บทที่ 7:พินัยกรรมอำลา
บรรยากาศในห้องรับรองพลันหนักอึ้งราวกับมีใครมาสูบอากาศออกไปจนหมด กงเฉินจื่อ หยางหลิงฟาง และลุงหวัง ต่างยืนนิ่งอยู่ในภวังค์ของตัวเอง หยางหลิงฟางเข้าใจดีว่านี่คือการตัดสินใจที่บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การเดิมพันชีวิตกับเื่ราวที่เหนือธรรมชาติเสียยิ่งกว่านิยายไซไฟ... เป็ใครก็ต้องคิดหนัก
“เฮ้อ...” กงเฉินจื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ เื่แรกที่ผุดขึ้นมาในหัวไม่ใช่ภารกิจกู้โลก แต่เป็เื่ที่ธรรมดาและสำคัญที่สุด “แล้ว... ครอบครัวของผมล่ะครับ” เขาหันไปถามลุงหวัง
ชายชรายิ้มให้อย่างอบอุ่น “เื่นั้น... เราเตรียมไว้แล้วขอรับคุณหมอ โปรดรอสักครู่”
ว่าแล้วลุงหวังก็เดินหายเข้าไปในห้องด้านใน ทิ้งให้กงเฉินจื่อนั่งกระวนกระวายใจอยู่กับหยางหลิงฟาง เขายกชาขึ้นจิบแก้เก้อ แต่ในใจกลับร้อนรุ่มไปหมด
ไม่นานนัก ลุงหวังก็เดินกลับออกมาพร้อมแฟ้มเอกสารสีดำหนาเตอะ เขาวางมันลงบนโต๊ะด้วยความนอบน้อม ก่อนจะหยิบซองกระดาษสีเทาออกมาอย่างบรรจง ภายในซองนั้นคือเอกสารสองชุดที่หัวกระดาษเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘พินัยกรรม’
“เดี๋ยวนะครับลุงหวัง” กงเฉินจื่อเลิกคิ้วสูง “อย่าบอกนะว่านี่คือพินัยกรรมของผม? ผมยังไม่ได้ป่วยเป็อะไรเลยนะ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ขอรับ” ลุงหวังหัวเราะ “แต่เป็พินัยกรรมที่เกี่ยวข้องกับคุณหมอโดยตรง... ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่า ตระกูลหยางของเรารับใช้ราชสำนักและช่วยเหลือผู้คนมาหลายร้อยปี ทรัพย์สินที่ได้รับพระราชทานและได้รับบริจาคมานั้น... มากมายมหาศาล”
เขากวาดมือไปรอบๆ “ทุกวันนี้มูลนิธิของเรามีโรงพยาบาลในเครือกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ มีบุคลากรทางการแพทย์ที่เราสร้างขึ้นมานับหมื่นคน”
“แล้วมันเกี่ยวกับพินัยกรรมฉบับนี้ยังไงครับ” กงเฉินจื่อเริ่มไม่แน่ใจว่านี่คือการชวนทำภารกิจหรือการขายประกันชีวิตกันแน่
“พินัยกรรมฉบับนี้... เป็ของบริษัทเวชภัณฑ์ในเครือของเรา เพียงแค่คุณหมอลงนามในฐานะผู้รับผลประโยชน์...” ลุงหวังเว้นจังหวะ ก่อนจะทิ้งะเิลูกใหญ่ “...เงินปันผลจำนวน 10% หรือประมาณ 20 ล้านหยวนต่อเดือน ก็จะถูกโอนเข้าบัญชีของผู้รับผลประโยชน์ทันที ยังไม่รวมกำไรสุทธิอีก 20% ตอนสิ้นปีนะขอรับ”
พรวด!
กงเฉินจื่อที่กำลังจิบชาอยู่ถึงกับสำลักออกมาเสียงดัง “แค่กๆ! เท่าไหร่นะครับ! ยี่สิบล้าน... ต่อเดือน! นี่ลุงล้อผมเล่นใช่ไหม!?”
