“ไปแล้ว!” ผู้คนมองเย่เฟิงออกไปจากเวทีประลองทดสอบแห่งนี้
ชายหนุ่มผู้สร้างตำนาน ณ เวทีประลองทดสอบของตระกูลตู๋กู ภาพเงาของเขาจะเป็ที่จดจำ ความน่าอัศจรรย์ในการประลองของเขาจะแพร่สะพัดเป็วงกว้าง
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูต่างมองแผ่นหลังของเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเื
“เย่เฟิง ไม่ช้าก็เร็วชีวิตของเ้าต้องเป็ของข้า!” แววตาของตู๋กูหลงส่องประกายเย็นเฉียบ หลังจากเย่เฟิงไป เขาก็ไปจากที่นี่เช่นกัน เซี่ยเชียนชิวตามหลังเขาไป ทว่านางกลับรู้สึกว่าท่าทีของตู๋กูหลงที่มีต่อนางเปลี่ยนไป ราวกับเป็คนแปลกหน้า นี่ทำให้หัวใจของเซี่ยเชียนชิวหนาวเหน็บ นางรู้ว่าตู๋กูหลงกำลังโกรธที่ถูกเย่เฟิงทำมิดีมิร้าย
เมื่อเย่เฟิงออกไป เซี่ยจวิ้นหลงก็ตามเย่เฟิงไปติด ๆ ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาชื่นชม
“พี่เย่ ท่านสุดยอดมาก!” เซี่ยจวิ้นหลงยกนิ้วให้เย่เฟิง เมื่อก่อนเขาไม่รู้จักเย่เฟิง และยังเคยคิดว่าตัวเองโดดเด่นกว่าใคร เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ั้แ่อายุไม่ถึง 16 ปี ถือว่าเป็ข้อพิสูจน์อย่างดี ทั้งยังมีพร์ไม่ธรรมดาและยากที่จะหาศัตรูในระดับเดียวกันได้ แต่หลังจากได้เห็นฝีมือของเย่เฟิงในวันนี้ ความคิดที่เซี่ยจวิ้นหลงเคยมีก็อันตรธานจนหมดสิ้น แม้เขาจะได้คะแนนมา 20,000 กว่าแต้ม แต่ยังห่างไกลกับคะแนน 300,000 แต้มของเย่เฟิงมาก
“ไม่หรอก พี่เซี่ยก็เก่งเหมือนกัน” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม เซี่ยจวิ้นหลงยิ้มตอบแต่ไม่พูดอะไร เพียงในใจรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาเย่เฟิง จากนั้นทั้งสองเดินทางด้วยกัน ไม่นานก็มาถึงเขตพื้นที่ตลาดตระกูลตู๋กู
“ฟิ้ว ฟิ้ว!” ขณะนั้นมีเสียงทะลวงอากาศสองสายดังขึ้น เสียงนี้ดังกึกก้องและแพร่กระจายไปทั่วสารทิศในพริบตา
เย่เฟิงและเซี่ยจวิ้นหลงได้ยินเสียงนี้เช่นกัน พวกเขาจึงเงยหน้ามองต้นเสียง ก่อนจะเห็นว่าทางทิศนั้นมีดอกไม้ไฟสองสายพุ่งขึ้นฟ้า มันเปล่งแสงจ้า แม้เป็ตอนกลางวันแต่ก็สว่างเจิดจ้า ทำให้ผู้คนในบริเวณใกล้เคียงต่างมองเห็นอย่างชัดเจน
เมื่อเซี่ยจวิ้นหลงเห็นดอกไม้ไฟสองสายบนท้องฟ้าก็เลิกคิ้วขึ้นจาง ๆ พร้อมสีหน้าเปลี่ยนไปจริงจัง จากนั้นเซี่ยจวิ้นหลงหันไปมองเย่เฟิง กล่าวพร้อมโค้งตัวว่า “เย่เฟิง ที่สำนักข้ามีบางอย่างเกิดขึ้น คงต้องขอตัวไปก่อน วันหน้าพวกเราไว้เจอกันที่สำนักยุทธ์!”
