยู่ดี! วิธีนี้เรียบง่ายและได้ผลนัก... แต่โชคร้ายนักที่ค่าตอบแทนคือข้าต้องหมดสติในตอนท้ายทุกครั้ง แม้ว่าการหมดสตินี้จะไม่แตกต่างอันใดกับการนอนหลับ แต่ข้าก็ยังต้องหมดสติไปร่วมสี่ชั่วยาม แม้นจะฝืนบังคับตนเองให้ตื่นก่อนเวลาได้สองชั่วยามแต่ข้าก็ต้องง่วงงุนเซื่องซึม ผลข้างเคียงเช่นนี้ส่งผลมากเกินไป ทางที่ดีสมควรปล่อยให้ร่างกายฟื้นตื่นด้วยตนเองจะปลอดภัยกว่า”
“ได้เวลาแล้ว วันนี้สมควรอำลาทุกคนและไปจากสำนักหลิวขจีโดยเร็วจะเป็การดีที่สุด” ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดเื่นี้พลางหยิบจี้หยกเขียวรูปมัจฉาออกมาวางบนฝ่ามือและพิจารณาอย่างละเอียด
“ระดับไอเทม: ดีเลิศ”
“ระดับการอัพเกรด: +10”
“คุณลักษณะเพิ่มเติม: ความเร็ว +45”
“ผลกระทบพิเศษสำหรับ +10: เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่อีก 3%”
“สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 22 แต้ม”
หลังจากยืนยันคุณสมบัติของจี้หยกแล้ว ไป๋หยุนเฟยจึงพยักหน้าเล็กน้อย “เคล็ดวิชาต่อสู้และท่าร่างที่สำนักหลิวขจีฝึกปรือมุ่งเน้นที่ความคล่องแคล่ว หากข้ามอบจี้หยกนี้แก่อวี้เหอ นางย่อมต้องชมชอบแน่ คิดว่า...”
ยามที่เดินออกจากห้องพัก อากาศเย็นสดชื่นยามเช้าก็โชยมาปะทะสร้างความคึกคักกระปรี้กระเปร่าแก่ไป๋หยุนเฟย อีกสักพักฉู่อวี้เหอจึงจะนำอาหารเช้ามาส่ง
ไป๋หยุนเฟยเคาะประตูห้องของหงยินที่อยู่ติดกัน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ คาดว่าหงยินจะตื่นนอนและออกไปด้านนอกแล้ว
ไป๋หยุนเฟยตัดสินใจเดินเตร็ดเตร่ไปยังเรือนใบหลิว บางทีอาจบังเอิญได้พบกับฉู่อวี้เหอที่จะนำอาหารมาส่ง
ยามที่เดินออกจากตึกรับรองแขก ไป๋หยุนเฟยก็เลี้ยวซ้ายเดินผ่านทางเดินปูแผ่นหินสีคราม ชายหนุ่มเดินเตร็ดเตร่อย่างแช่มช้า รอบด้านปรากฏหยดน้ำค้างพร่างพรมบนดอกไม้ใบหญ้าราวอัญมณี สายลมละมุนโชยพัดอย่างอ่อนโยนส่งน้ำค้างหยาดหยดลงสู่เบื้องล่าง ไป๋หยุนเฟยได้ยินเสียงหยดน้ำแว่วมาแ่เบา ทุกสิ่งรอบกายช่างสุขสงบทั้งเปี่ยมความสดใสของยามรุ่งอรุณ
หลังจากเดินผ่านสวนเล็กๆแห่งหนึ่ง ไป๋หยุนเฟยก็มองเห็นสระขนาดย่อมอยู่ตรงหน้า ถัดไปจึงเป็เรือนใบหลิวที่ฉู่อวี้เหอและศิษย์ร่วมสำนักพำนักอยู่
“เอ๊ะ?” หลังจากเดินเข้าใกล้สระน้ำ ไป๋หยุนเฟยก็อุทานอย่างแ่เบาด้วยความประหลาดใจพร้อมกับหยุดเท้าลง นั่นเพราะมันพบว่าริมสระฝั่งขวา หงยินกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งหินลูบตัวสุนัขป่าสีเทาที่หมอบอยู่ตรงหน้า ท่าทางราวกับกำลังพูดคุยกับสุนัขป่าตรงหน้า
สุนัขป่าตรงหน้าหงยินตัวนี้คืออสูริญญาที่มัน‘แย่งชิง’มาจากหลี่หลงแห่งสำนักเ้าอสูรในวันนั้นเอง!
