เ้าหน้าที่กรมยุติธรรมไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆ หลี่เหล่าไท่เหฺยถูกคำว่า ‘พรุ่งนี้ ตัดหัว’ ทำให้ตกตะลึง เนิ่นนานไม่รู้สึกตัว หลี่ฮุยคิดดูแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นักโทษปะา การเข้าเยี่ยมนั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมาย ซ้ำยังเป็คนผมขาวส่งคนผมดำ อย่างไรต้องรบกวนให้เปิดทางแล้ว”
“เื่นี้ย่อมทำได้ แต่เข้าไปอย่านานนัก” ในเมื่อคนของสกุลหลี่พูดเช่นนี้แล้ว เ้าหน้าที่กรมยุติธรรมจึงไม่เอ่ยอันใดอีก
“ขอบคุณท่านยิ่งนัก”
หยวนเฉิงนั้นล้มลุกคลุกคลานเข้าไป ที่จริงแล้วหลี่เหล่าไท่เหฺยไม่อยากเข้าไป แต่เมื่อคิดได้ว่าต้องทำความเข้าใจในเื่นี้สักหน่อย ดังนั้นจึงตัดสินใจเข้าไป
หยวนข่ายเห็นหยวนเฉิงร่ำไห้ด้วยความทุกข์ใจเข้ามา “ท่านพ่อ รีบมาช่วยข้าที ท่านพ่อ ข้าจะได้ออกจากคุกเมื่อใด?” เขายังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาต้องตายแล้ว คิดว่าหลี่เหล่าไท่เหฺยนั้นมาช่วยตน
“เ้าสัตว์เดรัจฉาน ไฉนเ้าจึงไปก่อเื่กับหลี่ลั่ว? ไฉนจึงต้องลักพาตัวเขา?” หยวนเฉิงถาม “หรือว่ากรมยุติธรรมเข้าใจผิด ไม่ใช่เ้าเป็คนลักพาตัวใช่หรือไม่?” หยวนเฉิงได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสรอดชีวิตเป็ความหวังสุดท้าย
“ข้า...ข้าก็แค่โกรธ แต่ข้าไม่ได้สังหารเขา ข้าเพียงแต่ส่งตัวเขาให้กับพวกค้ามนุษย์ เขาถูกขายไปอยู่ที่อื่นก็มีชีวิตที่สุขสบายได้เช่นกัน ข้ายังให้ทางรอดกับเขาอยู่นะขอรับ” หยวนข่ายพูดจาเข้าข้างตนเอง
“เ้า...เ้าช่างเป็สัตว์เดรัจฉานอย่างแท้จริง” หลี่เหล่าไท่เหฺยก่นด่าด้วยความโมโห “ต่อไปสกุลหยวนของพวกเ้ากับสกุลหลี่ของข้า ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก” พูดแล้ว หลี่เหล่าไท่เหฺยก็ออกไปจากคุกหลวงกรมยุติธรรมด้วยความโมโห
เมื่อกลับมาถึงจวนโหว หลี่เหล่าไท่เหฺยตรงเข้าไปยืนต่อหน้าหลี่เหล่าไท่ไท่ “ต่อไปเื่ของสกุลหยวนไม่เกี่ยวกับสกุลหลี่ของข้า หากคนสกุลหยวนกล้าเข้ามาเหยียบที่นี่อีก ก็อย่าได้หาว่าข้าไร้น้ำใจ”
“นี่ท่าน... นี่ท่านเป็อันใดกัน?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม
“เ้าถามเขาสิ” หลี่เหล่าไท่เหฺยจากไป ทิ้งหลี่ฮุยเอาไว้ เขาเดินจากไปด้วยความโมโหโกรธา เดินออกไปแล้วยังไม่พอใจ ยังไปออกคำสั่งกับยามเฝ้าประตูอีกว่า “หากสกุลหยวนมา จงไล่ไปซะ ไล่ไปให้เหมือนกับตีสุนัขถีบส่งพวกมันออกไป”
“ขอรับ” ยามหน้าประตูใสะดุ้งโหยง
“เกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่? เหตุไฉนท่านพ่อของเ้าจึงได้โมโหใหญ่โตนัก?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถามหลี่ฮุย
หลี่ฮุยไม่เคยเกรงกลัวมารดาเลี้ยงผู้นี้ของตน บิดาของเขาตลอดมาไม่ได้ลุ่มหลงในอิสตรี ไม่ว่าจะเป็มารดาใหญ่คนก่อน หรือมารดาใหญ่คนนี้ หรือจะเป็อี๋เหนียงมารดาของเขา แต่เขารักเรียนั้แ่วัยเยาว์ จึงได้รับความใส่ใจจากบิดา และเขาที่เป็ลูกอนุก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของมารดาใหญ่ผู้นี้อยู่แล้วด้วย หลังจากนั้นเขาเข้าพิธีสวมกวานและแต่งภรรยา ภรรยาก็เป็หลานสาวของมารดาใหญ่ บุตรีอนุของจวนชิ่งป๋อ หลี่ฮุยคิดว่าแต่งหลานสาวของมารดาใหญ่ก็เป็การดี เมื่อเป็เช่นนี้มารดาใหญ่จะได้เห็นเขาเป็คนกันเองของนาง ภรรยาและบุตรของเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในจวนได้อย่างสบาย ในเวลาต่อมาก็เป็อย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้จริงๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือจิตใจของภรรยาก็เอนเอียงมาทางเขา
ต่อมาอีกมารดาใหญ่เสนอความคิดร้ายกาจ คนทั้งครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ในจวนโหว หลี่ฮุยก็ยิ่งมีความสุขขึ้นไปอีก ฐานะของจวนโหวพูดออกไปแล้วก็ได้หน้าได้ตา อย่างไรเสียความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดของเขา ติดตามมาก็จะได้ผลประโยชน์ไปด้วย เหตุใดจึงต้องทิ้งให้เสียเปล่าไปเล่า หลี่ฮุยเป็คนฉลาด
“หลังจากข่ายเกอเอ๋อร์ลักพาตัวลั่วเกอเอ๋อร์ ก็ได้ส่งลั่วเกอเอ๋อร์ให้กับพ่อค้ามนุษย์และโจรลักพาตัว เตรียมขายต่อเขาออกไปขอรับ” หลี่ฮุยตอบ ประโยคเดียวทำให้หลี่เหล่าไท่ไท่ใ “ในเวลานี้พ่อค้ามนุษย์และโจรลักพาตัวถูกจับกุมตัวเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าลั่วเกอเอ๋อร์อยู่ที่ไหน คดีนี้ถูกส่งไปยังกรมยุติธรรมแล้ว หลักฐานมีมูลพร้อม ฉีอ๋องจึงได้ทรงมีพระบัญชา...พรุ่งนี้ ตัดหัว”
“ฉี...ฉีอ๋อง?” หลี่เหล่าไท่ไท่ปวดหัวใจยิ่งนัก “เื่นี้เกี่ยวข้องอันใดกับฉีอ๋องเล่า?”
“ลั่วเกอเอ๋อร์มีความสัมพันธ์อันดีกับฉีอ๋อง น้องรองนั้นตายเพราะช่วยชีวิตฝ่าา” หลี่ฮุยพูดเพียงเท่านี้ คนฉลาดเช่นหลี่เหล่าไท่ไท่ย่อมกระจ่างแจ้ง
หลี่เหล่าไท่ไท่โบกมือให้เขาออกไป ภายในพริบตาเดียวนางก็ดูแก่ลงไปมาก “หยางหมัวมัว เ้าว่าจะทำเช่นใดดีเล่า? ข่ายเกอเอ๋อร์จะทำเช่นใดดี?"
“เื่ที่ข่ายเกอเอ๋อร์ก่อขึ้นในครั้งนี้นั้น...” หยางหมัวมัวอยากจะพูดแต่หยุดคำพูดเอาไว้
หลี่เหล่าไท่ไท่ย่อมรู้ดี “เช่นนี้ยามนี้จะทำเช่นใดดีเล่า? ยังมีผู้ใดสามารถช่วยเขาได้อีก?”
“คำสั่งของฉีอ๋อง อีกทั้งข่ายเกอเอ๋อร์ยังรับสารภาพ เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดช่วยได้แล้วเ้าค่ะ”
“หรือว่าต้องให้ข้าคนผมขาวส่งคนผมดำหรือไร?” หยางเหล่าไท่ไท่ร่ำไห้
ณ เรือนหยวนเซ่อ
เื่ของหยวนข่าย หลี่หงได้สืบข่าวคราวมาจากจวนว่าการแล้ว หลี่หงจึงรีบไปบอกกล่าวกับหลี่หยางซื่อที่เรือนหยวนเซ่อทันที
“ช่างเป็สัตว์เดรัจฉานจริงๆ” เมื่อรู้ว่าเป็ฝีมือของหยวนข่าย หลี่หยางซื่อโกรธจนหน้าแดง “ตัดหัวได้ดี สมควรที่จะตัดหัวแล้วเ้าตัวเช่นนี้ ครั้งก่อนรังแกหลินเจี่ยเอ๋อร์ของข้า ครั้งนี้ก็...ว่าแต่ลั่วเกอเอ๋อร์เล่าจะทำเช่นใดดี?”
“ฉีอ๋องสั่งให้คนออกตามหาเลียบตามแม่น้ำทั้งสายแล้วขอรับ เรียกกำลังจากทหารม้าห้าเมือง “ฉีอ๋องกล่าวว่า...อยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ” อักษรแปดตัวสุดท้าย หลี่หงพูดออกมาแล้วปวดใจยิ่งนัก
หลี่หยางซื่อถอนใจครั้งหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะดีกับลั่วเกอเอ๋อร์เช่นนี้ เ้าอยู่ที่นี่รอข่าวจากจวนว่าการเถิด ข้าและหลินเจี่ยเอ๋อร์พรุ่งนี้จะไปสวดมนต์สามวันสามคืน”
ณ วังหลวง
เมื่อจ้าวหนิงฮ่องเต้อ่านหนังสือสืบคดีที่ใต้เท้าจวนว่าการและกรมยุติธรรมส่งมา พระขนงพลันขมวดแน่นไม่คลาย ด้วยเหตุหลี่ลั่วถูกลักพาตัวและพ่อค้ามนุษย์ ทำให้เขาโมโมเสียจนแน่นหน้าอก เด็กน้อยอายุห้าขวบะโหนีทางหน้าต่าง ตามที่เกิดเหตุและเบาะแสนั้นแน่นอนแล้วว่าตกลงไปในน้ำ ไหลไปตามแม่น้ำ ต่อให้เด็กตายลงก็หาไม่พบ
จ้าวหนิงฮ่องเต้หลับตาลง เขาละอายใจต่อหลี่ซวี่นัก
ก่อนที่หลี่ซวี่จะตายสิ่งที่เขาฝากฝังกับพระองค์ไว้คือขอให้พระองค์ดูแลเด็กคนนี้ ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ที่กังวลถึงไม่ใช่จวนโหว ไม่ใช่ภรรยา ไม่ใช่บุตรสาวบุตรชายในภรรยาเอก แต่เป็เด็กน้อยผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยคนนี้มีความสำคัญต่อหลี่ซวี่มากมายเพียงใด มารดาของเด็กน้อยคลอดยาก หลี่ซวี่ต้องรับเด็กคนนี้มาดูแลข้างกาย ไม่ได้ส่งตัวกลับมาจวนโหว แล้วเขาเล่า? ในฐานะเพื่อน เขาทำให้หลี่ซวี่ตายทางอ้อม ในฐานะฮ่องเต้ เขาไม่ได้ดูแลสายเืที่ขุนนางของเขาใส่ใจเป็ที่สุด
ขุนนางผู้นั้นตายเพราะเขา ในอดีตก็ทำศึกามาด้วยกัน พวกเขามีความสัมพันธ์ร่วมเป็ร่วมตายกันมา
หลี่ซวี่...ชีวิตเจิ้นนี้ นอกจากฮองเฮา ก็ผิดต่อเ้าแล้ว
“ฝ่าา”
จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกพระองค์ “ก่วงฉือไต้ซือกลับมาแล้วหรือไม่?”