“อืม!” เย่เฟิงโค้งตัวให้เซี่ยจวิ้นหลงและไม่ถามมากความ จากนั้นเซี่ยจวิ้นหลงก็ออกไปจากที่นี่ด้วยความรวดเร็ว การที่เซี่ยจวิ้นหลงไปกะทันหันเช่นนี้ เย่เฟิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขารู้ว่าดอกไม้ไฟสองสายนั่นก็คือสัญญาณเรียกรวมตัวของสำนักที่เซี่ยจวิ้นหลงอยู่
แต่ขณะเดียวกัน ณ บางแห่งในเมืองหลวง มีหลายคนสังเกตเห็นดอกไม้ไฟที่สว่างจ้านั่น ดวงตาของพวกเขาพลันมีแสงเย็นเยียบปะทุออกมา
“นั่นอะไรน่ะ?” ภัตตาคารบางแห่ง มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งเอ่ยถามขณะชี้นิ้วไปที่ดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า
“ดูเหมือนเป็สัญญาณเรียกรวมตัวของบางกองกำลัง แต่ดูจากทิศทางนั้น น่าจะเป็วังเทพโอสถ” มีคนผู้หนึ่งกล่าว ทำให้ดวงตาของทุกคนเปล่งประกาย
“สัญญาณเรียกรวมตัวระดับนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นนัก หรือว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่วังเทพโอสถ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว
“พี่ชายท่านนี้หมายความว่า สัญญาณเรียกรวมตัวระดับนี้มีน้อยครั้งที่จะพบเห็น ดูท่าวังเทพโอสถอาจจะเกิดเื่ใหญ่ขึ้นก็เป็ได้” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว ทำให้ผู้คนตาเผยประกายแหลมคม แล้วมีคนกล่าวต่อไปว่า “ข้าได้ยินมาว่าเฒ่าประมุขวังเทพโอสถใกล้หมดอายุขัยแล้ว วังเทพโอสถจึงโกลาหลเพราะศึกชิงตำแหน่งประมุขของสองพรรค หรือว่า...”
แม้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะพูดไม่จบ แต่หลาย ๆ คนก็เข้าใจความหมายของคนผู้นี้ทันที ระยะนี้เหล่าผู้คนได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นในวังเทพโอสถกันมาก ครั้งนี้วังเทพโอสถส่งสัญญาณเรียกรวมตัวระดับนี้ ทำให้ผู้คนคิดเชื่อมโยงถึงการแย่งชิงที่ไม่สิ้นสุดในวังเทพโอสถ
“หากทุกท่านอยากทราบ มิสู้ไปดูด้วยตาตัวเองไม่ดีกว่าหรือ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” มีผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าว จู่ ๆ เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น จากนั้นพวกเขาออกจากภัตตาคารมุ่งหน้าสู่วังเทพโอสถ
หลังจากสัญญาณเรียกรวมตัวสองสายนั่นปรากฏ ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วทุกมุมในเมืองหลวงต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาว่า วังเทพโอสถเกิดเื่อะไรขึ้น
ครู่ต่อมาทั่วทั้งเมืองหลวงสั่นคลอน ผู้ฝึกยุทธ์มากมายมุ่งหน้าไปยังวังเทพโอสถ ในนั้นรวมทั้งอัจฉริยะเ่าั้ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง พวกเขาต่างวางทุกสิ่งที่อยู่ในมือลงแล้วรุดไปยังวังเทพโอสถ เพราะ้ารู้ว่าเฒ่าประมุขวังเทพโอสถใกล้สิ้นอายุขัยจริงหรือไม่
เพียงพริบตาสัญญาณเรียกรวมตัวสองสายของวังเทพโอสถกลายเป็จุดสนใจทั้งเมืองหลวง ทุกคนััได้ว่าพายุลูกใหญ่กำลังมาเยือน
ด้านเย่เฟิง เขาสามารถนำกระดูกปีศาจัมาอยู่ในมือได้สำเร็จ เช่นนั้นเขาจึงเตรียมกลับสำนักยุทธ์เทียนเสวียน บดกระดูกเป็ผง จากนั้นสร้างเป็เกราะเทพา
“หยุดนะ!” แต่ขณะที่เย่เฟิงมาถึงถนนที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล จู่ ๆ มีเสียงเย็นเยือกดังขึ้นที่ด้านหลัง เย่เฟิงจึงหันไปมองอย่างช้า ๆ ก่อนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งมีสิบกว่าคนปรากฏตัวใกล้ ๆ เขา คนเหล่านี้มีลมปราณแกร่งกล้า คนที่อ่อนแอสุดอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 1 ส่วนหัวหน้าสามคนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 2 พวกเขามองมาที่เย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเฉียบปนจิตสังหาร
“มีอะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถามและรู้ว่าคนเหล่านี้มาด้วยเจตนาไม่ดี
“ข้าว่าเ้าไม่น่าโง่เขลาขนาดนั้น” หัวหน้าคนหนึ่งที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 2 กวาดตามองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ กล่าวว่า “ส่งกระดูกปีศาจัมาซะ ทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า!”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยท่าทีดูถูก และกล่าวว่า “พวกเ้าเป็คนของตระกูลตู๋กูหรือ?”
“เื่บางอย่างไม่จำเป็ต้องพูด ตัวเ้ารู้ก็พอ ส่งกระดูกปีศาจัมาซะ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวเสียงเย็น เย่เฟิงตบหน้าตระกูลตู๋กูเขาหลายครั้งหลายคราที่เวทีประลองทดสอบ ทั้งยังนำสมบัติล้ำค่าของตระกูลพวกเขาไปด้วย แล้วพวกเขาจะปล่อยเย่เฟิงไปได้อย่างไร?
“หากอยากได้กระดูกปีศาจั พวกเ้าก็ต้องมีความสามารถพอถึงจะทำเช่นนั้นได้!” เย่เฟิงกล่าว พลันเห็นดวงตาของเขาฉายแววคมปลาบ ก่อนจะก้าวออกมาพร้อมพลังดาราโคจรรอบกาย ไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าอีกฝ่ายในพริบตา พร้อมกับเหวี่ยงหมัดโจมตีอย่างไม่ลังเล ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นตื่นใ เขายังไม่ทันตอบสนองก็รู้สึกว่ารังสีหมัดที่น่าสะพรึงกลัวนั่นจู่โจมเขา ทำให้เขาตัวสั่นแรงพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความเ็ป ก่อนตัวจะกระเด็นปลิวออกไป เืพรั่งพรูออกจากปาก บริเวณหน้าอกยุบเป็หลุม ชีวิตถูก่ชิงทันที
“รนหาที่ตาย!” ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูที่เหลือเห็นฉากนี้ก็หน้าเขียว คิดไม่ถึงว่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาและเผชิญหน้ากับพวกเขาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ ไม่เพียงแต่ไม่ยอมจำนน แต่ยังลงมือจัดการพวกเขา แกว่งเท้าหาเสี้ยนชัด ๆ
“เด็กคนนี้จองหองนัก ฆ่าเขาซะ!” หัวหน้าอีกคนกล่าว พวกเขามีหลายคน แต่เพียงพริบตาก็ถูกเย่เฟิงฆ่าตายไปหนึ่งคน ช่างขายหน้ายิ่งนัก มีเพียงความตายของเย่เฟิงเท่านั้น จึงจะดับเพลิงโทสะของพวกเขาได้
“ตระกูลตู๋กูเ้าเลวทรามอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ข้าใช้คะแนนที่สะสมไปแลกเปลี่ยนเป็ของรางวัล แต่ตระกูลตู๋กูกลับส่งพวกเ้ามาไล่ล่าข้า เ้าว่าถ้าข้าเผยแพร่เื่นี้ออกไป ตลาดการค้าของตระกูลตู๋กูเ้าจะเป็อย่างไร?” แสงดาวรายล้อมร่างเย่เฟิง เขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงเย้ยหยันดังออกจากปาก ดูแคลนกับการกระทำของตระกูลตู๋กูเป็อย่างมาก
“ไล่ล่าเ้าแล้วอย่างไร ใครใช้ให้เ้าไปล่วงเกินนายน้อยตระกูลตู๋กูข้าเล่า การที่ทำให้ตระกูลตู๋กูเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้แบบนี้ก็เพราะเ้า เ้าตายไปถือว่าคุ้มค่าแล้ว แต่ที่เ้าพูดว่าจะเผยแพร่เื่ในวันนี้ เ้าต้องตายก่อนถึงจะไปได้!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าว พวกเขาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่สิบกว่าคนมาเพื่อฆ่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาเพียงคนเดียว หากทำสำเร็จ แล้วใครจะรู้เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้?
“ตาย!” เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูแผดเสียงะโ พร้อมพลังหลายสายกระหน่ำโจมตีเย่เฟิงจากรอบทิศทาง พวกมันอัดแน่นไปด้วยไอสังหารอันแรงกล้าและหมายชีวิตของเย่เฟิง!
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยือก พลันเจตจำนงหอกปะทุออกจากร่างพร้อมหอกัเงินประกายปรากฏในมือ ก่อนจะแทงออกไป รังสีหอกที่ผสานด้วยอำนาจหอกทะลวงทุกสิ่งทุกอย่าง ตามมาด้วยเสียงฉึก หอกทะลวงร่างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่อีกคน เืพุ่งกระฉูด จากนั้นร่างนั้นล้มลงไปกองกับพื้น
หลังจากบรรลุจุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายา เย่เฟิงรู้สึกว่าพลังต่อสู้ของตัวเองยกระดับไปอีกขั้น สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 1 ได้ง่ายดายราวกับเด็ดบุปผา
แต่ขณะเดียวกันการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นได้มาถึงตัวแล้ว ซึ่งการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่นั้นมีพลังกล้าแกร่ง รังสีหมัดที่กำลังโจมตีมาจึงน่าสะพรึงกลัวมาก
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!” เย่เฟิงก้าวเท้าไปหาผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นพร้อมกับปล่อยฝ่ามือภูผาพิฆาต ก่อนจะเข้าปะทะกับรังสีหมัดของอีกฝ่าย ตามมาด้วยเสียงกระแทกดังสนั่น ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นถูกฝ่ามือของเย่เฟิงโจมตีจนร่างกระเด็นปลิว เืสาดกระเซ็น เมื่อร่างตกถึงพื้นก็นอนแน่นิ่งไป
“ชิ้ง!” ตอนนั้นเองมีรังสีดาบจู่โจมเย่เฟิงจากทางด้านขวา มันพุ่งมาด้วยความเร็ว ราวกับว่าทุกสิ่งต้องพินาศด้วยดาบนี้
เย่เฟิงพร้อมแสงดาวเรืองรองรอบกายเดินออกมา พลันแผนที่ดาวมหึมาแผ่ปกคลุมทั่วพื้นที่ ทั้งยังมีพลังแห่งอักขระโคจรบนนั้น รังสีดาบพาดผ่านร่างเย่เฟิง กลับทำอะไรเขาไม่ได้ แต่หอกของเย่เฟิงกลับแทงทะลุลำคอของอีกฝ่าย ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
“พลังต่อสู้ของหมอนี่แกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ แค่เวลาไม่กี่ลมหายใจ คนของฝั่งข้าก็ถูกเขาฆ่าตายไปแล้วสี่คน ขืนเป็แบบนี้ต่อไป ฝั่งข้าคงเสียหายหนักเป็แน่!”
