โม่เสวี่ยถงขยับนิ้วมือเล็กน้อย ััได้ถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านฝ่ามือของเฟิงเจวี๋ยหร่าน เพิ่งรู้ตัวว่าที่แท้ภายใต้อุ้งมือแกร่งตนเองก็จับมืออีกฝ่ายไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเช่นกัน ตัวของนางเกือบทั้งหมดซุกอยู่ในอ้อมอกของชายผู้นี้ มิน่าเล่าจึงรู้สึกได้ว่ากระแสความอบอุ่นของเขาไหลวนอยู่รอบกาย
ใบหน้าพลันร้อนผ่าวแดงสุกเป็กุ้งเผา เบนศีรษะหลบไม่กล้ามองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาไร้ที่ติ นางขบริมฝีปากเบาๆ นิ้วมือขยับคล้ายอยากจะปล่อย แต่ก็ไม่กล้า กังวลไปสารพัดว่าหากตนเองปล่อยมือก็อาจตกลงไป
“เป็อะไร?” เฟิงเจวี๋ยหร่านก้มหน้าลงมาถาม เมื่อรู้สึกว่านิ้วมือเรียวเล็กในอุ้งมือของตนเริ่มกระดุกกระดิก
“ไม่มีอะไร” โม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากล่าง ยามนี้ไหนเลยจะกล้าบอกว่ามีปัญหา เฟิงเจวี๋ยหร่านเป็ผู้ใด พระโอรสที่จักรพรรดิจงเหวินตี้โปรดปรานที่สุด บางครั้งแม้แต่องค์เหนือหัวเขาก็ยังไม่ไว้หน้า ไหนเลยจะมาแยแสกับคำพูดของสตรีต่ำต้อยคนหนึ่งเช่นนาง แต่เมื่อนึกได้ว่าตนเองถูกเขากอดไว้ในอ้อมอกเกินกว่าครึ่งตัว ก็รู้สึกเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้า คนผู้นี้ช่างไม่รักษาจารีตธรรมเนียมเอาเสียเลย ไม่รู้หรือไรว่าชายหญิงแตกต่าง ไม่อาจััใกล้ชิด
แม้ว่าวันนี้ตนเองจะไม่อยากเคร่งครัดอะไรมาก แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้นี่นา!
แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านี้โม่เสวี่ยถงได้แต่พร่ำบ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าแย้มริมฝีปากเอ่ยกับเฟิงเจวี๋ยหร่านตรงๆ คนข้างกายนางเป็ใคร... เซวียนอ๋องจอมเผด็จการเชียวนะ ใครจะไปกล้ายั่วโทสะเ้านายพระองค์นี้กัน ทางที่ดีอย่าไปแตะแม้แต่ปลายเส้นขนของเขาจะดีที่สุด
“ไม่มีอะไรทำไมหน้าแดงขนาดนี้ล่ะ ไหนให้ข้าดูไหนซิ มีไข้หรือเปล่า” เฟิงเจวี๋ยหร่านมองใบหน้าเล็กจ้อยของโม่เสวี่ยถงที่โผล่ออกมาจากเสื้อคลุมตัวใหญ่ แล้วยื่นมือมาััหน้าผาก รู้สึกว่ามิได้ร้อนมาก แต่ก็ไม่ปรกติ คิ้วเข้มมุ่นขมวด ยิ่งเห็นใบหน้างดงามพริ้มเพราของนางแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกรับมือไม่ทัน หรือว่านางจะไข้ขึ้นจริงๆ
“ข้าไม่สบาย” เมื่อเห็นเขายื่นมือมาััใบหน้าของตนเอง แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะพยายามแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็เขินอายมากจนพูดไม่ออก ได้แต่นึกค่อนขอดอยู่ในใจ เฟิงเจวี๋ยหร่าน... คนผีทะเล ไยต้องแสร้งทำท่าทางอ่อนโยนดูเป็จริงเป็จังแบบนี้ด้วย ใครจะรู้บ้างหนอว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้หาใช่คนใจบุญสุนทานอันใด แม้ยามนี้ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย แต่อีกประเดี๋ยวใครจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่หาเื่สร้างบุญคุณอันใดกับนางอีก ระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า เขาถามมาแค่ตอบไปก็พอ จะได้ช่วยลดปัญหา
“ป่วยจริงๆ เหรอ ไม่น่าใช่นา... ไหนข้าดูหน่อย” เฟิงเจวี๋ยหร่านยื่นมือมาแตะหน้าผากของโม่เสวี่ยถงอีกครั้ง จากนั้นก็เลื่อนใบหน้าลงต่ำ คล้ายว่าหากไม่อาจรู้สถานการณ์ชัดเจนก็จะไม่ยอมส่งนางกลับง่ายๆ ถึงขั้นตัดสินใจใช้หน้าผากของตนเองััหน้าผากของนาง เพื่อดูว่าตัวร้อนจริงหรือไม่เลยทีเดียว
เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร จนกระทั่งหน้าผากกว้างแตะเบาๆ ที่หน้าผากของนาง ดวงตาทรงเสน่ห์เย้ายวนสบประสานในระยะประชิด จนปลายขนตายาวงอนงามัักันได้ ดวงตาดั่งถูกย้อมด้วยสีหมึกฉายแววล้ำลึกซ่อนเล่ห์ร้าย ดั่งหมายล่อลวงหัวใจหญิงสาว
“เป็ไข้? ไม่สบายด้วย?” น้ำเสียงแ่เบาคล้ายกระซิบกระซาบอยู่ข้างหู เส้นผมของชายหนุ่มพลิ้วไปตามลม มุมปากหยักยกน้อยๆ สะท้อนถึงความเป็อิสระไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใด รูปโฉมหล่อเหลาดั่งปีศาจเ้าเสน่ห์ จมูกโด่งเป็สันรับกับริมฝีปากบาง ดวงตาพราวระยับคล้ายมีมนต์สะกดชวนให้ลุ่มหลง
“ปะ... เปล่า” โม่เสวี่ยถงตอบดั่งคล้ายถูกล่อลวงไปแล้ว
“ประเสริฐ! งั้นพวกเราไปเดินเที่ยวกันต่อ” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ่งทอยิ้มงามปานบุปผาบานสะพรั่ง ่ชิงลมหายใจคนในชั่วพริบตา รอยยิ้มหยิ่งผยองเอาแต่ใจกลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนบางๆ หัวใจของโม่เสวี่ยถงเต้นระรัวประหนึ่งมีกวางน้อยะโไปรอบๆ แม้แต่หายใจยังรู้สึกร้อนลวก รีบก้มหน้างุด หลุบตาลงซ่อนความเขินอาย ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกแม้แต่แวบเดียว
“ดึกมากแล้ว ไม่ไปดีกว่ากระมัง...”
โม่เสวี่ยถงพูดอ้อมแอ้ม ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสายลมที่โชยผ่านใบหน้ากลับกลายเป็ลมอุ่น ปลายเหมันต์เช่นนี้ ไฉนลมที่พัดมาจึงไม่มีความหนาวเย็นเลยเล่า นางเริ่มรู้สึกคล้ายจะเป็ลม จึงหลับตาสูดหายใจลึก แล้วผลักเฟิงเจวี๋ยหร่านที่ขยับใกล้เข้ามาทุกขณะสุดกำลัง ก่อนดึงเสื้อคลุมห่อตัวไว้แน่น กระแสลมที่พัดโชยมาครานี้กลับมาเป็ลมหนาวเย็นะเืดังเดิม
พอหันกลับไปก็เห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า
คนผู้นี้นี่! ร้ายนักเชียว ชอบจงใจหาเื่แกล้งนางอยู่เรื่อย
ในใจนึกเข่นเขี้ยว แต่ไม่อาจจัดการอะไรได้ เพียงแต่ถลึงตาใส่อย่างคับแค้น หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ล่ะก็ เฟิงเจวี๋ยหร่านคงตายไปหนึ่งหมื่นเจ็ดพันสองร้อยสิบแปดรอบแล้ว
คนอะไรเ้าชู้นัก หน้าตาก็... ขนาดนี้ ยังจะมาทำสีหน้าแบบนั้นใส่ผู้อื่นอีก ไม่รู้ว่ามีสตรีกี่คนแล้วที่ตกหลุมพรางของเขา ฐานะก็สูงส่งเป็ถึงเซวียนอ๋อง เหตุใดจึงทำตัวไม่สมฐานะเช่นนี้ ไหนข่าวลือบอกว่าเขาเกลียดการถูกสตรีจ้องหน้าที่สุดอย่างไรเล่า นางไม่เห็นจะเป็ดังว่าสักนิด ดูซินั่น... อารมณ์ดีจนจะทะลุออกมานอกหน้าอยู่แล้ว!