“กลับมาเมื่อสองวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงตอบ
สองวันก่อนรึ? จ้าวหนิงฮ่องเต้แปลกประทัย ไฉนจึงกลับมากะทันหันนักเล่า? “ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เจิ้น้าไปวัดก่วงเปย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
วัดก่วงเปยนั้นมีผู้มาสักการะจุดธูปเทียนไม่ได้ขาด ชื่อเสียงร่ำลือไปไกล ก่วงฉือไต้ซือเป็ศิษย์ผู้น้องของก่วงเปยไต้ซือ เพื่อช่วยเหลือไท่จื่อเยี่ยนเมื่อหกปีก่อน ก่วงเปยไต้ซือจึงถึงแก่มรณภาพ หลังจากจ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ วัดแห่งนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็วัดก่วงเปย
ก่วงฉือไต้ซือเป็คนมีเมตตากรุณา ไม่อาจคาดเดาอายุได้จากหน้าตาท่าทางของเขา รูปร่างของก่วงฉือไต้ซือสูงใหญ่ แตกต่างจากลักษณะของนักบวชทั่วไปอย่างยิ่ง
การมาของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ก่วงฉือไต้ซือมิได้ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
ภายในห้องได้จัดเตรียมหมากล้อมเอาไว้ก่อนแล้ว ราวกับว่าแขกที่รออยู่คือจ้าวหนิงฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น ในใต้หล้านี้นอกจากจ้าวหนิงฮ่องเต้แล้ว ยังมีผู้ใดที่ทำให้ก่วงฉือไต้ซือรอคอยได้อีกเล่า?
ก่วงฉือไต้ซือยิ้มบางๆ “ฝ่าาเมื่อครั้งเป็แม่ทัพ นิสัยยังไม่ใจร้อนเช่นนี้ แต่วันนี้ไม่ได้เป็ทหารและไม่ได้ออกรบ นิสัยยิ่งมายิ่งใจร้อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
“การเป็แม่ทัพ สิ่งที่พึงระวังที่สุดคือใจร้อน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตอบ “เป็กษัตริย์ มิใช่ใจร้อนไม่ได้”
“ฮ่าๆๆ...ฝ่าาเป็เ้าชีวิตของคนนับหมื่น ตรัสสิ่งใดล้วนถูกต้องทั้งสิ้น” พูดแล้ว ก่วงฉือไต้ซือก็เดินหมากหนึ่งก้าว “อาตมากลับมาครั้งนี้เพราะเื่เกี่ยวกับฉีอ๋อง”
“จวิ้นเฉินเขา...” จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกว่าหัวใจของตนหดเกร็งขึ้นมา “หรือว่าอายุของเขาจะสั้นลงเรื่อยๆ หรือ?”
ก่วงฉือไต้ซือส่ายหน้า “ตรงกันข้าม อาตมารู้ตัวว่าตนเองใกล้จะเดินทางไปพบศิษย์พี่แล้ว ดังนั้นอาตมาจึงทำการคำนวณดวงชะตาให้สหายเก่าผู้มีวาสนาต่อกันอีกครั้งหนึ่ง”
“ไต้ซือ ท่าน...” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตกตะลึง ก่วงฉือไต้ซือใกล้จะมรณภาพแล้วหรือ?
รอยยิ้มของก่วงฉือไต้ซือยังคงเหมือนเดิม “ฝ่าาอย่าได้กังวลพระทัย เป็คนย่อมไม่พ้นความทุกข์นี้” เขาปลงตกยิ่ง “ครั้งนั้นเมื่อฉีอ๋องถือกำเนิด ศิษย์พี่ได้คำนวณดวงชะตาของเขาครั้งหนึ่ง ในตัวเลขนั้นบอกว่าในชีวิตของเขามีเคราะห์ มีอายุได้ไม่เกินยี่สิบปี นอกจาก...”
“นอกจากว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากคนที่อุปถัมภ์เขา” จ้าวหนิงฮ่องเต้กล่าว “และด้วยเหตุนี้ ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ข้าจึงเว้นว่างไว้ตลอดมา รอจนกระทั่งจวิ้นเฉินอายุเกินยี่สิบ...”
“เมื่ออาตมาคำนวณดวงชะตาของฉีอ๋องอีกครั้งนั้น พบว่าเคราะห์ในชีวิตของเขานั้นไม่มีแล้ว”
จ้าวหนิงฮ่องเต้สั่นสะท้านอย่างรุนแรงไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย กระบอกตาทั้งคู่พลันแดงก่ำ กษัตริย์ผู้ครองใต้หล้าที่แข็งแกร่งราวกระดูกเหล็กเกือบจะร่ำไห้ นั่นคือบุตรชายเพียงคนเดียวของพี่ชายที่เขารักและเคารพเสมือนบิดาเหลือเอาไว้ “พิษของเขา...พิษของเขาไม่มีผลแล้วหรือ?”
“อาตมาไม่รู้เื่พิษ แต่เคราะห์ของเขาได้สูญสลายไปแล้ว แสดงว่าเื่การต้องพิษไม่สำคัญอีกต่อไป นับจากนี้ไป...ความสุขส่องสว่างใต้หล้า” กษัตริย์ในรอบพันปี เป็ความสุขของชาวประชาใต้หล้า ก่วงฉือไต้ซือรู้สึกยินดียิ่งนัก ผู้ออกบวชไม่ชอบการศึกา ใต้หล้าสงบสุข เป็สิ่งที่พวกเขาปรารถนา
“หากกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นผู้อุปถัมภ์ในชีวิตของเขาได้ปรากฏตัวแล้ว เป็ผู้ใดกัน?”
ก่วงฉือไต้ซือยิ้มบางๆ ทว่ารอยยิ้มนี้มีแววหยอกล้ออยู่เล็กน้อย “ดวงชะตาเนื้อคู่ของฉีอ๋องปรากฏแล้ว ซ้ำยังเป็บุคคลจากพรหมลิขิตอีกด้วย”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ฉงนเล็กน้อย “นี่เป็ไปไม่ได้ เขาเพิ่งจะสิบสามขวบ ั้แ่ยังเยาว์วัยไร้สตรีข้างกาย”
“ฝ่าาเข้าพระทัยผิดแล้ว” ก่วงฉือไต้ซืออธิบาย “ชะตาคู่ครอง มิได้หมายความว่าจิตใจของเขาอ่อนไหว แต่หมายถึงเนื้อคู่ของเขาได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว”
“ดีเช่นนี้” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงตื้นตันโสมนัส “เจิ้นยังกังวลว่าด้วยนิสัยของเขาแล้วต่อไปจะเข้ากับผู้อื่นได้ลำบาก ในเมื่อมีชะตาคู่ครอง เจิ้นก็วางใจแล้ว ที่เจิ้นมาครั้งนี้ยังมาเพราะคนอีกผู้หนึ่ง”
“อ้อ? เป็ผู้ใดเล่า”
“บุตรชายของสหายเก่าเจิ้นที่ได้จากไปแล้ว เมื่อวานถูกลักพาตัวหายไป เจิ้นอยากรู้ว่าเขายังปลอดภัยดีหรือไม่?”
“ฝ่าามีวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของเขาหรือไม่? ก่วงฉือไต้ซือถาม “แต่ฝ่าาต้องรู้ว่าการคำนวณชะตาชีวิตนั้น หากเชื่อก็มี ไม่เชื่อย่อมไม่มี”
“ไต้ซือโปรดวางใจ เจิ้นเพียงแต่อยากจะสบายใจขึ้นเท่านั้น” วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของหลี่ลั่วนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้ทราบ ก่อนตายหลี่ซวี่ได้บอกกับเขาไว้
เมื่อก่วงฉือไต้ซือทำการคำนวณดวงชะตาของวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากดังกล่าว หัวใจก็พลันเต้นระรัวขึ้นมา
จ้าวหนิงฮ่องเต้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของก่วงฉือไต้ซือที่เปลี่ยนไป ในใจพลันรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี “ลั่วเอ๋อร์เกิดเื่แล้วหรือ? เขาตายแล้วรึ?”
ทว่าก่วงฉือไต้ซือพลันลุกขึ้น แล้วเขียนวันเดือนปีเกิดพร้อมกับเวลาตกฟากของคนสองคน “นี่คือของท่านฉีอ๋อง? ส่วนนี่คือเด็กน้อยที่ท่านพูดถึงเมื่อสักครู่?”
“ถูกต้อง วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของจวิ้นเฉินนั้นไต้ซือก็รู้มิใช่หรือ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้งงงวย
ก่วงฉือไต้ซือหัวเราะเสียงดังออกมาทันที “ฉีอ๋องและคนผู้นี้รู้จักกันใช่หรือไม่?”
“รู้จัก รู้จักกันเมื่อเดือนห้า”
“ความสัมพันธ์เป็เช่นใด?”
“พูดขึ้นมาแล้วก็แปลก จวิ้นเฉินนั้นนิสัยเงียบขรึม แต่กับลั่วเอ๋อร์นั้นกลับถูกชะตายิ่งนัก แต่ลั่วเอ๋อร์เป็เด็กที่ใครๆ ก็ชมชอบ ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก”
“หงส์ัขับขาน ์กำหนด” ก่วงฉือไต้ซือถอนใจครั้งหนึ่ง “ฝ่าาไม่ต้องตามหาผู้อุปถัมภ์ในชะตาชีวิตของฉีอ๋องอีกแล้ว คนผู้นั้นเป็เ้าของวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากนี้”
“อะไรนะ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตกตะลึงพรึงเพริด เขาลุกพรวดขึ้นมา “ท่านพูดว่า...ท่านพูดว่าเด็กน้อยผู้นี้มีชะตาชีวิตหงส์หรือ? เป็ผู้อุปถัมภ์ในชะตาชีวิตของจวิ้นเฉิน”
“ถูกต้อง”
“เป็ไปไม่ได้” จ้าวหนิงฮ่องเต้สีหน้าดำคล้ำ “ไต้ซือคำนวณดวงชะตาผิดพลาดหรือไม่?”
“อาตมากล่าวเอาไว้แล้ว เื่การคำนวณดวงชะตา เชื่อก็จริง ไม่เชื่อก็ไม่จริง” ก่วงฉือไต้ซือไม่ได้โมโห
จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้ว่าตนได้เอ่ยวาจาล้ำเส้นเสียแล้ว จึงรีบอธิบายว่า “ไม่ได้หมายความว่าเจิ้นไม่เชื่อในคำพูดของไต้ซือ เด็กน้อยคนนี้เป็บุตรของหลี่ซวี่ เจิ้นนั้นย่อมรักและเอ็นดูด้วยความจริงใจ แต่...แต่เขาเป็เด็กผู้ชาย เขาจะ...กับจวิ้นเฉิน...”
ความดีของั คำนี้ สำหรับคนทั่วไปยังถือเป็คำต้องห้าม แล้วฝ่าาเล่า
“เอ๋?” ครั้งนี้กลายเป็ไต้ซือที่งงงวยแล้ว “แต่ดวงชะตาชีวิตของคนทั้งสองคนนี้เป็ชะตาชีวิตหงส์และั ดังนั้นอาตมาจึงคิดว่านั่นเป็วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของหญิงสาว อีกทั้ง...เมื่อดูจากดวงชะตาแล้ว ทั้งสองคนลูกหลานมากมาย”
“ลูกหลานมากมายรึ? ให้กำเนิดเองหรือ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถามทันที
ก่วงฉือไต้ซือฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “แน่นอน หากเป็เด็กที่เอามาเลี้ยง ไฉนเลยจะนับได้ว่าลูกหลานมากมาย”
“พวกเขาทั้งสองคน...ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ หรือไร?” แววตาของจ้าวหนิงฮ่องเต้ลุ่มลึก
“จากดวงชะตาแล้วเป็เช่นนั้น ชื่อของฉีอ๋อง กู้จวิ้นเฉิน กู้เป็สกุลของราชวงศ์ จวิ้นเป็ตัวอักษรตามรุ่นของลูกหลาน เช่นนั้นจึงต้องนำตัวอักษร เฉิน มาคำนวณดวงชะตาของฉีอ๋อง เฉิน นั้นเป็หนึ่งในสิบสองของราศีล่าง[1] ซึ่งอยู่ในลำดับที่ห้า ปีนักษัตรคือ ั ัคือตำแหน่งฮ่องเต้ ในชะตาชีวิตของฉีอ๋องมีเคราะห์ครั้งหนึ่ง มีชีวิตไม่เกินยี่สิบปี นอกจากจะมีผู้อุปถัมภ์ หากไม่มีผู้อุปถัมภ์คนนั้นเขาจะไม่สามารถมีอายุได้ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ แล้วจะพูดเื่ตำแหน่งฮ่องเต้ได้อย่างไร?”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ตัวอักษร เฉิน นั้นเป็ก่วงเปยไต้ซือเป็ผู้ตั้งให้ สิบสามปีก่อนเมื่อจวิ้นเฉินถือกำเนิดมา บังเอิญก่วงเปยไต้ซืออยู่ในจวนของเสด็จพี่ ดังนั้นจึงตั้งชื่อให้จวิ้นเฉินด้วยตัวเอง”
“คิดดูแล้ว เมื่อศิษย์พี่ตั้งชื่อให้ฉีอ๋องนั้น ก็ได้คำนวณถึงดวงชะตาชีวิตของฉีอ๋องไว้แล้ว” ก่วงฉือไต้ซือกล่าว
“เช่นนั้นท่านช่วยเล่าถึงตัวอักษรของลั่วเอ๋อร์ให้ทีเถิด หลี่ลั่ว เจิ้นเป็คนตั้งชื่อให้” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัส
ในดวงตาของก่วงฉือไต้ซือส่องประกายวาบถึงการรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ด้วยตนเอง “ฝ่าาพระราชทานชื่อ จึงมีชะตาหงส์ัขับขาน”
“พูดจาเหลวไหล” จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่มีวันยอมรับว่าเป็ความผิดของตนเป็แน่ “เดิมทีเป็อักษรลั่วตัวนี้ (落) ต่อมาเจิ้นเปลี่ยนมาเป็ลั่วตัวนี้ (洛)” จ้าวหนิงฮ่องเต้หยิบพู่กันเขียนอักษร
“ลั่วตัวนั้นไม่ดี เสียหายไปแล้ว ดังนั้นฝ่าาจึงเปลี่ยนชื่อให้...” ก่วงฉือไต้ซือพลันหยุดชะงัก แล้วคำนวณดวงชะตาของหลี่ลั่วใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงพูดอย่างตื่นเต้น “ที่แท้เด็กคนนี้เมื่อเกิดมาชื่อลั่วตัวนี้หรือ ต่อมาฝ่าาทรงเปลี่ยนชื่อให้รึพ่ะย่ะค่ะ?” บางครั้งวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากก็ต้องเชื่อมโยงกับชื่อเข้าไปด้วย วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากเดียวกัน แต่ความหมายกลับไม่เหมือนกัน หากเป็ลั่ว (落) ตัวนี้ เช่นนั้นเ้าของวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากนี้ก็ได้...เสียหายไปแล้ว เสียหาย จากไป ตายไปแล้ว