เมื่อเห็นเย่เฟิงบุกเดี่ยวเข่นฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ตระกูลตู๋กูราวกับมีดคมกริบหั่นผักอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนที่เหลือตื่นตะลึงและมองเย่เฟิงด้วยสายตาหวาดผวา กระทั่งมีสองสามคนถอยร่นเพราะไม่กล้าโจมตีเย่เฟิง
“คนผู้นี้ตายยาก ทุกคนบุกพร้อมกัน ฆ่า!” หัวหน้าผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเผยหน้าเขียว เขาเองก็ไม่คิดว่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาจะมีพลังแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้ แต่จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนตาวาบประกาบคมกริบ พลันิญญาาปรากฏที่ด้านหลัง พร้อมกับแสงิญญาาแต่ละตนสว่างเจิดจ้า
“โฮก!” เสียงคำรามดังขึ้น คลื่นเสียงะเืฟ้าดิน ด้านหน้ามีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง ิญญาาของเขาคือหมีั์ขั้นเหลือง ร่างกายขนาดั์อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล จู่ ๆ กรงเล็บของมันตะปบเข้าหาเย่เฟิงหมายฉีกร่างเป็ชิ้น ๆ
ดวงตาของเย่เฟิงฉายแววเย็นเฉียบ ก่อนจะใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหลีกกรงเล็บของหมีั์นั่น พร้อมกับแทงหอกออกไป ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนต้องร่วงโรย ส่วนหมีั์สลายหายไป ในขณะเดียวกันมีเงาร่างหนึ่งดุจปีศาจร้ายจู่โจมที่ด้านหลังเย่เฟิง พร้อมกับกริชหิมะเล่มหนึ่งในมือ และกริชนั้นเล็งตำแหน่งที่หัวใจ
“พรึ่บ!” ตอนนั้นเองเย่เฟิงยังไม่ทันหันไป ก็เห็นแสงเยือกเย็นสว่างวาบ จากนั้นมีเืไหลทะลัก นาทีต่อมาเห็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือกริชจะแทงเขาเผยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด ขณะสองมือกุมาแที่ลำคอของเขา จู่ ๆ ร่างก็ล้มลงไปอย่างไม่เต็มใจ
คนอื่น ๆ ต่างตะลึงค้าง ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวในวงล้อม คนผู้นี้สวมอาภรณ์ธรรมดา ผมยาวประบ่า แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือคนผู้นี้มีแขนข้างเดียว แม้เพิ่งจะฆ่าไปหนึ่งคน แต่ตอนนี้ดาบของเขากลับอยู่ในฝัก
“นักดาบแขนเดียว!” เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูเห็นโฉมหน้าของคนผู้นี้อย่างชัดเจนก็ต้องตื่นใ ไม่นึกว่านักดาบแขนเดียวจะปรากฏตัวที่นี่ ทั้งยังช่วยเย่เฟิงฆ่าคนของตระกูลตู๋กูเขา เป็มิตรหรือศัตรูสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“นักดาบแขนเดียว ความแค้นระหว่างตระกูลตู๋กูข้ากับคนผู้นี้ดูจะไม่เกี่ยวกับเ้านะ เชิญออกไปจากที่นี่ซะ ส่วนคนที่เ้าฆ่าไปเมื่อครู่ ข้าจะคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งของตระกูลตู๋กูกล่าว คล้ายหวาดกลัวนักดาบแขนเดียวมาก ๆ และไม่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าร่วมศึกนี้ด้วย
“วูบ!” ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ก็เห็นแสงสว่างวาบที่ด้านหน้าของนักดาบแขนเดียว ลำแสงนั้นพุ่งไปหาผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นด้วยความเร็ว
“ระวัง!” ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูคนที่เหลือตื่นใจึงรีบเตือนทันที พวกเขารู้ว่าดาบของนักดาบแขนเดียวน่ากลัวเพียงใด หากเขาชักดาบก็เท่ากับความตายมาเยือน เป็ไปตามที่คาดการณ์ คำเตือนของพวกเขาช้าเกินไป ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นพยายามหนี แต่ดาบของนักดาบแขนเดียวตัดร่างเขาขาดเป็สองท่อนเสียก่อน เืพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
“ข้าติดค้างเ้าหนึ่งครั้ง!” เสียงแหบแห้งดังออกจากปากของนักดาบแขนเดียว ความเฉยชาของเขา ราวกับว่าการเข่นฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูเป็เื่เล็ก ๆ น้อย ๆ