จวนของเจิ้นกั๋วกง ภายในโถงกว้างของลานฮ่าวอู๋
ฮูหยินกั๋วกงกำลังดื่มชาอยู่กับอู๋ซื่อมารดาของนาง
อู๋ซื่อเป็ภรรยาของเน่ยเก๋อเสวียซื่อ [1] เถาซิน ฮูหยินกั๋วกงเถาซื่อคือบุตรสาวคนเล็กคนเดียวของนาง
“เยว่หลันบอกว่า ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของจวิ้นเอ่อร์ถูกพวกเ้าเชิญมาอยู่ที่จวน เชิญพวกเขามาพูดคุยสักหน่อยสิ แม่ก็อยากขอบคุณพวกเขาที่ช่วยจวิ้นเอ่อร์ของพวกเราด้วย”
เถาซื่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังสั่งให้สาวใช้ไปเรียกคนมา
“ท่านแม่ นั่นเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของจวิ้นเอ่อร์ นายท่านกั๋วกงยืนยันอย่างแน่ชัดแล้ว ท่านอย่าทำให้ผู้อื่นลำบากใจนะเ้าคะ”
อู๋ซื่อถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง “เ้าเห็นว่าแม่ของเ้าเป็คนเช่นนั้นหรือ? เสียทีที่ข้ารักและคอยห่วงใยเ้ามาหลายปีเพียงนี้ ที่แท้เ้าก็มองแม่เช่นนี้นี่เอง”
เถาซื่อเม้มปากยิ้มเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อของนาง “ท่านแม่ หากท่านเข้าใจความหมายของข้า ท่านก็อย่ากล่าวอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเลยนะเ้าคะ”
“แม่ไม่เข้าใจ ไอ๊หยา เพื่อเ้าแล้วแม่ทุกข์ใจมาครึ่งชีวิต ผลสุดท้ายทำให้เ้ารังเกียจเสียนี่” อู๋ซื่อดึงแขนเสื้อกลับ ถอนหายใจไม่เลิก
สีหน้าฮูหยินกั๋วกงหดหู่ลงทันที ร่างกายของนางไม่ดี ผู้เป็บิดามารดาทุกข์ใจกับเื่ของนางมากมายจริงๆ เห็นผมบริเวณขมับของมารดาตนเองขาวไปครึ่งหนึ่ง น้ำตาของนางก็พรั่งพรูออกมา
เมื่ออู๋ซื่อได้เห็นจึงรีบปลอบนางด้วยความปวดใจ บุตรสาวช่างอารมณ์อ่อนไหวเสียเหลือเกิน คำหยอกล้อไม่สามารถฟังได้
ขณะที่กำลังปลอบโยน สาวใช้ได้รายงานขึ้นว่าพี่น้องสกุลหูมาถึงแล้ว
เถาซื่อรีบเช็ดน้ำตา รวบรวมสติและปรับอารมณ์
เจินจูและผิงอันเข้ามาในห้อง หลังจากนั้นทำความเคารพพวกนาง
อู๋ซื่อพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็สองพี่น้องวัยเยาว์ที่รูปร่างหน้าตาบุคลิกลักษณะโดดเด่นมากนี่เอง พอความรู้สึกประหลาดใจผ่านพ้นไป ก็ถามรายละเอียดในการช่วยคนขึ้น
เมื่อเจินจูทราบว่าคนผู้นี้เป็มารดาของฮูหยินกั๋วกงก็ไม่ได้ปิดบัง กล่าวเหตุการณ์ที่ผ่านมาคร่าวๆ
ขณะที่กำลังกล่าว สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกประตูก็รายงานขึ้นว่าคุณชายมาถึงแล้ว
เซียวจวิ้นได้ยินว่าท่านยายมาพูดคุยสอบถามพี่น้องสกุลหูจึงรีบตามมาทันที ท่านยายของเขาบางคราวก็อารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
การทำความเคารพทักทายกันจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
จนกระทั่งทุกคนนั่งลง น้ำชาก็รินไว้เรียบร้อย หัวข้อสนทนาจึงกลับมาที่เื่ช่วยชีวิตคนอีกครั้ง
“จวิ้นเอ่อร์ ทำไมตอนนั้นเ้าไม่พาผู้คุ้มกันไปมากหน่อย ไม่เช่นนั้นเ้าจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากได้อย่างไร” น้ำเสียงอู๋ซื่อมีความตำหนิเจือปนอยู่
“ท่านยายกล่าวได้ถูกต้องนักขอรับ เป็หลานที่ประมาทเกินไปจริงๆ” เซียวจวิ้นยอมรับผิดแต่โดยดี ท่านยายของเขาบางทีก็เอาจริงเอาจังเป็อย่างมาก ให้คล้อยตามคำพูดของนางไป เื่จึงจะไม่ตึงเครียด
อู๋ซื่อพยักหน้า นางชำเลืองมองสองพี่น้องสกุลหูอยู่อีกสองครั้ง ท่าทางหน้าตาไม่เลวจริงๆ โดยเฉพาะผู้เป็พี่สาว ดวงหน้าไม่แย่ไปกว่าบุตรสาวของนางสมัยยังสาวเลย
ดวงตาของนางวูบไหวสังเกตเซียวจวิ้นขึ้น เห็นเขาแอบชำเลืองมองแม่นางหูอยู่เป็ระยะๆ ดังคาด นางจึงอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
บุญคุณที่ช่วยชีวิตย่อมต้องตอบแทนอย่างแน่นอน แต่จะเอาเื่การแต่งงานของหนุ่มสาวมาเป็เื่ล้อเล่นไม่ได้ แม้แม่นางหูจะรูปโฉมไม่เลว อย่างไรเสียก็เป็เพียงแม่นางที่อยู่ในชนบทของอีกพื้นที่หนึ่ง ส่วนจวิ้นเอ่อร์เป็บุคคลที่มีฐานะหน้าตาความสามารถโดดเด่น แม่นางที่มีฐานะเช่นนี้จะคู่ควรกับหลานชายของนางได้อย่างไร
“แค่ก... จะว่าไปแล้วลูกผู้พี่ที่เป็ผู้หญิงของเ้า เข้าจวนมาหาข้าเมื่อวานด้วย”
ลูกผู้พี่ที่เป็ผู้หญิง? เถาซื่องงงวย เหตุใดท่านแม่จึงเอ่ยไปที่ลูกผู้พี่ที่เป็ผู้หญิงผู้นี้ขึ้นได้
“ลูกผู้พี่ของเ้ามาเพื่อบุตรสาวสามคนที่เหลืออยู่ของนาง เ้าก็รู้ นางให้กำเนิดบุตรชายเพียงคนเดียวหลังจากมีบุตรสาวห้าคน ดังนั้นตลอดมาเลยไม่ค่อยให้ความสนใจกับบุตรสาวเ่าั้ ก็เพราะเป็เช่นนี้ ปลายปีบุตรสาวคนที่สามเพิ่งตกลงกับบุตรชายคนเล็กของจื่อฮุยเชียนซื่อ [2] ส่วนบุตรสาวคนที่สี่ก็ปักปิ่นแล้ว เลยต้องวิ่งเต้นเพื่อบุตรคนที่สี่คนนี้อีก นางน่ะมีชีวิตที่ยากลำบากนัก” อู๋ซื่อกล่าวไม่หยุดปาก
สี่คนที่นั่งอยู่ไม่เข้าใจมูลเหตุของเื่อยู่บ้าง ทำได้เพียงฟังอย่างเงียบเชียบ
“เดิมทีบุตรสาวคนที่สี่ของนางตกลงไว้กับคนผู้หนึ่ง แต่เ้าก็รู้นี่ สี่ปีก่อนเพราะเื่ขององค์ชายสาม จวนขุนนางหลายสกุลถูกค้นบ้านยึดทรัพย์กันไปมากมาย คนที่บุตรสาวคนที่สี่ของนางตกลงด้วยก็อยู่ในนั้นเช่นกัน เ้าอาจจำได้ก็ได้ เป็บุตรชายคนรองของกวงลู่ซื่อชิงหลัวเจวี้ยนผู้นั้น สกุลหลัวได้รับโทษสมคบคิดก่อฏ ทั้งสกุลล้วนถูกสังหารทั้งสิ้น ดังนั้นบุตรสาวคนที่สี่ของลูกผู้พี่เ้าจึงต้องหาคนใหม่อีกครั้งแล้ว”
บุตรชายของกวงลู่ซื่อชิงหลัวเจวี้ยน? ใบหน้าของเจินจูเปลี่ยนไปซีดลงทันที
นางจำได้... หลัวจิ่งเคยบอกกับนาง ท่านปู่ของเขาเป็บัณฑิตฮั่นหลิน บิดาเป็กวงลู่ซื่อชิง บุตรชายคนรองของหลัวเจวี้ยนงั้นหรือ หลัวจิ่งก็มีพี่ชายคนโตอยู่คนหนึ่งพอดีเลย…
เจินจูปรากฏอารมณ์ขุ่นมัวฉุนเฉียวขึ้นหนึ่งสายอยู่ในใจ ดีเลยนี่หลัวจิ่ง มีคนที่จะแต่งงานด้วยแล้วยังมาเกี้ยวนางอีก... เ้าโดนดีแน่
เซียวจวิ้นก็ฟังออกเช่นกัน เขาชำเลืองมองเจินจูที่ใบหน้าไร้การแสดงออกอย่างอดไม่อยู่แวบหนึ่ง หลัวจิ่งคุ้มครองพี่น้องสกุลหูมาส่งที่เมืองหลวงตลอดทาง ส่วนความเป็มาระหว่างนั้นเขาไม่รู้เลย แต่ในเมื่อหลัวจิ่งมีสัญญาหมั้นหมาย เช่นนั้นก็…
“ลูกผู้พี่ของเ้าก็ไม่รู้ว่ามีหน้ามาจากไหน คิดอยากมอบบุตรสาวคนที่สี่ให้กับเหยียนเอ่อร์เสียนี่ ไอ๊หยา ข้าโมโหนัก อีกนิดจวนจะโกรธนางอยู่แล้ว บุตรสาวที่เคยผ่านการตกลงกับผู้อื่นมาเช่นนั้น นางยังกล้ากล่าวออกมาได้อีก การแต่งงานที่ไม่มีอะไรเหมาะสมกันสักอย่าง อยู่ด้วยกันไม่ได้นานแน่นอน เพราะเป็เช่นนี้เื่แต่งงานก็ไม่ใช่เื่ล้อเล่นเลย ส่วนเื่การแต่งงานของจวิ้นเอ่อร์ในวันข้างหน้า เ้าต้องตัดสินใจให้ดีก่อนนะ ต้องบอกให้แม่ฟัง แม่จะได้ตรวจสอบให้เ้าด้วย”
ประโยคสุดท้ายนี้เป็สิ่งสำคัญ อู๋ซื่อ้าที่จะเน้นหนัก
“ท่านแม่ บุตรสาวคนที่สี่ของลูกผู้พี่มิใช่ชิงอวี่หรือ เด็กผู้นั้นค่อนข้างดีมากเลยนะ แม้หน้าตานุ่มนวลเปราะบางไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้เหมือนที่ท่านกล่าวเพียงนั้น นางกับสกุลหลัวเคยตกลงกันเื่หมั้นหมายหรือ? เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน ท่านไปฟังมาจากไหนเ้าคะ?” เถาซื่อขมวดคิ้ว นิสัยชอบถ่ายทอดเื่นินทาต่อของมารดานางนี่แก้ไขไม่ได้จริงๆ
“นี่ไม่ใช่แม่กล่าวสุ่มสี่สุ่มห้านะ เป็แม่สามีของนางเคยกล่าวไว้ตอนมีชีวิตอยู่ แต่เป็แค่สัญญาด้วยปากเปล่า ไม่ได้ตกลงกันเป็จริงเป็จังเท่านั้น” สายตาอู๋ซื่อคลุมเครือเล็กน้อย นางรับปากคนเขาแล้วว่าจะรักษาความลับไว้
เถาซื่อมองผู้เป็มารดาอย่างจนปัญญา “ในเมื่อเป็เพียงสัญญาด้วยปากเปล่า เช่นนั้นก็ไม่มีผล ท่านไม่ใช่เด็กเสียหน่อย เหตุใดไม่เข้าใจหลักการนี้กัน ชิงอวี่แต่งกับเหยียนเอ่อร์ทำไมจะไม่เหมาะสม? ดีเลวอย่างไรคนเขาก็เป็บุตรสาวของขุนนางใหญ่โตขั้นสาม บุตรชายของท่านเพิ่งขั้นที่เท่าไรเองเ้าคะ?”
