เล่มที่ 1 บทที่ 29 หุบเขาว่านเป่า
ยังดีที่ตาเฒ่ายังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง เขารีบเอ่ยเสริมขึ้นมา ก่อนที่หลินเฟยจะอาละวาด
“อ้อ จริงสิ ได้ยินว่าเ้าเจอปีศาจขั้นเยาตี้ที่ผาปากเหยี่ยวมาหรือ? ตอนแรกอาจารย์ก็คิดจะไปช่วยอยู่หรอก แต่เผอิญมีเื่คอขาดบาดตายของสำนักเวิ่ยนเจี้ยนเข้ามาขัดเสียก่อน จะปลีกตัวออกไปก่อนก็ไม่ได้ จึงช้าไปนิด..."
“...” หลินเฟยกลอกตา ‘ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ เื่คอขาดบาดตายอะไรกัน หากเกิดเื่แบบนั้นจริง เ้าสำนักจะต้องไล่ท่านไปที่ผาปากเหยี่ยวเป็คนแรกด้วยซ้ำ ก่อนจะเรียกประชุมเหล่าผู้าุโคนอื่น’
‘แบบนี้ยังจะมีหน้ามาเรียกกว่าไปช้านิดอีกหรือ?’
‘มันช้าไปถึงสองเดือนเลยต่างหาก!’
เอาเถอะๆ หลินเฟยรู้ดีว่าตาเฒ่าหน้าหนาเพียงใด อย่างไรก็ตามที่มาวันนี้นั้น ก็แค่อยากมาถามเื่แร่ขั้นโฮ่วเทียน จึงไม่คิดจะมาฉีกหน้าตาเฒ่าในตอนนี้ หลินเฟยคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ขอบคุณอาจารย์ที่เป็ห่วง..”
“ไม่เป็ไรๆ...”
“จริงสิ ท่านรอบรู้เื่การหลอมอาวุธเป็อย่างดี เช่นนั้นจะต้องรู้ว่าจะสามารถหาแร่ขั้นโฮ่วเทียนได้ที่ใดสินะ?”
“แร่ขั้นโฮ่วเทียนไม่ได้หากันง่ายๆหรอกนะ อาจารย์ปู่ของเ้ามีวาสนาจึงได้มาก้อนหนึ่ง ต่อมาเอามาหลอมเป็กระบี่จุยหุน ซึ่งเป็อาวุธคู่กายที่ผนึกจิติญญาไว้ ทำให้ท่านไม่เคยพ่ายให้กับใครใน่หลายร้อยปีที่ผ่านมา แต่ช่างน่าเสียดาย…หลังจากท่านสิ้น กระบี่จุยหุนก็หายไปหลังจากที่เฝ้าร่างเคียงข้างท่านอาจารย์ปู่อยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ จากนั้นมาก็ไม่มีใครได้เห็นมันอีกเลย ว่าแต่…ทำไมเ้าถึงเกิดอยากรู้เื่นี้ขึ้นมาล่ะ?”
“คือข้า...”
“เดี๋ยวก่อน...” ขณะที่หลินเฟยกำลังจะอ้าปาก ทันใดนั้นตาเฒ่าก็เกิดชะงักขึ้นมา ก่อนจะดึงหลินเฟยมายืนตรงหน้า เขาใช้สายตาประเมินหลินเฟยั้แ่หัวจรดเท้า สุดท้ายจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ไปถึงขั้นย่างหยวนแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ั้แ่ตอนที่อยู่แม่น้ำหยิน เคราะห์ดีเหลือเกินที่ได้บรรลุย่างหยวนพอดี...”
“ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว ไม่เจอหน้ากันเพียงสองเดือน ศิษย์ข้าก็บรรลุย่างหยวนแล้ว มิน่าเ้าถึงถามหาแร่ขั้นโฮ่วเทียน หากได้แร่โฮ่วเทียนมาหลอมอาวุธประจำกายแล้วล่ะก็ งานศิษย์สายตรงที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้า เ้าก็พอจะมีหวังอยู่ ไม่ลองไปที่หุบเขาว่านเป่าดูก่อนล่ะ?”
“หุบเขาว่านเป่า?”
หลินเฟยพอรู้จักหุบเขาว่านเป่าอยู่บ้าง… ในสิบสองหุบเขาแห่งสำนักเวิ่นเจี้ยน มีเพียงหุบเขาว่านเป่าเท่านั้นที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็หุบเขาเทียนสิงที่ดูแลเื่กฎเกณฑ์ หรือหุบเขาหมัวฟงที่ดูแลเื่การหลอมอาวุธ แต่ก็ไม่มีที่ใดจะครึกครื้นได้เท่าหุบเขาว่านเป่าแล้ว...
‘เพราะว่าที่นั่นเป็ตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดของสำนักเวิ่นเจี้ยนน่ะสิ’
อย่างที่รู้ ทั่วทั้งสำนัก มีผู้าุโลงไปถึงศิษย์มากกว่าหมื่นคน การที่มีคนมากมายเช่นนี้ ก็คงไม่แปลกอะไรที่จะ้ายาลูกกลอนช่วยในการบำเพ็ญ บ้างก็้าหินิญญา หรือบ้างก็้าอาวุธ แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่มีทางไปรวบรวมมาเองหรอก
แต่หากแลกเปลี่ยนกันอย่างลับๆ ก็เกรงว่าจะเกิดเื่ขัดแย้งกันในสำนัก หากเป็เช่นนั้นหุบเขาเทียนสิงคงวุ่นวายน่าดู เแต่ละวันคงมีเื่ทะเลาะเบาะแว้งให้จัดการไม่หยุด...
จึงมีหุบเขาว่านเป่าเกิดขึ้นมานั่นเอง...
‘ทว่าหุบเขาว่านเป่าจะมีแร่ขั้นโฮ่วเทียนอยู่จริงๆหรือ?’
ก็เพราะมันเป็สิ่งวิเศษที่ยากจะพบเจอ อีกทั้งสำนักเวิ่นเจี้ยนยังเป็สำนักที่มุ่งเน้นการฝึกฝนกระบี่ หากใครได้แร่ขั้นโฮ่วเทียนมา ก็คงจะรีบนำมันไปหลอมเป็อาวุธคู่กายไปจนหมดแล้ว
“ได้ยินมาว่า เมื่อหลายเดือนก่อน มีคนคิดจะนำแร่ขั้นโฮ่วเทียนมาแลกของบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จนถึงตอนนี้ก็ยังหาคนแลกไม่ได้ หากรีบไปเสียตอนนี้ บางทีอาจจะเจอก็เป็ได้ แต่ขอเตือนไว้อย่างหนึ่ง นั่นเป็แร่ขั้นโฮ่วเทียนเชียวนะ เ้ามีหินิญญาเพียงพอเพื่อแลกแล้วหรือ?”
“นี่...ตอนที่พูดน่ะ ช่วยเลิกจ้องถุงเงินข้าสักทีจะได้ไหม?”
“...”
หลังจากลับสายตานักพรตเฒ่ามาได้ หลินเฟยก็มุ่งหน้าไปที่หุบเขาว่านเป่าทันที ต้องยอมรับเลยว่าหุบเขาว่านเป่าไม่เหมือนที่ใดจริงๆ แม้แต่หุบเขาอวี้เหิงหรือหุบเขาอื่นๆ ที่กว่าจะผ่านเข้ามาถึงได้ จะต้องรายงานตัว และผ่านการอนุญาตก่อน แต่สำหรับหุบเขาว่านเป่ากลับไม่เป็เช่นนั้น ตลอดทางไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบเลยสักนิด เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้นก็มาถึงยอดเขาว่านเป่าในที่สุด
“สุดยอด...”
เมื่อเดินทางมาถึง หลินเฟยก็มองเห็นหอที่สูงนับร้อยจ้าง มันทั้งโอ่อ่าและงดงาม เมื่อเทียบกับลานน้อยผุๆที่หุบเขาอวี้เหิงแล้ว ที่นี่ดูอลังการมากเลยทีเดียว นี่คงเป็หอว่านเป่าที่เลื่องชื่อแห่งหุบเขาว่านเป่าสินะ ขณะที่หลินเฟยเดินมาถึงบริเวณหน้าประตู ก็มีศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาหา…
“ศิษย์พี่ท่านนี้คงจะมาที่นี่เป็ครั้งแรกสินะ เช่นนั้นแล้วให้ข้าพาเยี่ยมชมดีหรือไม่ หากพึงพอใจก็ช่วยตกรางวัลเป็หินิญญาสักหน่อยก็พอ...”
