เล่มที่ 1 บทที่ 13 สิ่งหนึ่งสยบอีกสิ่ง
หลายวันให้หลัง หลินเฟยก็สามารถรวบรวมลูกแก้วปีศาจสิบก้อนสุดท้ายจนครบ
เขาโคจรพลังปราณแยกไอมรณะออกมาบรรจุลงในขวดหยกตามเดิม ตอนนี้ในขวดหยกมีกลุ่มหมอกดำที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มควันเหล่านี้ขยับไปมาอยู่ข้างในราวกับสิ่งมีชีวิต หลินเฟยตระหนักได้ว่านี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่าน้ำพุเหลืองกำลังจะกลั่นออกมาแล้ว จึงรีบเก็บขวดกลับไป ก่อนจะก้าวออกจากประตูเพื่อไปตามหาบริเวณที่มีไอหยินเข้มข้น
เมื่อเปิดขวด ไอมรณะด้านในก็พวยพุ่งออกมา กลุ่มควันเ่าั้ก็พลันเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ค่อยๆกลายสภาพเป็สิ่งที่จับต้องได้ หลินเฟยเองก็ไม่ได้รีบร้อนนัก วาดมือออกเพื่อวางค่ายกลจวี้หลิงด้วยลูกแก้วปีศาจ ก่อนจะหยุดยืนดูอยู่ข้างๆ เพราะมีค่ายกลจวี้หลิงช่วยนี่เอง จึงทำให้ไอมรณะจากขวดหยกเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกลุ่มหมอกดำเ่าั้ก็รวมตัวกลายเป็หยดน้ำที่ใสบริสุทธิ์หยดหนึ่ง...
หยดน้ำที่หยดลงในขวดหยก หากไม่ตั้งใจดูดีๆ ก็คงจะไม่สังเกตเห็นว่ามันปล่อยกระแสไอเย็นออกมาอย่างต่อเนื่อง ต่อให้หลินเฟยเป็ผู้บำเพ็ญย่างชี่ขั้นสูงสุด ก็แทบจะต้านทานไม่ไหว ทำได้เพียงมองผ่านๆ ก่อนจะปิดผนึกขวดหยกอย่างรวดเร็ว...
“ยังดีที่ไม่เสียแรงเปล่า...” การได้หยดน้ำพุเหลืองมาอีกหยด ทำให้หลินเฟยอารมณ์ดีไม่น้อย ประโยชน์ของน้ำพุเหลืองไม่ได้มีไว้แค่หลอมแยกอาวุธ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญขั้นจู้จีนั้น หากได้ััแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกไอมรณะกัดกร่อน เช่นนั้นแล้วชีพจรปราณาเ็เองก็ยังถือเป็เื่เล็กๆ แต่หากไม่ระวัง ขั้นบำเพ็ญอาจจะถดถอยลงเลยก็เป็ได้
เรียกได้ว่าหลังจากที่หลินเฟยทะลุมิติมา ในมือของเขาเองก็คว้าเอาสิ่งที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลมาด้วย
หลินเฟยเก็บขวดหยกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินกลับที่พัก หากนับเวลาดูก็จวนจะได้ออกไปแล้ว เพราะนายน้อยจากสำนักเทียนซือนั่นอยู่ที่สำนักเวิ่นเจี้ยนได้เกือบสามเดือนแล้ว คิดว่าคงจะไม่อยู่ฉลองปีใหม่ด้วยหรอก ฉะนั้นหลังจากพวกเขากลับไป ตัวเขาก็น่าจะถูกปล่อยตัวออกไปเช่นกัน ถือโอกาส่ที่ยังมีเวลา รีบไปเอาสิ่งนั้นออกมาดีกว่า...
“หื้อ?” ในขณะที่หลินเฟยกำลังครุ่นคิด พลันสายตาก็เหลือบเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
พอรู้แล้วว่าเป็ใคร หลินเฟยก็หัวเราะขึ้นมา
“บังเอิญจังนะ ศิษย์พี่ซ่ง”
คนที่มาก็คือซ่งเทียนสิง ศิษย์สายตรงของสำนักเวิ่นเจี้ยนนั่นเอง ซ่งเทียนสิงเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหยุดมองหลินเฟยั้แ่หัวจรดเท้า แล้วค่อยแค่นหัวเราะออกมา พร้อมกล่าวตอบ
“เหอะ ครั้งนี้ไม่ได้บังเอิญหรอก แต่ที่ข้ามาก็เพราะได้รับมอบหมายให้มาเฝ้าเวรที่ถ้ำเสวียนปิง เหมือนว่าจะได้มีโอกาสเจอกันบ่อยขึ้นแล้วล่ะ...”