และที่ข้างกายหงยินก็มีหญิงสาวนั่งอยู่โดยไม่กล่าววาจาอันใด ดวงตาของนางมองสลับไปมาระหว่างหงยินและสุนัขป่าอสนีบาตด้วยสายตากระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น
“พี่ใหญ่หงยิน ลู่หลิว พวกท่านกำลังทำอะไร?” ไป๋หยุนเฟยโบกมือให้แก่ทั้งคู่ อีกฝ่ายจึงพบเห็นชายหนุ่มขณะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
หงยินค้อมศีรษะให้แก่ไป๋หยุนเฟยเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเพ่งตามองสุนัขป่าอสนีบาตตรงหน้า จากนั้นยื่นมือขวาไปตบคอสุนัขป่าอสนีบาตเบาๆพร้อมกับกล่าวคำพูดพึมพำที่ไม่อาจฟังออก บนศีรษะสุนัขป่าอสนีบาตยืนไว้ด้วยมุสิกสีขาวเสี่ยวถังที่ยื่นขาหน้าด้วยท่าทีดุจเป็มนุษย์ไปลูบใบหูสูนัขป่าอสนีบาตพลางส่งเสียงไม่หยุดยั้ง
“นี่...” ไป๋หยุนเฟยประหลาดใจต่อสิ่งที่หงยินและมุสิกของมันกระทำอย่างยิ่ง จึงอ้าปากหมายจะเอ่ยถามแต่ชิวลู่หลิวที่ด้านข้างกลับยกมือบอกใบ้ว่าอย่างเพิ่งขัดจังหวะ
ไป๋หยุนเฟยจึงค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังไปที่ข้างกายนางก่อนจะถามด้วยเสียงแ่เบา “เกิดอะไรขึ้น?”
“พี่ใหญ่หงยินบอกว่ากำลังพยายามสื่อสารกับสุนัขป่าอสนีบาต...” ชิวลู่หลิวจับจ้องไปที่หงยินโดยไม่กระพริบตายามตอบคำถามเสียงค่อย
“อา... สื่อสาร?” ไป๋หยุนเฟยถึงกับตะลึงงัน ก่อนจะมองไปที่สุนัขป่าอสนีบาตอย่างสับสน มันมองสุนัขป่าสีเทาขนาดเท่าโคที่ยืนนิ่งตรงหน้าหงยินราวรูปสลัก แม้ดวงตาสุนัขป่าตรงหน้าจะเป็สีแดงฉานแต่ก็ปราศจากชีวิตชีวา หากไม่เห็นว่าตัวของมันยังสั่นระริกอยู่เล็กน้อยทั้งยังมีลมหายใจ ไป๋หยุนเฟยคงสงสัยแล้วว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
“เอ๊ะ? พี่หยุนเฟย ไฉนท่านอยู่ที่นี่” ทันใดนั้นเสียงของอวี้เหอก็ดังมาจากด้านหลัง ไป๋หยุนเฟยหันไปมองก็พบกับเด็กสาวกำลังประคองถาดใส่ชามข้าวต้มและซาลาเปายืนมองมาที่ตน
ไป๋หยุนเฟยส่งสัญญาณให้ฉู่อวี้เหออย่าส่งเสียง ก่อนจะกวักมือเรียกนางเข้ามา
อวี้เหอจึงเดินเข้ามาหา หลังจากไป๋หยุนเฟย‘อธิบาย’ให้ฟังแล้ว นางจึงปรายตามองหงยินอย่างสงสัยก่อนจะกล่าวกับไป๋หยุนเฟยว่า “พี่หยุนเฟย ข้ากำลังจะนำอาหารเช้าไปให้ท่าน แต่ในเมื่อท่านอยู่นี่แล้วก็รับประทานก่อนเถอะ”
ไป๋หยุนเฟยชำเลืองมองหงยินที่กำลังพยายาม‘สื่อสาร’กับสุนัขป่าอสนีบาตและชิวลู่หลิวที่ตั้งใจเฝ้าดูอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปยังโต๊ะหินที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงนั่งลงและเริ่มรับประทานอาหารเช้า ฉู่อวี้เหอจึงเดินเข้าไปหาชิวลู่หลิวและเริ่มสนทนากับนางด้วยเสียงแ่เบา