แต่ถ้าหากเป็ลั่ว (洛) ตัวนี้ แม่น้ำลั่วเหอ ชีวิตของคนผู้นี้ ชะตากำหนดสวยงาม
“เป็เช่นใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เห็นท่าทางของก่วงฉือไต้ซือเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เหตุไฉนคนๆ เดียวแต่มีสองชะตาชีวิตได้? ชัดเจนว่าได้ตายไปแล้ว ทว่ากลับมีพลังชีวิตที่ยังไม่ดับสูญอยู่
“ชะตาชีวิตนี้...คือดวงชะตาชีวิตที่ย้อนกลับมาตามกำหนด์” ก่วงฉือไต้ซือกล่าว “อาตมาไม่เคยพบดวงชะตาชีวิตเช่นนี้มาก่อน หากว่ากันตามชื่อหลี่ลั่ว (李落) ตัวอักษรนี้แล้วนั้น คนผู้นี้ได้ตายไปแล้ว แต่หากว่าคนได้ตายไปแล้ว ทว่ากลับมีพลังชีวิตที่ไม่ดับสูญอยู่ และชะตาชีวิตนี้เป็ฝ่าาที่พระราชทานให้ ฝ่าาเป็โอรสั์ เป็ฮ่องเต้ของโลกมนุษย์ ในเมื่อให้พลังชีวิตไปแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“เป็เจิ้น...ทั้งหมดนี้เป็เพราะเจิ้นใช่หรือไม่?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เงียบขรึมลงทันใด
“ฝ่าาเคยได้ยินเื่ของโฮ่วอี้กับลั่วเสิน[2]หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ก่วงฉือไต้ซือถาม
“แม้เจิ้นจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่นั่นเป็แค่นิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อกันมามิใช่หรือ” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตลอดครึ่งแรกของชีวิตนั้นอยู่บนสนามรบ ไฉนเลยจะมีเวลาไปฟังนิทานพื้นบ้าน
ก่วงฉือไต้ซือยิ้มแล้วส่ายหน้า “นิทานพื้นบ้านกับการดูดวงชะตานั้นเหมือนกัน เชื่อก็จริง ไม่เชื่อย่อมไม่จริง”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไต้ซือเล่าให้ฟังก็ไม่กระไร”
“ในตำนานโบราณนั้น เป็เื่ที่นางฟ้าฝูซีหลงรักทิวทัศน์อันงดงามทั้งสองฝั่งของแม่น้ำลั่วเหอ จึงลงมายังโลกมนุษย์ มีอยู่วันหนึ่ง นางฟ้าฝูซีใช้พิณเจ็ดสายบรรเลงอยู่ริมแม่น้ำลั่วเหอ ด้วยเสียงพิณที่ไพเราะจับใจนั้น จึงดึงดูดคนเร่ร่อนพเนจร นามว่า เหอป๋อ เข้ามา เหอป๋อถูกรูปโฉมอันงดงามของนางทำให้หลงใหล จึงจับนางลงไปขังไว้ในพระราชวังใต้น้ำลึก นางฟ้าฝูซีต้องถูกกักขังไว้ในพระราชวังใต้น้ำลึก ทำให้ไร้ซึ่งความสุข จึงได้แต่ใช้พิณเจ็ดสายคลายความทุกข์ในใจ การดีดพิณครั้งนี้ของนางดึงดูดเทพโฮ่วอี้ เมื่อโฮ่วอี้ได้ฟังเื่ราวที่นางได้ประสบพบเจอ จึงช่วยนางออกไป ด้วยเหตุนั้นทั้งสองคนจึงค่อยๆ เกิดความรักขึ้น หลังจากที่เหอป๋อรู้จึงตามมาล้างแค้น แต่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโฮ่วอี้ หลังจากถูกโฮ่วอี้ทำร้ายกลับไปจนาเ็จึงไปร้องเรียนกับจักรพรรดิ์ เมื่อจักรพรรดิ์รู้เื่ราวั้แ่ต้นจนจบ จึงขับไล่เหอป๋อออกไป ส่วนโฮ่วอี้และนางฟ้าฝูซีก็ได้อาศัยอยู่ริมแม่น้ำลั่วเหอนับั้แ่นั้นเป็ต้นมา ต่อมา จักรพรรดิ์้ายกย่องพวกเขา จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้โฮ่วอี้เป็จงปู้เสิน ให้นางฟ้าฝูซีเป็ลั่วเสิน”
“ความหมายของก่วงฉือไต้ซือ เจิ้นไม่เข้าใจ”
“โฮ่วอี้ก็คือฮ่องเต้บนโลกมนุษย์ ลั่วเสินก็คือภรรยาของโฮ่วอี้” ก่วงฉือไต้ซือหัวเราะขึ้นมา “ข้าหยอกท่านเล่นน่ะ ผู้ออกบวชเงียบเหงามานาน ก็อยากจะพูดเื่ขำขันสักเื่”
ทว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้กลับหัวเราะไม่ออกแม้แต่น้อย
คืนนั้น จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่มีกะจิตกะใจที่จะค้างคืนอยู่ที่วัดก่วงเปย เมื่อเดินหมากเสร็จ เขาจึงนำคำพยากรณ์ของก่วงฉือไต้ซือกลับวังไป
วันถัดมา จ้าวหนิงฮ่องเต้ก็เรียกกู้จวิ้นเฉินเข้าวัง
“เ้า...” สีหน้าของจ้าวหนิงฮ่องเต้เคร่งขรึมยิ่งนัก พระราชนัดดาที่ไร้ซึ่งสีหน้าและอารมณ์ ตรัสแล้วพลันหยุดชะงัก เขาย่อมไม่เชื่อเป็อันขาดว่าหลานชายอายุเพียงสิบสามปีจะไปมีความรักชายหญิงกับหลี่ลั่วซึ่งเป็เด็กชายในวัยห้าขวบ แต่หลานชายของเขาใส่ใจหลี่ลั่วยิ่ง นั่นเป็ความจริง “เ้าวางใจเถิด ลั่วเอ๋อร์ต้องไม่เป็อันใดแน่นอน”
กู้จวิ้นเฉินเงยหน้าขึ้นขวับ “เสด็จอาสาบานนะพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ทรงพลาดสายตาที่ทอประกายแห่งความหวังวูบนั้น “เมื่อวานเจิ้นไปวัดก่วงเปยมา ก่วงฉือไต้ซือกลับมาแล้ว เจิ้นขอให้เขาคำนวณดวงชะตาให้ลั่วเอ๋อร์ เขาบอกว่าชะตาชีวิตของลั่วเอ๋อร์ดียิ่ง ลูกหลานเต็มบ้าน ไม่เกิดเื่อันใด”
การคำนวณดวงชะตาของก่วงฉือไต้ซือนั้นตลอดมาค่อนข้างแม่นยำ กู้จวิ้นเฉินถอนหายใจโล่งอก
“ทว่าก่วงฉือไต้ซือยังได้บอกอีกว่า เ้าก็มีลูกหลานเต็มบ้านเช่นกัน” น้ำเสียงของจ้าวหนิงฮ่องเต้เปลี่ยนกลับมา “จวิ้นเฉิน เมิ่งเต๋อหลางบอกว่าเ้าต้องพิษ มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี”
กู้จวิ้นเฉินคุกเข่าลง ขณะที่คุกเข่าลงไปเขาก็คิดว่าถึงเวลาที่จะอธิบายแล้ว “เป็ลั่วเอ๋อร์ที่ช่วยชีวิตของหลาน” หลี่ลั่วเป็เด็กน้อยที่น่าสงสาร หาก้ามีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบายและทำอันใดตามอำเภอใจ นอกเสียจากว่าเขาจะมีคนที่มีอำนาจแข็งแกร่งคอยหนุนหลัง กู้จวิ้นเฉินถามตัวเองแล้ว ย่อมรู้ว่าตนมีความสามารถที่จะดูแลเขา ความคิดของเขาโลดแล่นรวดเร็ว เสด็จอาดีต่อเขาเสมือนบิดาผู้ให้กำเนิด หากเสด็จอารู้ว่าหลี่ลั่วเป็ผู้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ย่อมต้องมองอีกมุมหนึ่ง เช่นนี้แล้วสำหรับหลี่ลั่วนับว่าเป็การรับประกันอย่างหนึ่ง ดังนั้นคำตอบของกู้จวิ้นเฉินจึงตรงไปตรงมา
“ลุกขึ้นมาพูดเถิด นี่มันเื่อันใดกัน?” สีหน้าจ้าวหนิงฮ่องเต้เรียบเฉย ทว่าในใจนั้นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เป็หลี่ลั่วที่ช่วยชีวิตกู้จวิ้นเฉินหรือ? หรือว่าหลี่ลั่วจะเป็ผู้อุปถัมภ์ในชีวิตของกู้จวิ้นเฉิน ัหงส์ร่วมขับขาน...นี่เป็พรหมลิขิตใช่หรือไม่? จ้าวหนิงฮ่องเต้เติบโตในกองทัพ ั้แ่เด็กไม่ติดอยู่ในกรอบของธรรมเนียมและมารยาท สำหรับความรักต่อเพศเดียวกันนั้น เขาไม่ได้มีอคติอันใด ในฐานะฮ่องเต้คนหนึ่ง ผู้าุโท่านหนึ่ง เขาเพียงแต่กังวลว่ากู้จวิ้นเฉินจะมีโอรสหรือไม่ หากเป็ไปตามที่ก่วงฉือไต้ซือทำนายเอาไว้ เขาสามารถมีลูกหลานเต็มบ้านได้ ถ้าเช่นนั้นเื่เกี่ยวกับหลี่ลั่วนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้ย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ
“ครั้งก่อนที่ลั่วเอ๋อร์เข้าวัง ได้ยินข้ากับพี่สามพูดเล่นกันว่า หากข้าดื่มเหล้ามากๆ อาจจะไม่ต้องรอถึงอายุยี่สิบปีก็จากโลกนี้ั้แ่ยังเยาว์ เดิมทีข้าไม่ได้สนใจ คิดไม่ถึงว่าลั่วเอ๋อร์กลับใส่ใจ เขาสามขวบเรียนปูพื้นฐาน รู้จักตัวหนังสือมากมาย ดังนั้นจึงอ่านและค้นหาหนังสือแพทย์มากมาย จนกระทั่งครั้งนั้นเมื่อจวนของเขาจัดงานเลี้ยง เขามาถามข้าว่าเป็โรคอันใด หลานจึงพูดเล่นกับเขาว่าหลานต้องพิษ กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดหายาถอนพิษให้กับหลาน” ในแววตาของกู้จวิ้นเฉินปรากฏความอ่อนโยนพาดผ่าน เด็กน้อยน่ารักและชาญฉลาดเช่นนั้น ช่างทำให้คนชมชอบเข้าไปถึงหัวจิตหัวใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงความรู้สึกที่เขาได้ตั้งใจวิเคราะห์หาวิธีถอนพิษให้กับตน กู้จวิ้นเฉินยิ่งรู้สึกว่าสามารถทำให้เืในกายของเขาทั้งหมดละลายลงได้
ราวกับมีเปลวไฟกองหนึ่ง กำลังแผดเผาอยู่ในอกของเขา