“เงินจำนวนนี้ถือเป็แค่เศษเสี้ยวเล็กๆ เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหยางขอรับ” ลุงหวังกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับกำลังพูดถึงเงินค่าขนม
“แต่... แต่ทำไมต้องให้ผม! ผมเป็ใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่ญาติโกโหติกาของพวกท่านสักหน่อย!” กงเฉินจื่อสับสนจนแทบจะบ้า นี่มันยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งซ้อนกันสิบงวดเสียอีก!
“ฮึๆๆ” ลุงหวังยิ้มอย่างมีความสุข “เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ของตระกูลหยาง... แต่มันคือเงิน ‘ของคุณหมอเอง’ ต่างหาก”
“จะเป็เงินของผมได้ยังไง! ผมยังไม่ได้ยกนิ้วขึ้นมาทำอะไรเลยนะ!”
“ในพินัยกรรมระบุไว้ชัดเจน... ผู้ที่ผ่านประตูมิติเข้ามาคือ ‘ผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์’ และเป็ผู้สร้างความมั่งคั่งนี้ขึ้นมา” ลุงหวังพลิกพินัยกรรมไปยังหน้าสุดท้าย แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่ช่องผู้ลงนาม...
กงเฉินจื่อ.!
“บ้าน่า!!!” กงเฉินจื่ออุทานลั่นห้องจนหยางหลิงฟางที่นั่งเงียบอยู่นานต้องลุกพรวดพราดเข้ามาดูด้วยความใ
“เป็... เป็ชื่อของคุณหมอจริงๆ ด้วยค่ะ!” เธออุทานเสียงสั่น
“มันจะเป็ไปได้ยังไง!” กงเฉินจื่อหันไปมองลุงหวังราวกับจะขอคำอธิบาย
“ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยขอรับ” ลุงหวังกล่าวอย่างใจเย็น “คุณหมอแค่เดินทางข้ามมิติไป... ทำงานในฐานะแพทย์เทวดา... ชื่อเสียงและความสามารถของคุณหมอจะสร้างทรัพย์สินมากมายมหาศาลให้กับตระกูลหยางในอดีต... พินัยกรรมฉบับนี้ก็คือผลตอบแทนจากน้ำพักน้ำแรงของตัวคุณหมอเอง... ที่เดินทางข้ามกาลเวลากลับมาหาเ้าของที่แท้จริง”
กงเฉินจื่ออ้าปากค้าง สมองของนักวิทยาศาสตร์ในตัวเขากำลังประมวลผลด้วยความเร็วสูงสุด... มันคือทฤษฎี Bootstrap Paradox... เขาคือผู้สร้างอดีตที่ส่งผลมาถึงอนาคตของตัวเอง!
“ถ้า... ถ้าผมปฏิเสธล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นขอรับ” ลุงหวังยิ้ม “ทรัพย์สินเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะผู้สร้างไม่เคยย้อนกลับไปสร้างมัน... แต่สิ่งที่น่าเสียดายกว่าเงินทองก็คือ โอกาสที่คุณหมอจะได้ช่วยเหลือผู้คนนับล้านชีวิตต่างหาก”
กงเฉินจื่อสูดหายใจเข้าลึก... ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว แต่เขายังมีสิทธิ์ที่จะเลือก เขาหันไปมอง หยางหลิงฟางเพื่อหาความมั่นใจ เธอสบตาเขากลับอย่างแน่วแน่
“อาจารย์หยาง... เรามีเวลา 8 วัน... ไปเปลี่ยนแปลงโลกด้วยกันเถอะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฮึกเหิมขึ้น
“ถึงจะยากลำบากแค่ไหน ฉันก็จะยืนอยู่เคียงข้างคุณหมอค่ะ”
“ตกลง! แต่ปัญหาคือผมจะบอกแม่กับน้องสาวยังไง ว่าจะหายตัวไปเป็ชาติ”
“เื่นั้นง่ายมากขอรับ” ลุงหวังกล่าว “มูลนิธิของเรามีทุนส่งนักศึกษาไปเรียนต่อต่างประเทศทุกปีอยู่แล้ว คุณหมอก็แค่บอกว่าได้ทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่เยอรมนีสักสิบปีก็สิ้นเื่”
“แล้วเงินล่ะ?” กงเฉินจื่อคิด ‘มีเงินเข้าบัญชีเดือนละ 20 ล้าน แต่บอกว่าไปเรียนต่อเนี่ยนะ?’