สัญญาด้วยปากเปล่า? เช่นนั้นก็ไม่มีหนังสือแต่งงาน เจินจูได้ยินชัดเจน สีหน้ากลับดีขึ้นมาได้หน่อยแต่ในใจยังคงคลางแคลงอยู่บ้าง
บุตรสาวของขุนนางขั้นสาม? นามว่าชิงอวี่? ฮะ... โชคชะตาช่างล้อคนเล่นเสียจริง ไม่เช่นนั้นเหตุใดพอมาถึงเมืองหลวงก็บังเอิญพบกับนางเข้าทันที
ใบหน้างดงาม นิ่มนวลน่าทะนุถนอม ยังไม่ทันกล่าวอะไรน้ำตาก็พร้อมไหลออกมาก่อน ช่างเป็มาตรฐานทั่วไปของดอกไม้ขาวดอกเล็กนัก
“…” อู๋ซื่อถูกบุตรสาวตอกหน้าชะงัก บิดาของเหยียนเอ่อร์อยู่ในตำแหน่งขั้นสี่มาห้าปี ยังคงเลื่อนขั้นขึ้นไปไม่ได้ ผลงานแย่เกินไป ต่อให้มีบิดาเป็เน่ยเก๋อเสวียซื่อ ก็ไม่ช่วยอะไรเลยเช่นกัน
“แค่ก... ความหมายของแม่คือ สองสกุลต้องมีความเหมาะสมกันจึงจะสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยความชื่นมื่น การแต่งงานในวันข้างหน้าของจวิ้นเอ่อร์ต้องระมัดระวังรอบคอบให้มาก” นางกล่าวจบก็ชำเลืองมองไปทางสองพี่น้องสกุลหูอย่างมีความหมายแอบแฝง
เจินจูเข้าใจความหมายของนางได้ทันที โธ่เอ๋ย... ผู้าุโท่านนี้ อ้อมไปเสียไกลคิดจะบอกสิ่งนี้เป็นัยๆ นี่เอง อยากจะมองบนใส่นางจริงๆ ไม่ใช่ผู้ใดก็ล้วนอยากสนใจจวิ้นเอ่อร์ของท่านเสียหน่อย
เถาซื่อกับเซียวจวิ้นฟังได้เข้าใจแล้วเช่นกัน สองคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ความโกรธพุ่งขึ้นที่แก้มของเซียวจวิ้น เดิมทีที่ใบหน้าขาวซีดพลันเปลี่ยนไปจนเขียวคล้ำเล็กน้อย
เถาซื่อเห็นเช่นนั้น รีบเบนหัวข้อสนทนาออกไปทันที “ท่านแม่ ท่านโมโหจนไล่ลูกผู้พี่หนีไปแล้ว ภายภาคหน้าเหยียนเอ่อร์ก็ไม่แน่ว่าจะหาแม่นางที่ดีกว่าชิงอวี่ได้นะเ้าคะ ท่านควรพิจารณาให้ดี อย่าใจร้อนเกินไป”
อู๋ซื่อเม้มริมฝีปาก นางคิดได้ในเวลาต่อมา บุตรชายไม่มุมานะคาดว่าชั่วชีวิตนี้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งขั้นสี่ได้ก็ไม่เลวแล้ว เหยียนเอ่อร์ได้อุปนิสัยมาจากผู้เป็บิดา เล่าเรียนดื้อรั้นยึดอยู่ในเหตุผลของตน ล้วนไม่ใช่คนปราดเปรียวพลิกแพลง ต่อไปเมื่ออายุมากแล้วเขาจะพึ่งพาผู้ใดได้อีก หากมีความช่วยเหลือของขุนนางขั้นสาม ย่อมแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ
“แม้ลูกผู้พี่ผู้นี้ไม่ได้เอาใจใส่บุตรสาวเพียงนั้น แต่อย่างไรก็เป็ผู้ให้กำเนิดออกมาเอง เื่ที่ควรช่วยเหลือย่อมช่วยเหลือ ในเมื่อสกุลถังไม่เอ่ยถึงเื่ของสกุลหลัว นั่นหมายความว่าไม่คิดยอมรับ ท่านยังผูกติดเป็เงื่อนตายกับเื่นั้นทำไมกันเ้าคะ นิสัยของลูกผู้พี่ตลอดมาเข้มงวดเ็า ท่านยังไม่รู้อีกหรือว่านางเป็คนเช่นไร” เถาซื่อโน้มน้าวต่อ
เถาซื่อมีพี่ชายอยู่คนเดียว ชอบมุทะลุอยู่แต่กับสิ่งที่คิด ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง หลายปีมานี้เส้นทางชีวิตการเป็ขุนนางไม่ราบรื่นเสียเลย
“…แต่ แม่ได้ปฏิเสธนางไปแล้ว”
ไม่เพียงปฏิเสธไปแล้วเท่านั้น ยามนั้นด้วยความที่นางโมโห จึงเอ่ยคำพูดไม่น่าฟังไปมากมาย พอมาคิดดูตอนนี้ไม่รู้ว่าตนถูกน้ำมันหมูพอกหัวใจ [3] ไว้หรืออย่างไร เหตุใดจึงคิดไม่ถึงความสำคัญที่ลึกซึ้งนี้ได้นะ
เฮ้อ มารดาของนางนี่ นางควรจะกล่าวอย่างไรดี เถาซื่อทอดถอนใจอยู่ข้างใน ทว่าทำได้เพียงยิ้มและกล่าวออกมา
“เอาเช่นนี้แล้วกัน ท่านแม่ ท่านคิดใคร่ครวญให้แน่ชัด แล้ววันหลังข้าค่อยเชิญลูกผู้พี่ผู้นี้มาพูดคุยกัน หากท่านคิดดีแล้วข้าจะส่งต่อคำพูดของท่านเองเ้าค่ะ”
เช่นนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อมีฮูหยินของเจิ้นกั๋วกงเป็แม่สื่อให้ ผู้ใดจะไม่ไว้หน้า อู๋ซื่อฉีกยิ้มกว้างทันที
“รอแม่กลับไปหารือกับพ่อของเ้าก่อน แล้วจะส่งสาวใช้มาบอกเ้า”
เจินจูฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ ที่แท้สกุลถังก็ไม่คิดยอมรับเื่การแต่งงานของสกุลหลัวนี่นา ก็คงใช่... มีโทษฐานสมคบคิดก่อฏ คงไม่มีผู้ใดโง่พอที่จะออกมายืนร้องขอความขมกินเองหรอก [4]
แต่หลัวจิ่งผู้นั้นทราบเื่สัญญาหมั้นหมายหรือไม่นะ?
“คุณชาย เื่ของสกุลถังสืบมาแน่ชัดแล้วขอรับ”
หลัวสือซานยืนอยู่ข้างลานบ้านกำลังกล่าวรายงาน
หลัวจิ่งวางดาบที่กวัดแกว่งไปมาในมือลง ่นี้เขาไม่สามารถฝึกซ้อมวรยุทธ์ได้ดีเลย หรือต้องเจียดเวลาออกมาแล้วฝึกอีกสักรอบ เขารับผ้าแห้งที่ยื่นมาให้จากด้านข้างและเช็ดเหงื่อที่เต็มศีรษะ
“ว่ามา!”