หลินเฟยรู้สึกประหลาดใจทันทีเมื่อสิ้นเสียงของผู้มาใหม่ ‘มีบริการแบบนี้ด้วยหรือ?’
แต่ก็ดีเหมือนกัน…หากเขามัวแต่ตามหาแร่ขั้นโฮ่วเทียนด้วยตัวคนเดียวก็คงจะเสียเวลาน่าดู มีคนช่วยนำทางเช่นนี้ก็อาจจะง่ายลงหน่อย เสียหินิญญาไปสักก้อนสองก้อน ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร คิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็หยักหน้าตอบตกลง
“คงต้องลำบากศิษย์น้องหน่อยแล้ว”
ศิษย์ผู้นำทางคนนี้ค่อนข้างพูดน้อยเลยทีเดียว ทั้งคู่คุยกันแค่เล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าหอว่านเป่า ไม่นานหลินเฟยก็รู้ว่าอีกฝ่ายชื่อว่า “ โจวเจิ้ง ” เพิ่งจะฝากตัวเข้าเป็ศิษย์สายในของหุบเขาว่านเป่าในปีนี้ เพราะว่าเพิ่งเข้ามาไม่นานนี้เอง จึงถูกมอบหมายให้รับหน้าที่เฝ้าประตู ในแต่ละวันมีจะต้องนำทางผู้ที่มาเยือน เพื่อแลกกับหินิญญาเพียงเล็กน้อย ถือว่าคนผู้นี้รอบรู้เื่หุบเขาว่านเป่าเลยทีเดียว
หลังจากก้าวเข้าหอว่านเป่า โจวเจิ้งก็เริ่มแนะนำ
“ศิษย์พี่หลิน ที่นี่เป็สถานที่แลกเปลี่ยนของเหล่าศิษย์สายนอก เพราะเป็ศิษย์สายนอก จึงมีหินิญญาไม่มากนัก เลยไม่ยอมให้หุบเขาว่านเป่ากินส่วนแบ่ง จึงแลกเปลี่ยนกันที่นี่กันเป็ส่วนมาก บางครั้งก็มีของดีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องรอนานหน่อย...”
หลินเฟยเดินวนสำรวจรอบหนึ่ง ก็เข้าใจคำว่า “รอ” ของโจวเจิ้งทันที...
ช่วยไม่ได้…ที่แห่งนี้มีของมากมายเต็มไปหมด ทั้งแร่หิน สมุนไพร ยันต์ต่างๆ ถือว่ามีครบทุกสิ่งก็ว่าได้ ทว่าคุณภาพต่ำไปเสียหน่อย หลินเฟยตาไวถึงขนาดสังเกตเห็นว่ามีคนขายภาพวาดชุนกง*ด้วย ‘คนขายนี่ก็ช่างสรรหาจริงๆเลยนะ ไม่รู้ว่าไปได้มาจากที่ใด’
(*ชุนกง คือ ตำราเล่าเื่เพศ)
หลังจากเดินวนมาได้หนึ่งรอบ หลินเฟยก็รู้สึกคุ้มค่ากับหินิญญาที่เสียไป เพื่อให้ศิษย์ผู้นี้นำทาง ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ใช้เวลาถึงชาติหน้ากระมังปีมะโว้นู่นล่ะมั้ง กว่าจะหาแร่ขั้นโฮ่วเทียนเจอ
“จริงสิ ได้ยินมาว่าเมื่อหลายวันก่อนมีคนนำแร่ขั้นโฮ่วเทียนมาอย่างนั้นหรือ?”
“อ้อ ที่แท้ก็มาเพราะแร่ขั้นโฮ่วเทียนนี่เอง” โจวเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา ไม่นานก็หันซ้ายหันขวาให้แน่ใจ ก่อนจะกระซิบแ่เบา
“ข้าขอเตือน…อย่ายุ่งกับแร่ก้อนนั้นจะดีกว่า...”
“หมายความไง?”
“คือว่า...” โจวเจิ้งลังเลชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ข้าเห็นว่าท่านไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร จึงขอเอ่ยเตือน หากมีคนถามละก็ ห้ามบอกว่าข้าพูดเชียวนะ...”
หลินเฟยพยักหน้าตอบ
“รู้แล้วๆ”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------