เมื่อเห็นสาวงามสีหน้ากลับมาเป็ปรกติ ทั้งยังถลึงตาใส่ มุมปากของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ่งโค้งขึ้นเป็มุมกว้าง เขาไม่คุ้นตากับท่าทางเหมือนคนป่วยไร้พลังแบบนั้นของนาง เห็นแบบนี้แล้วค่อยรู้สึกขึ้นดีหน่อย นางแมวป่าตัวน้อยกลับมากางเขี้ยวเล็บขู่ฟอดๆ เหมือนเดิมแล้ว
ดูท่าคงต้องเป่าลมใส่อีกเยอะๆ หน่อย เมื่อครู่ขนาดแค่รอบเดียวยังคืนสติกลับมาสดชื่นถึงเพียงนี้ มีแรงมาถลึงตาใส่เขาด้วย
“ไม่ไปจริงๆ หรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านยักคิ้ว
ไปหรือไม่ไปดีล่ะ? โม่เสวี่ยถงลังเลครู่หนึ่ง มองไปยังถนนที่อยู่ห่างไกล วันนี้ผู้คนบนท้องถนนคับคั่ง มีคนสัญจรไปมาคึกคักยิ่ง ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาเป็ระลอก ผู้คนต่างมีความสุข บรรยากาศอันน่ารื่นรมย์แบบนี้ไม่มีในจวนโม่ ยามนี้บ้านตนมีแต่ความอึดอัดกลัดกลุ้ม พวกบ่าวไพร่แม้แต่หายใจยังต้องให้เบาที่สุด บรรยากาศกดดันแบบนั้นทำให้ตนเองแทบหายใจไม่ออก นางจึงอยากออกมาััความสุขภายใต้แสงโคมส่องสว่างเ่าั้บ้าง
ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว นางก็เพียงแค่ไปเดินเล่นไม่ต้องไปสนใจไยดีเขานักก็ได้ ไม่แน่ว่าถ้าได้อยู่ท่ามกลางผู้คนคึกคัก เห็นผู้อื่นยิ้มหัวเราะ อารมณ์ก็น่าจะดีขึ้นเยอะ เมื่อคิดในใจเช่นนี้แล้ว ก็มุ่นคิ้วเล็กน้อยแล้วค่อยตอบไปตามจิตใต้สำนึก “ข้าไป”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมาจากปาก จึงรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว การปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ยากอย่างที่คิด
ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ตรวนที่ผูกติดอยู่กับตัวนางล้วนแต่หนักหนาสาหัสจนนางแทบรับไม่ไหว
เห็นกลางหว่างคิ้วของนางผ่อนคลายลงแล้ว พวงแก้มแดงระเรื่อยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับดวงหน้างามพิลาส แววตากระจ่างใสบริสุทธิ์ของนางคือเสน่ห์ที่ใครก็มิอาจต้านทาน แม้แต่เฟิงเจวี่ยหร่านก็ยังมองตาค้างไปชั่วขณะ ทันทีที่ได้สติคืนมาก็กระแอมกระไอเสียงต่ำ เบนศีรษะไปอีกด้าน กระหวัดร่างบางเข้ามาแล้วพาไปยังถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนสายหนึ่ง
ริมฝีปากของชายหนุ่มลอบยิ้มอย่างยินดีขณะที่โม่เสวี่ยถงมองไม่เห็น วันนี้เขาตั้งใจพานางออกมาเดินเที่ยว แล้วจู่ๆ จะให้กลับไปทั้งที่ยังไม่ได้เดินได้อย่างไร
เฟิงเจวี๋ยหร่านกับโม่เสวี่ยถงเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ยามที่อยู่บนหลังคารู้สึกว่ากระแสชนแลดูหนาตาเป็พิเศษ เมื่อลงมาแล้วรอบกายล้วนเต็มไปด้วยผู้คน แม้จะดึกแล้วแต่ประชาชนในเมืองหลวงก็ยังคงคึกคัก คล้ายว่าเหล่าบุรุษและสตรีต่างออกมารวมตัวกันอยู่ตามท้องถนน เทศกาลแห่งความสุขแบบนี้ก็มิได้เคร่งครัดในธรรมเนียมเื่ชายหญิงไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกันมากเท่าใดนัก
จะเห็นคู่รักหรือคู่สามีภรรยาที่ยังอายุน้อยจูงมือเดินมาเป็คู่ๆ เหล่าบุรุษก็ออกมาเที่ยวเตร่ชมโฉมหญิงงามหลายหลาก เหล่าสตรีก็แอบเสาะหาบุรุษที่ถูกใจ เทศกาลแบบนี้มิได้มีข้อจำกัดต่อหนุ่มสาวเคร่งครัดมากนัก ดังนั้นก็จะเห็นชายหนุ่มหญิงสาวนัดหมายออกมาเดินเล่นด้วยกันอยู่ประปราย
โม่เสวี่ยถงเดินตามเฟิงเจวี๋ยหร่านไปตามถนนที่แสนคึกคัก มองดูโคมไฟสว่างไสวจากร้านค้าสองข้างทางอย่างเพลิดเพลิน มองเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ตลาดในยามค่ำคืนให้บรรยากาศแตกต่างจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง ดูครึกครื้น มีแต่เสียงหัวเราะเริงรื่น ในคืนวันส่งท้ายฤดูหนาว ทุกหนแห่งล้วนมีกิจกรรมการละเล่นทายปริศนาโคมไฟ สร้างความครื้นเครงและเสริมบรรยากาศแห่งความสุขบนท้องถนนแต่ละ่
เฟิงเจวี๋ยหร่านสวมอาภรณ์แพรต่วนคอกลมสีม่วงปักลายัด้นเมฆา คาดเอวด้วยสายคาดหยกร้อยสลับกับอัญมณีสีม่วง เรือนผมดำสนิทดั่งความมืดยามราตรีรวบมัดไว้ด้วยสายรัดสีม่วงเช่นกัน อาภรณ์สีม่วงไม่เพียงแต่เพิ่มความลึกลับชวนค้นหา ยิ่งขับเสริมให้เขาดูทรงเสน่ห์เย้ายวนประหนึ่งปีศาจที่กระชากจิติญญาผู้คนให้หลุดออกจากร่าง กลิ่นอายสูงศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์คล้ายแผ่กำจายออกมาจากกระดูก
เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาดูโดดเด่นเหนือสามัญ หญิงสาวจำนวนมากเมื่อเห็นเงาร่างนั้นต่างมองตาไม่กะพริบ ใบหน้าแดงซ่านสะเทิ้นอาย สายตาของพวกนางมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ด้วยรังสีสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมารอบกายทำให้พวกนางรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควร จึงมิกล้าเข้าไปเริ่มต้นพูดคุยก่อน
โม่เสวี่ยถงถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้เสื้อคลุมกันหิมะตัวใหญ่ของเฟิงเจวี๋ยหร่าน เขาผูกเชือกใหม่ให้นาง ดังนั้นจึงมีเพียงดวงตาคู่งามที่เผยออกมาให้เห็น ไม่เป็ที่สะดุดตามากนัก เขากุมมือนางไว้ข้างหนึ่งอย่างแ่า บนถนนผู้คนมากมาย โม่เสวี่ยถงมิใช่คนไร้เหตุผล หากไม่จับมือกันให้แน่น ไม่ช้าอาจถูกฝูงชนที่รายล้อมเบียดจนพลัดหลงกันได้ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้เขาจับมือของตนโดยมิได้ถือสา
คืนนี้แสงจันทร์สุกสกาวลอยสูงอยู่เหนือท้องฟ้า ประหนึ่งโคมดวงใหญ่ที่ทอแสงนวลผ่องทำให้บรรยากาศนุ่มนวลเย็นตา ความสุขที่รายล้อมล้วนทำให้คนผ่อนคลายความกังวลที่รัดรึงอยู่ในจิตใจ แล้วค่อยๆ ดื่มด่ำไปกับความสุขสนุกสนานของผู้คน โม่เสวี่ยถงตื่นตาตื่นใจจนมิได้สังเกตว่าวันนี้เฟิงเจวี๋ยหร่านอ่อนโยนกับนางเป็พิเศษ ไม่จงใจกลั่นแกล้งหรือยั่วยุให้นางโมโหอย่างทุกครั้ง ต่างฝ่ายต่างจับมือััความอบอุ่นของกันและกัน ระยะห่างเริ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“เป็อย่างไร ชอบหรือเปล่า” เห็นนางมองซ้ายมองขวา แววตาซ่อนความประหลาดใจไว้ไม่อยู่ ไม่มีความหมองเศร้าฉาบฉายเช่นก่อนหน้านี้ เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ้มแล้วถามขึ้นด้วยความพึงพอใจ
“ชอบมากเลย ขอบพระทัยท่านอ๋องมากเพคะ” ยามนั้นสายตาของโม่เสวี่ยถงถูกผู้ที่ยืนอยู่บนเวทีสูงดึงดูดเข้าอย่างจัง แต่ก็ตอบคำถามพลางผงกศีรษะรับ เวทีสูงแบบนี้ที่จริงนางก็เดินผ่านมาสองสามแห่งแล้ว ล้วนเป็สถานที่สำหรับการละเล่นทายปริศนา แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นก็คือคนที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีไม่เยอะมาก ทว่าล้วนเป็ขุนนาง ผู้สูงศักดิ์และหนุ่มสาวจากสกุลผู้ดี ของรางวัลสองสามชิ้นที่วางอยู่บนเวทีกลับดึงดูดสายตาของโม่เสวี่ยถงโดยไม่รู้ตัว
ไข่มุกกลมเกลี้ยงที่ทอแสงนุ่มนวลเป็ประกายแวววาวแม้ในความมืด แค่มองก็รู้ว่าเป็ของล้ำค่า
อีกชิ้นหนึ่งเป็มีดสั้นขนาดเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มสีเขียวมรกตคู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร สีดั่งสระมรกตแบบนั้นดูงามล้ำชวนให้ใจเต้นแรง เห็นเล็กๆ แบบนั้น ไม่แน่ใจว่าเป็มีดสั้นจริงๆ หรือไม่ ที่ด้ามจับของแต่ละชิ้นดูคล้ายปิ่นปักผมของสตรี ที่ปลายยังห้อยชายด้วยสายสร้อยที่ร้อยด้วยไข่มุกสองสามเส้น
“ของชิ้นนั้นงามมากเลยหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านเห็นสายตาของโม่เสวี่ยถงจับจ้องอยู่ที่ของสองชิ้นนั้น แววตาเป็ประกายวิบวับ ไหนเลยจะได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดอยู่
“อื้อ งามนัก” โม่เสวี่ยถงยังไม่ละสายตาไปจากมีดสั้นล้ำค่าคู่นั้น หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกคุ้นตานัก ดูเหมือนว่านางจะรู้จักพวกมันมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น
“งามกว่าข้าอีกหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านเริ่มไม่พอใจ ดึงโม่เสวี่ยถงให้หันมา สตรีมากมายที่อยู่รอบข้างล้วนส่งสายตาจ้องมาที่เขา มีก็แต่หญิงสาวข้างกายซึ่งตนเองจับมืออยู่ที่สมาธิไม่จดจ่อเอาเสียเลย
โม่เสวี่ยถงััได้ถึงรังสีพิฆาตที่กรุ่นอยู่ในน้ำเสียง จึงหันกลับมา เมื่อเห็นแววตาไม่สบอารมณ์จ้องมองตนเองอยู่ก็รีบตอบไปตามความสัตย์ “ย่อมไม่งามเทียบท่านอ๋องได้อยู่แล้วเพคะ ดูจากสายตาของสตรีที่รายล้อมอยู่ก็รู้ได้”
ผู้ใดมีตาย่อมรู้ได้ว่าเซวียนอ๋องหล่อเหลาเป็เลิศ โม่เสวี่ยถงย่อมมิกล้าสาดน้ำเย็นใส่เขา ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังมีจิตใจคับแคบเป็ที่สุด
เฟิงเจวี๋ยหร่านค่อยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่เมื่อเห็นเหล่าสตรีที่รายล้อมล้วนมองตนเองตาค้างก็เกิดนึกรำคาญขึ้นมา รีบจูงมือโม่เสวี่ยถงเดินไปด้านหน้า ไม่เหลือบแลดรุณีน้อยที่ส่งสายตาหวานฉ่ำให้แม้แต่แวบเดียว
โม่เสวี่ยถงรู้สึกอึ้งงัน ไม่คิดว่าแค่วาจาไม่กี่คำของตนเองจะทำให้เฟิงเจวี๋ยหร่านที่หน้าหงิกหน้างออยู่เมื่อครู่กลับยิ้มหน้าบานเป็จานเชิง ดวงตาทอประกายวิบวับในชั่วพริบตา เซวียนอ๋องผู้สูงศักดิ์กลายเป็คนมีอารมณ์แบบเด็กน้อยเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร ดวงตาเบิกกว้างอย่างดีอกดีใจเยี่ยงนั้นดูจะไร้เดียงสาไปแล้วกระมัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้