“อย่าเพิ่งตื่นตระหนก อยู่ขั้นบ่มเพาะกายา แม้พลังของเขาจะฝืนชะตาลิขิตแค่ไหนก็อยู่ในแดนลับได้ไม่นานหรอก!” ฟู่หยางกล่าว
“ถ้าสวะนี่เจอฟู่เจิน เกรงว่าฟู่เจินคงฆ่าได้อย่างง่ายดาย!” จี๋เหยียนกล่าวพลางยิ้มเยือกเย็น
“งั้นพวกเราก็รอดูกันต่อไป!” เซี่ยชิงซานกล่าวคล้ายเชื่อมั่นในพลังของเย่เฟิง
ในแดนลับ หลังจากเย่เฟิงทำลายวรยุทธ์ของหวังซวน คนอื่นก็ตกอยู่ในความตกตะลึง พวกเขาตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน
“มองอะไร? ส่งชะตาของพวกเ้ามา แล้วไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงกล่าวขณะมองคนเ่าั้ที่มากับหวังซวน ทำให้คนเ่าั้ตัวสั่นเทา เหลือบมองหน้ากันพลางเผยสีหน้าดิ้นรน พวกเขานั้นเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ มีฐานะไม่ธรรมดา บัดนี้อยู่ที่แดนลับ กลับถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาข่มขู่ แต่พวกเขามิกล้าตอบโต้ พวกเขารู้ดีถึงพลังของหวังซวน ว่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้ แต่หวังซวนกลับเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง แล้วพวกเขาจะกล้าขัดคำสั่งของเย่เฟิงได้อย่างไร?
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ มีผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งในพวกเขาทนความกดดันไม่ได้ จึงส่งชะตาของตนไปให้เย่เฟิง เมื่อเห็นมีคนทำ คนที่เหลือก็ส่งชะตาของตนไปให้เช่นกัน จากนั้นออกไปจากที่นี่ด้วยความเร็วสูง
ส่วนชายหนุ่มตระกูลหวังคนนั้นกลับใจไม่นิ่งสงบ ถูกความกลัวเข้าครอบงำ ทั้งตัวจนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และคิดฉวยโอกาสนี้หลบหนีไป
“หยุดนะ!” แต่เมื่อเขายกเท้าจะก้าวออกไป กลับมีเสียงเย็นดังขึ้น ชายหนุ่มคนนั้นได้ยินก็ตัวสั่นแรง เหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หน้าผาก
“เมื่อครู่เ้ายังอวดดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ ว่าให้พี่ชายเ้าฆ่าเราสองคน แต่ตอนนี้คิดจะหนีงั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น พร้อมไอสังหารปะทุออกจากร่าง
“เ้าทำลายวรยุทธ์ของพี่ชายข้า เ้าจะเอายังไงอีก?” ชายหนุ่มตระกูลหวังคนนั้นกล่าว
“จะเอาอะไรน่ะหรือ แน่นอนว่า้าชีวิตของเ้า!” ดวงตาของเย่เฟิงวาบประกายเยือกเย็น ตอนนั้นเองเขาเดินไปหาอีกฝ่าย
“เ้าจะฆ่าข้าหรือ เ้าไม่กลัวหรือว่าตระกูลหวังจะจัดการเ้า?” ชายหนุ่มตระกูลหวังถอยหลังอย่างต่อเนื่องพลางสีหน้าขาวซีด รู้สึกว่ามีกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ปกคลุมตัวเอง หมายพรากชีวิตไปจากเขา เขาจำต้องใช้ตระกูลหวังมาเป็ข้ออ้าง หวังว่าเย่เฟิงจะถอยร่น
“เ้าขู่ข้างั้นหรือ?” เย่เฟิงแสยะยิ้มขณะก้าวเดิน และกล่าวต่อ “ข้าจะบอกอะไรให้นะ ก่อนหน้านี้ข้าก็ฆ่าคนของตระกูลหวังมาแล้ว แล้วจะสนใจคนอย่างเ้าไปทำไม!”
เมื่อสิ้นเสียง ชายหนุ่มตระกูลหวังมีลางสังหรณ์ไม่ดีจึงหมุนตัวแล้วหนีไป แต่กลับเห็นพลังดารารายล้อมร่างเย่เฟิง ก่อนจะใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ ไปเยือนเบื้องหน้าอีกฝ่ายในพริบตา ตอนนั้นเองรังสีหมัดซัดเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย ทำให้ศีรษะของชายหนุ่มคนนั้นแตกะเิ กลายเป็ร่างไร้ิญญา
“หมอนั่นลงมือได้อำมหิตมาก ไม่ใช่คนที่จะยั่วยุได้” ผู้คนรอบข้างพึมพำในใจเมื่อเห็นฉากนี้
“ไม่เป็ไรใช่ไหม!” จากนั้นเย่เฟิงกลับไปหานักดาบแขนเดียว
“ไม่เป็ไร” นักดาบแขนเดียวตั้งตัวได้นานแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้เขาประทับใจในตัวเย่เฟิงยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่ว่าเ้าเป็ใคร มีฐานะอะไร ตราบใดที่ล่วงเกินเย่เฟิง คนผู้นั้นจักต้องชดใช้ด้วยราคาแสนเ็ปอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
จากนั้นพวกเขาเดินไปยังหินั์ก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เย่เฟิงถอนหญ้าิญญาที่อยู่้ามาแล้วส่งให้นักดาบแขนเดียว “กินนี่ซะ แล้วาแของเ้าจะดีขึ้น”
นักดาบแขนเดียวพยักหน้า จากนั้นรับหญ้าิญญามาแล้วกินมันทันที ไม่นานฤทธิ์ยาก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ฟื้นฟูาแของเขา
ฉากนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างกะพริบตาถี่ ในสายตาของพวกเขา หินั์ก้อนนั้นมีแต่ความว่างเปล่า แล้วหญ้าิญญาปรากฏในมือของเย่เฟิงได้อย่างไร?