เมื่อกล่าวจบ ซ่งเทียนสิงก็รออะไรบางอย่าง…
รออะไรน่ะเหรอ...
ก็ต้องรอหลินเฟยมาขอร้องอ้อนวอนน่ะสิ!
ไม่เห็นต้องถาม...
แค่ดูก็รู้แล้ว อากาศหนาวขนาดนี้ แถมยังเต็มไปด้วยไอหยิน บัดนี้เ้าหลินเฟยหนาวจนหน้าม่วงคล้ำไปหมด ดูท่าศิษย์น้องซูจะทำภารกิจคอยกลั่นแกล้งเ้าหลินเฟยที่เขาสั่งไว้ได้เป็อย่างดี บางทีเ้านั่นอาจจะแอบร้องไห้ไปหลายครั้งหลายหนแล้วก็ได้
ดังนั้น เหตุผลในการปรากฏตัวของเขานั้นเอง ก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่าที่ผ่านมาเป็แค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ต่อจากนี้ต่างหากที่เป็ของจริง เ้าหลินเฟยไม่มีทางที่จะนิ่งเฉยได้อย่างแน่นอน แค่ไม่ลงไปกอดขาอ้อนวอนเขากับพื้นก็ถือว่าเก่งแล้ว
หึหึ ถ้าสำนึกผิดอย่างจริงใจล่ะก็ อาจจะพิจารณาออมมือให้บ้างก็ได้...
ทว่า ผลคือรอแล้วรออีก จนซ่งเทียนสิงรู้สึกไม่ชอบมาพากล...
‘ทำไมไม่ขอร้องเขาล่ะ?’
ซ่งเทียนสิงเริ่มลนลาน แม้จะมีรอยยิ้มบนหน้าเหมือนเดิม แต่ในใจกลับอยากเอ่ยเตือนว่า “ นี่ ตกลงเข้าใจในสิ่งที่พูดหรือไม่ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ข้าจะมาเฝ้าเวรที่นี่นะ ที่โดนศิษย์น้องซูแกล้งคิดว่าหนักหนาแล้วหรือ? ไม่ต้องเป็ห่วง ต่อจากนี้ตัวข้านี่แหละ จะรับ่ต่อเอง แถมยังจะจัดชุดใหญ่ให้ด้วย! ”
“ถ้าไม่อยากถูกแกล้งละก็ โขกหัวกับพื้นอ้อนวอนข้าสิ อ้อนวอนน่ะ...ทำเป็หรือไม่?”
ในที่สุดก็รอไม่ไหว ซ่งเทียนสิงจึงเอ่ยปากเตือน ได้ยินเช่นนั้นหลินเฟยก็ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ
“อ้อ...”
“...” ซ่งเทียนสิงแทบคลั่ง เ้านี่ฟังรู้เื่หรือไม่? จากนี้ไปเขาจะเป็คนมาเฝ้าเวร เขาจะเป็คนเฝ้าเองเชียวนะ เข้าใจหรือเปล่า?
หัดใช้สมองหน่อยเถอะ ตอนนี้ข้าโกรธมาก หากวันหน้าข้าเป็คนเฝ้าเวร เ้าจะต้องเจอดีแน่ ดังนั้นตอนนี้เ้าควรจะร้องไห้คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ
"แล้วไอ้ อ้อ นี่มันหมายความว่าอะไร?"
‘เอาเถอะ จะให้โอกาสอีกครั้งก็แล้วกัน...’