ชั่วขณะที่ไป๋หยุนเฟยรับประทานอาหารเสร็จสิ้นหงยินก็เสร็จสิ้นการ‘สื่อสาร’ มันชักมือกลับจากนั้นถอนหายใจอย่างแ่เบาพร้อมกับเก็บสุนัขป่าอสนีบาตเข้าสู่แหวนช่องมิติ
“พี่ใหญ่หงยิน เป็อย่างไรบ้าง?” ชิวลู่หลิวที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยปากถาม
ดวงตาหงยินทอแววผิดหวังเลือนรางขณะที่สั่นศีรษะตอบคำ “ย่ำแย่นัก ข้าไม่อาจััถึง‘สำนึก’ของมันได้แม้แต่น้อย มิหนำซ้ำนอกจากความสามารถในการดื่มกินตามสัญชาตญาณแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจกระตุ้นให้มันเกิดปฏิกิริยาได้ สำนักเ้าอสูร... พวกมันปฏิบัติต่ออสูริญญาเช่นนี้เสมอ ช่างน่าคลั่งแค้นนัก ต้องมีสักวันที่ข้าเสาะพบวิธีเยียวยาอสูริญญาภายใต้การควบคุมของพวกมัน เมื่อนั้นข้าจะบดขยี้สำนักเ้าอสูรให้สิ้นซาก! เื่ที่บิดาบุญธรรมและผู้อื่นทำไม่สำเร็จ ข้าต้องทำสำเร็จให้จงได้!!”
ทันใดนั้นหงยินราวกับรู้ตัวว่าเสียกิริยา มันถอนหายใจแ่เบาระงับความพลุ่งพล่านในใจก่อนจะยิ้มขออภัยต่อทุกคน “ขออภัยพวกเ้าด้วย เมื่อครู่ข้าพลุ่งพล่านเกินไป ข้าไม่ได้ทำให้พวกเ้าหวาดกลัวกระมัง?”
นี่เป็ครั้งแรกที่ไป๋หยุนเฟยได้เห็นหงยินพิโรธโกรธกริ้ว พริบตานั้นจู่ๆก็ััได้ถึงรังสีอำมหิตอันดุดันเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะปะทุของหงยิน แต่กระนั้นพริบตาต่อมารังสีอำมหิตนั้นกลับสลายไปอย่างฉับพลัน กระทั่งไป๋หยุนเฟยยังคิดว่าเป็ความรู้สึกหลอน
“พี่ใหญ่หงยิน สุนัขป่าอสนีบาตระดับสามขั้นต้นตัวนี้เป็อสูรหุ่นเชิดที่สำนักเ้าอสูรสร้างขึ้น? ท่านได้มาอย่างไร? ท่านและสำนักเ้าอสูร...” ขณะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ชิวลู่หลิวก็ชำเลืองมองแหวนบนนิ้วหงยิน
“ข้าและสำนักเ้าอสูรไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกัน! สำนักเช่นพวกมันที่ปฏิบัติต่ออสูริญญาอย่างต่ำช้าเช่นนี้... ต้องมีสักวันที่ข้าจะกวาดล้างพวกมันจนหมดสิ้น!” หงยินจู่ๆก็พลุ่งพล่านขึ้นยามที่ได้ยินนามสำนักเ้าอสูรอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็สั่นศีรษะอย่างแช่มช้า “ข้าชิงสุนัขป่าอสนีบาตมาจากศิษย์สำนักเ้าอสูรที่พบในเมืองชุ่ยหลิวไม่กี่วันก่อน ยามนั้นหยุนเฟยก็อยู่ที่นั่น”
“โอ? อสูริญญานี้เรียกว่าสุนัขป่าอสนีบาตหรือ? จริงสิ อสูริญญาระดับสามคืออะไร?” ไป๋หยุนเฟยถามอย่างสงสัย
“เอ่อ...”
คำถามอย่างกะทันหันของไป๋หยุนเฟยทำให้ทั้งหงยินและชิวลู่หลิวตะลึงงันไปชั่วขณะ หงยินส่งสายตาประหลาดพิกลไปยังไป๋หยุนเฟย “หยุนเฟย เ้าไม่ทราบเกี่ยวกับอสูริญญา?”
“ไม่ทราบ” ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะยอมรับอย่างไม่ปิดบัง
หงยินจ้องมองไป๋หยุนเฟยด้วยสายตาจริงจังชั่วครู่ ก่อนจะพลันสั่นศีรษะอย่างท้อแท้ มันถอนหายใจกล่าวว่า “หยุนเฟย เ้าออกเดินทางโดยไม่ทราบเื่ราวเช่นนี้ช่าง...”
“เอ่อ... นี่ ไม่เคยมีผู้ใดบอกข้ามาก่อน” ไป๋หยุนเฟยผายมือทั้งสองข้างด้วยท่าทีไร้เดียงสา “เพราะเหตุนี้ข้าจึงขอให้พี่ใหญ่หงยินสอนสั่ง”
หงยินหัวเราในลำคอก่อนจะพยักหน้า “ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าจะอธิบายให้เข้าฟัง”
“อสูริญญา เป็ชื่อเรียกของสัตว์ที่สามารถฝึกปรือิญญาได้ เรียกได้ว่าเป็ผู้ฝึกปรือิญญาในหมู่สัตว์ทั้งหลาย พวกมันก็เป็เช่นเดียวกับผู้ฝึกปรือิญญาคือมีพลังอันน่าหวั่นเกรง ในหลายๆด้านพวกมันนับว่ามีความเหนือล้ำและข้อได้เปรียบมากกว่ามนุษย์... ดังเช่น อายุขัย สำหรับผู้ฝึกปรือิญญาเมื่อบรรลุด่านภูติญญาการจะยืดอายุขัยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีนับว่าไม่เป็ปัญหา และหากบรรลุด่านจักรพรรดิิญญาจะสามารถยืดอายุได้ถึงสามร้อยปี แต่กับอสูริญญาเพียงบรรลุถึงระดับสี่ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยสามร้อยปี และหากบรรลุถึงระดับหกอย่างน้อยจะสามารถมีชีวิตได้ถึงห้าร้อยปี ยิ่งพวกมันมีพลังมากเท่าใดก็จะยิ่งอายุยืนยาวเท่านั้น”
“ในแง่ของพลังิญญา อสูริญญาสามารถแบ่งได้เป็เก้าระดับ ซึ่งแต่ละระดับแบ่งย่อยได้เป็ขั้นต้น กลางและปลาย ซึ่งเทียบได้กับทั้งเก้าด่านของผู้ฝึกปรือิญญา ยกตัวอย่างเช่น สุนัขป่าอสนีบาตระดับสามขั้นต้นตัวนี้จะมีพลังเทียบได้กับวีรชนิญญาขั้นต้น” กล่าวถึงตรงนี้หงยินจึงชี้ไปยังมุสิกสีขาวตัวเล็กบนไหล่ “สำหรับเสี่ยวถังเป็อสูริญญาระดับห้าขั้นกลาง เทียบได้กับบรรพิญญาขั้นกลาง”
“ว่ากระไร?!” ไม่เพียงแต่ไป๋หยุนเฟย แม้แต่หญิงสาวทั้งสองที่ด้านข้างก็ยังร่ำร้องอย่างตระหนก ทั้งสามใช้สีหน้าตื่นตะลึงจ้องมองเสี่ยวถังบนไหล่ของหงยินไม่วางตา
“มัน... มันมีพลังเทียบเท่าบรรพิญญาขั้นกลางจริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่หมายความว่ามันฝีมือร้ายกาจกว่าท่านอาจารย์อีกหรือ? จะเป็ไปได้...” ฉู่อวี้เหอกล่าวอย่างเหลือเชื่อยามที่เบิกตากว้างจ้องมองเสี่ยวถังที่กำลังลูบหมวดของมันอย่างเกียจคร้าน
หงยินกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “อย่าได้ประเมินสหายข้าต่ำไป หากเสี่ยวถังอยู่ในน้ำ... ยังจะร้ายกาจกว่าบรรพิญญาขั้นกลางด้วยซ้ำ”
หงยินมองดูไป๋หยุนเฟยที่ดูเหมือนจะครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ก่อนจะกล่าวต่อ “การฝึกปรือของอสูริญญานั้นต่างจากผู้ฝึกปรือิญญาโดยสิ้นเชิง พวกมันไม่มีวิชาหรือเคล็ดิญญาอันซับซ้อนใดเพียงอาศัยพลังิญญาของตัวเอง อีกทั้งพวกมันยังสามารถใช้พลังธรรมชาติจากฟ้าดินได้ ผู้ฝึกปรือิญญาจำต้องบรรลุด่านภูติญญาจึงจะสามารถควบคุมพลังธรรมชาติได้ แต่สำหรับอสูริญญากลับมีความสามารถนี้โดยกำเนิด แม้แต่อสูริญญาระดับหนึ่งขั้นต้นก็ยังทำได้”
“อสูริญญาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ภายในพนาไร้ขอบเขตทางภาคเหนือของอาณาจักรเรา ที่แห่งนั้นยังมีอีกชื่อเรียกว่าป่าอสูริญญา ผู้ฝึกปรือิญญาส่วนใหญ่ที่หวังจะตามหาอสูริญญามาเป็คู่หูจะไปที่นั่นยามที่ฝีมือเข้มแข็งพอ”
“ผู้ฝึกปรือิญญาทุกคนสามารถเชื่อมต่อิญญากับอสูริญญาได้เพียงตัวเดียว ไม่มีผู้ใดทราบว่าเพราะเหตุใด แต่’กฎ’นี้มีมาั้แ่แรกเริ่มที่ผู้ฝึกปรือิญญาและอสูริญญาปรากฏขึ้น ผู้ฝึกปรือิญญาและอสูริญญาที่ร่วม‘พันธะ’กันจะประทับส่วนหนึ่งของิญญาตนลงในิญญาของอีกฝ่าย ประทับิญญานี้จะไม่สามารถลบล้างออกได้ ต่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพไป ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่อาจสร้างพันธะใหม่ได้”
“เมื่อใดที่พันธะิญญาถูกสร้างขึ้น ก็จะบังเกิดเป็ความผูกพันไปทั้งชีวิต ทั้งสองฝ่ายจะสามารถสื่อสารกันได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจจิตใจอีกฝ่ายโดยไม่ต้องใช้คำพูด หรือแม้แต่พลังิญญายังแบ่งปันใช้ร่วมกันได้! นี่เป็เหตุผลหลักที่ผู้ฝึกปรือิญญาทั้งหลายปรารถนาจะมีอสูริญญาเป็คู่หู ด้วยพลังจากอสูริญญาย่อมทำให้คู่หูมีพลังฝีมือเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว!”
“ผู้ฝึกปรือิญญาและอสูริญญาสมควรเกื้อหนุนและช่วยเหลือกันและกัน แต่ทว่าั้แ่เมื่อใดไม่ทราบ มนุษย์ค่อยๆเปลี่ยนความคิดไปอย่างช้าๆ พวกมันเริ่มมองตนเองเป็‘เ้านาย’ และจำนวนผู้ฝึกปรือิญญาที่ปฏิบัติต่ออสูริญญาอย่างเท่าเทียมนับวันจะน้อยลงทุกที ทุกวันนี้สำนักที่เป็เช่นสำนักเ้าอสูรปรากฏขึ้นมากมาย พวกมันทำลาย‘กฎ’ โดยใช้วิธีการบางอย่างเปลี่ยนอสูริญญาให้กลายเป็หุ่นเชิดที่ไร้ความนึกคิด พวกมันหลีกเลี่ยงการสร้างพันธะิญญาฝืนประทับตราทาสรับใช้ลงบนิญญาของอสูริญญา ทำให้คนหนึ่งสามารถควบคุมอสูริญญาได้พร้อมกันหลายตัว พวกมัน...พวกมันปฏิบัติต่ออสูริญญาราวกับเป็สิ่งของ พวกมันทั้งหมดสมควรตาย”
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าหงยินเกลียดชังสำนักเ้าอสูรจนถึงกระดูก นับว่ายากจะจินตนาการได้จริงๆว่าผู้ฝึกปรือิญญาเช่นมันจะกลายเป็พลุ่งพล่านดาลเดือดได้ถึงเพียงนี้ยามเอ่ยถึงสำนักเ้าอสูร
ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยความกังวล “พี่ใหญ่หงยิน...”
“โฮกกกกก!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามดังสนั่นราวจะเขย่าทั้งแผ่นดินก็ดังขึ้นขัดจังหวะไป๋หยุนเฟย
หงยินพลันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปเพ่งตามองทางประตูใหญ่สำนักหลิวขจี ดวงตามันกลับทอประกายแวววับ
“อสูริญญาระดับห้า! มิหนำซ้ำความรู้สึกเช่นนี้... เป็สำนักเ้าอสูร!”