จ้าวหนิงฮ่องเต้เห็นทุกๆ กริยาท่าทางของกู้จวิ้นเฉินด้วยตาของตนเอง ในใจเขาขื่นขมยิ่งนัก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนในระยะเวลาสามเดือนมานี้กู้จวิ้นเฉินจึงถูกชะตาหลี่ลั่วนัก ที่แท้เป็เพราะเหตุนี้นี่เอง
“แม้แต่เมิ่งเต๋อหลางก็ยังไม่สามารถคิดค้นวิธีถอนพิษออกมาได้ คิดไม่ถึงว่ากลับให้เด็กน้อยอายุห้าขวบเช่นเขาคิดหาออกมาได้ เป็พิษชนิดใดกันเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่อยากจะยอมรับ แต่ด้วยวาสนาที่มีต่อกันเช่นนี้ ทำให้เขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
“เป็พิษชนิดหนึ่งเรียกว่า ตะกั่ว พ่ะย่ะค่ะ ใช้พิษของปลาปักเป้ามาควบคุม พิษของปลาปักเป้าสามารถประสานกับพิษตะกั่วได้ จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนกระแสเืในร่างกายของข้า” กู้จวิ้นเฉินตอบ “ที่หลานกล่าวมาทั้งหมด ล้วนเป็ความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นย่อมเชื่อคำพูดของเ้า” หลี่ลั่วเพิ่งปรากฏกายไม่นาน พิษในร่างของจวิ้นเฉินก็สลายไป คำพูดของก่วงฉือไต้ซือสะท้อนอยู่ในสมองของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จ้าวหนิงฮ่องเต้ถอนหายใจครั้งหนึ่ง “จวิ้นเฉิน เ้าชมชอบสตรีเช่นใด?”
กู้จวิ้นเฉินสีหน้าแข็งค้าง ตอบเสียงเย็นว่า “หลานไม่มีสตรีที่ชอบพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเ้าชมชอบแบบใดเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถามอย่างไม่ยอมถอดใจ
กู้จวิ้นเฉินตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ว่าแบบใดก็ไม่ชอบพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใดเล่า? อายุเช่นเ้า กำลังเป็วัยที่จะมีความรัก” จ้าวหนิงฮ่องเต้ยังคงหยั่งดูท่าทีเขาต่อไป
“ความรู้สึกนั้นต้องเกิดจากใจ ใจไม่หวั่นไหว ความรู้สึกจะมาจากที่ใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ” กู้จวิ้นเฉินย้อนถาม
“เช่นนั้นต่อไปเล่า?”
กู้จวิ้นเฉินลังเลเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่น คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกถึงอนาคตต่อไป
“ช่างเถิด เ้ากลับไปเถิด” จ้าวหนิงฮ่องเต้คิดหนัก
ทว่ากู้จวิ้นเฉินยังไม่อยากกลับ “เสด็จอา ก่วงฉือไต้ซือได้บอกหรือไม่ว่ายามนี้หลี่ลั่วอยู่ที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไหลไปตามน้ำ” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตอบ ทุกอย่างล้วนเป็ชะตาชีวิต หลี่ลั่วเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เขาติว่าลั่วตัวนั้นไม่น่าฟัง จึงเปลี่ยนชื่อเป็หมวดน้ำ กระจ่างใสสงบนิ่ง เหมือนกับดวงตาของเด็กคนนั้น สะอาดบริสุทธิ์ ครั้งนี้ หลี่ลั่วะโหนีทางหน้าต่างตกลงไปในน้ำ ด้วยความละอายใจต่อหลี่ซวี่เขาจึงไปวัดก่วงเปย ครั้นแล้วจึงได้รู้ว่าชะตาชีวิตของหลี่ลั่วนั้น ล้วนเกิดจากการที่ตนไปเปลี่ยนชื่อให้เขา
ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล เด็กน้อยที่ได้รับการพระราชทานชื่อจากโอรส์ มีเพียงลูกหลานขององค์ฮ่องเต้
เด็กน้อยคนนั้น ชะตาฟ้าได้กำหนดมาแล้วว่าเขาเป็ของราชวงศ์
เริ่มขึ้นจากตัวอักษร ลั่ว และรู้จากตัวอักษร ลั่ว
[1] ตี้จือ (地支) หรือ ราศีล่าง คือแผนภูมิ์ใช้สำหรับการนับวันและปีแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็สิ่งสำคัญในโหราศาสตร์ของจีน
[2] โฮ่วอี้กับลั่วเสิน เป็นิยายปรัมปราของจีนที่เล่าสืบต่อกันมา ลั่วเสินเป็เทพแห่งน้ำ ส่วนโฮ่วอี้คือผู้ใช้ธนูยิงพระอาทิตย์จนเหลือเพียงดวงเดียว