“่ที่ผ่านมา ศิษย์น้องหลินอยู่ที่นี่เป็อย่างไรบ้าง?” ซ่งเทียนสิงคิดในใจ แบบนี้คงจะพอแล้วนะ อยู่ถ้ำเสวียนปิงมาหลายวัน คงจะลำบากน่าดู หากไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพเดิม ก็แสนจะง่ายดาย แค่ขอร้องเขาเท่านั้น
สุดท้าย หลังจากพูดจบก็ยังต้องรอไปอีกนาน
รอจนปากของซ่งเทียนสิงเริ่มกระตุก ‘บ้าเอ๊ย ให้มันน้อยๆหน่อย อย่าลีลาเยอะ’ ใครไม่รู้ ก็คงจะคิดว่าตัวเขาต่างหากที่เป็นักโทษ แค่คุยด้วยยังเหนื่อยขนาดนี้ ‘คงคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเ้าอย่างนั้นสินะ?’
ผ่านไปอีกสักพัก...
“ก็พอไหว”
‘ก็พอไหว’ คำนี้เพียงคำเดียวทำให้ซ่งเทียนสิงะเิขึ้นทันที “หลินเฟย!”
“หื้อ?”
“เ้าๆๆ...” เขาได้แต่เรียกซ้ำๆเช่นนี้อยู่นาน ส่วนซงเทียนสิงก็รู้สึกใบ้กินไปเสียดื้อๆ หรือว่าจะให้ทำโทษที่เขาเมินข้า? หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป คงได้ขายหน้ากันไปหมด มาถึงจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียแล้ว ซ่งเทียนสิงรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที ‘ทำไมไม่หัดจำบ้างนะว่าต้องรู้จักอดทน แค่คำพูดนิดเดียวของเ้านี่ ก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟอีกแล้ว’
‘จริงสิ ซูหยวน...’
“ให้มันเข้ามา!”
‘ใช่แล้ว ต้องแบบนี้แหละ’ ถึงยังไงเขาก็เป็ศิษย์หุบเขาเทียนสิง จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับนักโทษคนหนึ่งได้อย่างไร หากเื่นี้ถูกแพร่งพรายออกไปก็คงจะไม่น่าฟัง แต่กับซูหยวนไม่เหมือนกัน ซูหยวนเป็ศิษย์สายนอก ด้วยฐานะของเขา คงไม่กลัวขายหน้า อีกอย่าง หลายวันมานี้ซูหยวนก็เป็คนรับหน้าที่กลั่นแกล้งหลินเฟย หากเขาเข้ามา เ้าหลินเฟยก็คงจะรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้าง
‘แบบนี้เขาเรียกว่าเอาสิ่งหนึ่งมาสยบอีกสิ่ง...’
ในขณะที่กำลังจะให้คนไปตามซูหยวน แต่แล้วซูหยวนก็มาพอดี ‘สายข่าวช่างรวดเร็วจริงๆ’ ซูหยวนวิ่งเหยาะๆเข้ามา หลังจากเห็นซ่งเทียนสิงก็ยกยิ้มประจบขึ้นทันที
“คารวะศิษย์พี่ซ่ง”
“อื้ม” ซ่งเทียนสิงพยักหน้าตอบรับอย่างพอใจ ‘แบบนี้ต่างหากถึงจะเป็ท่าทีที่มีต่อศิษย์สายตรง...’
ทว่าซ่งเทียนสิงยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากชม ศิษย์น้องซูผู้ที่เขาคิดว่าจะเชื่อฟังกลับเดินผ่านหน้าเขาไปเสียแบบนั้น ก่อนจะหยุดยิ้มประจบตรงหน้าหลินเฟยแทน
“อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ศิษย์พี่หลินออกมาทำไมกัน มีเื่อะไรก็ใช้พวกศิษย์น้องไปทำสิ...”
“...”
เดิมที ซ่งเทียนสิงคิดจะยื่นมือออกไปรับคารวะซูหยวน ก่อนจะแสดงท่าทีความเป็ผู้บำเพ็ญชั้นสูงเพื่อข่มให้ยำเกรง แต่สุดท้าย มือที่ยื่นออกไปกลับต้องค้างกลางอากาศ ร่างกายทั้งตัวหยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง สองตามองไปยังซูหยวนที่มีรอยยิ้มระบายอยู่เต็มหน้า ซ่งเทียนสิงสงสัยเหลือเกินว่าเขานั้นฝันไปหรือเปล่า…
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้