ผู้คนคิดกันไปต่าง ๆ นานา แต่เมื่อพวกเขาััได้ถึงชะตาอันแกร่งกล้าของเย่เฟิงกับนักดาบแขนเดียว จู่ ๆ ก็นึกถึงประโยคนั้นที่พวกเขาได้ยินครั้งแรกตอนที่เข้ามาในแดนลับ
“หรือจะเป็อย่างที่เสียงลึกลับนั้นพูดขึ้นมาจริง ๆ เมื่อสะสมชะตาก็จะได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น มีหญ้าิญญาเติบโตอยู่บนหินั์ก้อนนั้น เพียงแต่พวกเราไม่มีชะตามากพอจึงไม่สามารถเห็นมัน” ผู้คนคิดในใจ ในที่สุดก็เข้าใจประโยชน์ของชะตาในแดนลับแห่งนี้ หรือกล่าวได้ว่าหาก้าได้รับผลประโยชน์ในแดนลับ จำต้องมีชะตามากเพียงพอ หรือกระทั่งได้รับมรดก
แต่หากผู้ใดมีชะตาไม่มากพอก็เหมือนคนตาบอด บางทีโอกาสอยู่ตรงหน้า แต่กลับคว้ามาไม่ได้ เพราะว่ามองไม่เห็น แล้วจะแย่งชิงมรดกกับคนอื่นได้อย่างไร?
หลังจาก่ชิงชะตามาได้หลายสิบคน วงแหวนชะตาของเย่เฟิงกับนักดาบแขนเดียวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนสว่างขึ้น ครู่ต่อมาาแของนักดาบแขนเดียวก็ฟื้นฟูจนหายดี จากนั้นเขาหันไปมองเย่เฟิง และกล่าวว่า “ข้ากับเ้าอยู่ด้วยกันดูเหมือนจะมีโอกาสได้ท้าทายน้อยลง ข้าว่าพวกเราแยกกันจะดีกว่า แล้วค่อยเจอกันใหม่”
นักดาบแขนเดียวพูดมีเหตุผล การที่พวกเขาเข้าแดนลับ หนึ่งคือเป้าหมายของตัวเอง สองคือขัดเกลาตัวเอง
ทั้งสองคนล้วนมีฝีมือ หากเดินทางด้วยกันจะทำให้ไม่มีความท้าทาย จึงควรแยกทางกัน ส่วนเย่เฟิงก็เชื่อว่า ด้วยพลังของนักดาบแขนเดียวจะต้องอยู่ในแดนลับได้อย่างราบรื่นจนครบกำหนดเวลา ดังนั้นพอได้ยินคำพูดของนักดาบ เย่เฟิงก็พยักหน้า และกล่าวว่า “ในแดนลับมีแต่อันตราย พี่แขนเดียวต้องระวังตัวให้มาก ๆ”
“เ้าก็เหมือนกัน” นักดาบแขนเดียวกล่าว จากนั้นกะพริบร่างออกไป ส่วนเย่เฟิงก็ออกไปจากที่นี่
“แยกกันงั้นหรือ?” ที่โลกภายนอก ฟู่หยางกับจี๋เหยียนเห็นเย่เฟิงแยกทางกับนักดาบแขนเดียวก็เผยรอยยิ้มเย็นเยียบ พวกเขาหวังที่จะให้เย่เฟิงกับนักดาบแขนเดียวตาย และทั้งสองยังแยกทางกันอีก จึงยิ่งทำให้เป้าหมายของพวกเขามีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
สองวันต่อมา เย่เฟิงยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง วงแหวนชะตาที่ด้านหลังของเย่เฟิงสว่างขึ้นมาก สองวันมานี้เขาทัศนาจรทั่วแดนลับคนเดียว ระหว่างทางพบเจอคนมากมาย เมื่อคนเ่าั้เห็นเขาอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาก็คิดจะแย่งชิงชะตา จึงลงมือโจมตีเย่เฟิง แต่กลับล้มเหลว โดยที่ชะตาของตัวเองตกอยู่ในกำมือของเย่เฟิงแทน
เบื้องหน้าเย่เฟิง ไม่มีผู้ใดสามารถรอดชีวิตภายในสามกระบวนท่า ต่อให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าแดนลับอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 3 ขึ้นไปก็ตาม
ตราบใดที่มีคนยั่วยุเย่เฟิงก่อน คนผู้นั้นก็จะถูกเย่เฟิงกำราบและชิงชะตาไป นี่ทำให้ชะตาของเย่เฟิงแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งที่เขาได้เห็นก็เปลี่ยนไป
เขาพบว่ามีสิ่งมีค่ามากมายถูกซ่อนไว้ในมิติที่มีอุณหภูมิสูงแห่งนี้ เมื่อยิ่งชะตาแกร่งกล้าก็ยิ่งเห็นสิ่งของมากขึ้น ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน
แม้เย่เฟิงจะมีชะตาจำนวนไม่น้อย แต่กลับไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในที่แห่งนี้ บางทีนี่อาจเกี่ยวกับการที่เขาไม่ได้เป็ฝ่ายเริ่มล่าคนอื่นก่อน
ขณะนั้นที่ไหนสักแห่งในแดนลับ ชายร่างกำยำคนหนึ่งยืนตระหง่านพร้อมถือทวนจันทร์เสี้ยว ส่วนวงแหวนชะตาที่ด้านหลังสว่างไสว ประหนึ่งเทพาแห่งยุค ซึ่งรอบ ๆ ตัวเขามีศพหลายร่างนอนเกลื่อนกลาด มีเืสด ๆ ไหลออกจากาแ คนเหล่านี้ล้วนเป็คนที่เขาเพิ่งฆ่า ั้แ่เข้าแดนลับมาเขาเลือกที่จะเป็ฝ่ายล่าและ่ชิงชะตา อีกอย่างพลังต่อสู้ของเขายังแข็งแกร่งมาก จนไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้!
คนผู้นี้ก็คือนี่จ้านเทียนผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 2 ในรายนามขั้นรวมชี่แห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แม้จะถูกกดระดับการบ่มเพาะ แต่ก็ไม่ทำให้พลังของนี่จ้านเทียนลดน้อยลง เพียงเวลาสองวันชะตาของเขาก็สะสมถึงระดับที่น่าทึ่ง กลายเป็หนึ่งในไม่กี่คนที่เฉิดฉายที่สุดในแดนลับ เป้าหมายของนี่จ้านเทียนคือ่ชิงชะตาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่งมรดกที่ทรงพลังที่สุด จากนั้นก็เอาชนะตู๋กูหลงในงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียน กลายเป็อันดับหนึ่งแห่งรายนามแท่นศิลาเทียนเสวียน
“นี่จ้านเทียนคนนี้เก่งกาจมาก ชะตาของเขาถึงระดับที่น่าทึ่ง ขึ้นเป็อันดับหนึ่งในเหล่าคนที่เข้าแดนลับ สมแล้วที่เป็อัจฉริยะที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนบ่มเพาะ” มีคนหนึ่งที่ยอดเขาเทพโอสถกล่าว ทำให้คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย แม้พวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนี่จ้านเทียน แต่พวกเขาจำต้องยอมรับในความแข็งแกร่งของนี่จ้านเทียน
“อี้ชิงก็ดูเหมือนจะไม่เลว ชะตาของเขาห่างกับนี่จ้านเทียนเพียงเล็กน้อย นอกจากนี่จ้านเทียน ก็ไม่มีใครสู้กับอี้ชิงได้แล้ว” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะสังเกตเห็นอี้ชิงในหุบเขาแห่งหนึ่งของแดนลับ ซึ่งเป็อัจฉริยะอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาก็ยังสามารถเฉิดฉายได้
สัตว์ประหลาดอย่างนี่จ้านเทียนและอี้ชิง แม้อยู่ภายใต้การกดระดับการบ่มเพาะให้อยู่ระดับเดียวกัน พวกเขาสองคนก็ยังคงเฉิดฉาย ไม่มีสิ่งใดปกปิดความเฉิดฉายของพวกเขาได้
“ถึงนี่จ้านเทียนกับอี้ชิงจะแข็งแกร่ง แต่พวกเ้าก็อย่าลืมว่าฟู่เจินฟู่หยิงคือศิษย์ของวังเทพโอสถข้า พวกเขารู้วิถีโอสถ ดังนั้นอาจจะได้รับมรดกที่ทรงพลังที่สุดในแดนลับ ส่วนคนของนี่จ้านเทียนกับอี้ชิง สุดท้ายก็เป็ได้แค่ตัวขับเคลื่อนให้โดดเด่น” ผู้าุโคนหนึ่งกล่าว จู่ ๆ ทุกคนในที่แห่งนั้นตาเป็ประกายและพยักหน้าเห็นด้วย คิดว่าคำพูดของผู้าุโคนนั้นสมเหตุสมผล
ฟู่หยางที่อยู่ข้าง ๆ เชิดหน้าด้วยท่าทีโอหัง คล้ายรู้สึกดีใจแทนบุตรธิดาของตน
“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง มรดกที่ทรงพลังที่สุดในแดนลับจะต้องเป็ของฟู่เจิน ไม่มีใครสู้กับเขาได้แน่นอน” จี๋เหยียนกล่าว