“ไท่พูซื่อชิงถังลี่ มีบุตรสาวห้าคนบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวคนโตกับคนรองล้วนแต่งออกไปแล้ว บุตรสาวคนที่สามได้ตกลงหมั้นหมายกับบุตรชายคนเล็กของจื่อฮุยเชียนซื่อ บุตรสาวคนที่สี่กับคนที่ห้ายังอยู่ใน่รอหาคนหมั้นหมาย และบุตรชายคนเล็กปีนี้อายุแปดปี ขณะนี้เล่าเรียนอยู่โรงเรียนฉงกวางขอรับ”
หลัวสือซานไตร่ตรองแล้วกล่าวรายงาน เขาไม่ทราบแน่ชัดว่าคุณชาย้ารู้ไปในทิศทางไหน
หลัวจิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปากถาม “คุณหนูสี่สกุลถังยังไม่หมั้นหมายหรือ?”
หลัวสือซานหนังตากระตุก เขาเงยหน้ามองหลัวจิ่งปราดหนึ่ง และรีบหลุบตาลงอีกครั้งทันที
“คุณหนูสี่สกุลถังยังไม่ได้หมั้นหมาย แต่ฮูหยินถังเริ่มวุ่นอยู่กับการหาให้นางแล้วขอรับ วันก่อนยังไปถึงจวนของเน่ยเก๋อเสวียซื่อเถาซินด้วยขอรับ สองสกุลมีสายสัมพันธ์กันทางลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ หลานชายของใต้เท้าเถาที่เป็ญาติสนิท นามว่าเถาเหยียนปีนี้อายุสิบหกปี เป็วัยเหมาะสมกับคุณหนูสี่พอดีเลยขอรับ”
“อื้ม เช่นนั้นเื่สำเร็จหรือไม่?” หลัวจิ่งมีชีวิตชีวา รีบเค้นความจริงขึ้น
“เหมือนว่าจะไม่สำเร็จขอรับ ฮูหยินใหญ่สกุลเถาคล้ายว่าจะไม่เห็นด้วย”
“ทำไมกัน?” หลัวจิ่งขมวดคิ้วแน่น
“สายรายงานว่าฮูหยินใหญ่สกุลเถาไม่ชอบใจที่คุณหนูสี่เคยผ่านการพูดคุยเื่แต่งงานมาแล้วขอรับ”
หลัวจิ่งสีหน้าแข็งทื่อ เื่นี้มีคนรู้น้อยมากไม่ใช่หรือ? พวกนางรู้ได้อย่างไร? เหตุใดถึงเป็ผ่านการคุยเื่แต่งงานมาแล้วได้ เป็เพียงสัญญาปากเปล่าเท่านั้นเอง ไร้แม่สื่อไร้การหมั้นหมาย ไม่นับว่ามีผลอะไรเลยไม่ใช่หรือ?
เขาโยนผ้าแห้งในมือให้ผู้ติดตามด้วยความเดือดดาล หลังจากนั้นสาวเท้าก้าวยาวๆ กลับเข้าในบ้าน
การที่จวนสกุลถังไม่ยอมรับการหมั้นจากจวนสกุลหลัว สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ แต่ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง เขายังคงหวังว่าถังชิงอวี่จะสามารถมีครอบครัวพักพิงที่ดีได้
สกุลหลัวไม่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงขึ้นได้ภายในหนึ่งวัน เื่ราวมากมายก็ไม่สามารถเปิดเผยต่อภายนอกได้
แต่จากสถานการณ์ ณ ตอนนี้ หากสกุลหลัว้าล้างความอัปยศที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม กอบกู้ชื่อเสียงคืนสู่สภาพเดิม อาจต้องใช้เวลาอีกนานมากเลยทีเดียว
เชิงอรรถ
[1] เน่ยเก๋อเสวียซื่อ หมายถึง ตำแหน่งคุณวุฒิทางวิชาการเป็บัณฑิตเน่ยเก๋อ(คณะรัฐมนตรี) เทียบได้กับตำแหน่งทางราชการไทยประเภทนักวิชาการระดับชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรองเ้ากรมพิธีการ
[2] จื่อฮุยเชียนซื่อ คือ ผู้บังคับบัญชาลำดับขั้นต้นของขุนนางขั้นสี่
[3] น้ำมันหมูพอกหัวใจ หมายถึง ใจถูกครอบงำจนมืดบอดไร้มโนธรรม
[4] ร้องขอความขมกินเอง หมายถึง แกว่งเท้าหาเสี้ยน