“บางครั้ง... เงินก็แก้ปัญหาได้ทุกอย่างนะขอรับ” ลุงหวังยิ้มอย่างรู้ทัน
กงเฉินจื่อหัวเราะออกมา... นั่นสินะ! เขาดิ้นรนเรียนหมอมาแทบตายก็เพื่ออนาคตที่ดีของครอบครัวไม่ใช่หรือ? แล้วนี่คืออะไร? ทางลัดสู่ความสบายไปตลอดชาติ! แถมยังได้ออกไปผจญภัยในโลกที่ไม่มีใครเคยได้ไปอีก... งานนี้มันมีแต่ได้กับได้ชัดๆ!
“ถ้าเช่นนั้น... ผมพร้อมจะเซ็นแล้วครับ!”
ลุงหวังยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วกลับออกมาพร้อมกล่องไม้เคลือบเงาสีแดงเืนก เมื่อเปิดออก... ภายในบุด้วยกำมะหยี่อย่างดี มีปากกาพู่กันจีนโบราณด้ามหนึ่งวางอยู่ ด้ามปากกาสีแดงเืนกเช่นเดียวกับกล่อง ปลายพู่กันเป็สีทองอร่าม บนด้ามมีลวดลายสลักเสลาอย่างงดงาม
“ปากกานี่... ยังมีหมึกอยู่เหรอครับ” กงเฉินจื่อถามติดตลก
แต่หยางหลิงฟางกลับจ้องมองปากกาด้ามนั้นด้วยสีหน้าแปลกๆ “ฉัน... ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับปากกาด้ามนี้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
เธอหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความใ เมื่อเห็นตัวอักษรเล็กๆ สลักอยู่บนด้ามปากกา...
‘ที่ระลึกมอบให้... กงเฉินจื่อ... จาก หยางหลิง’
ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ! กงเฉินจื่อหยิบกล่องขึ้นมาดู พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นชื่อร้านสลักไว้ที่มุมกล่อง... ‘หลี่ม่อ... หมึกบ้านตระกูลหลี่’
“ข้อความนี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันขอรับ” ลุงหวังกล่าวอย่างใจเย็น “แต่ถ้าให้เดา... ผมว่าคุณหมอกับคุณหนู... คงจะเคยไปที่ร้านนี้ด้วยกันมาแล้วอย่างแน่นอน... ในอดีต”
ทั้งคู่ยืนมองตากันปริบๆ ... เื่ราวมันซับซ้อนยิ่งกว่าซีรีส์เกาหลีเสียอีก!
กงเฉินจื่อสลัดความสับสนทิ้งไป เขาจรดปลายปากกาลงบนพินัยกรรม... ลงนามในประวัติศาสตร์ที่เขากำลังจะสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง จากนั้นลุงหวังก็หยิบตราประทับออกมาสองอัน... อันหนึ่งคือตราของตระกูลหยาง และอีกอัน... คือตราประทับในชื่อของ ‘กงเฉินจื่อ’
เมื่อตราประทับสีแดงสดถูกกดลงบนกระดาษ กงเฉินจื่อก็หัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ให้มันได้อย่างนี้สิ!”
เื่ราว... มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ!