สำนักชิงอีตั้งอยู่บนเขาว่านเหอ ตอนนี้อวี๋มู่กับเขาลงจากเขาว่านเหอแล้วเข้าสู่ป่าฟางหยวน ต้นไม้หนาแน่น ทอดยาวออกไปไกลหลายสิบกิโลเมตร รอบข้างยังมีทิวเขารายล้อมมากมาย คนของสำนักชิงอี ถึงจะอยากหาพวกเขาให้เจอแค่ไหน ก็ไม่ใช่เื่ง่ายเลย
่กลางวัน อวี๋มู่บอกกับเว่ยจวินหยางว่าจะออกไปสำรวจรอบๆ พร้อมกับหาของที่พอกินได้เพิ่มเติม เด็กน้อยใช้สายตาพินิจเขาอยู่นานครึ่งค่อนวัน จ้องจนเขารู้สึกขนลุกซู่ในใจจึงพยักหน้า ตอบตกลง
ในปากมีดอกหญ้า เขาเคี้ยวมันในปาก อวี๋มู่เดินเข้าป่าลึกตามที่ระบบนำทางอย่างเชื่องช้า
แสงอาทิตย์ฤดูร้อนสาดผ่านแมกไม้ระยิบระยับ ส่องลงมาบนร่าง แต่ไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
เขากำลังคลำทางว่าเดินมาไกลเท่าไหร่แล้ว จากนั้นหาต้นไม้ที่มีร่มเงานั่งพิงพักผ่อน
คงเป็เพราะก่อนหน้านั้นได้รับาเ็อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเ้าของร่างเดิมจึงพกยาจินฉวงไว้กับตัวถึงสามขวด นับว่าเป็ปริมาณที่มากทีเดียว
อวี๋มู่จัดการถอดเสื้อนอกออกมา แกะผ้าพันแผลเปื้อนเืตรงท้องออก กัดฟันแล้วเทยาลงไป จากนั้นใช้ผ้าสะอาดที่เมื่อวานล้างเก็บไว้ออกมาพันแผล ผูกเงื่อน
ตัวช่วยระงับความเจ็บของระบบนั้นช่วยได้แค่จุดเดียว ที่เหลือต้องอดทนเอาเอง ไหนจะความเ็ปจุกแน่นที่ยากจะระบายออกมาได้
เขาไม่กล้าทายาต่อหน้าเว่ยจวินหยาง เพราะถึงยังไงบนร่างกายเขานอกจากาแ ก็ยังมีรอยช้ำที่อีกฝ่ายกระทำชำเราเขา ช่างน่าอายยิ่งนัก
อีกอย่างจากที่ระบบบอกกับเขาว่าเว่ยจวินหยางจำเื่คืนนั้นไม่ได้ หากตัวเองเอะอะไปเปลือยร่างบอบช้ำเยินๆ นี่ต่อหน้าคนคนนั้น อย่างไรก็ไม่สมควร
ได้แต่หาข้ออ้างแล้วหลบออกมาแทน
ท่อนบนของเขาตอนนี้ดูแล้วยังน่าเวทนา มีเพียงลำคอกับไหปลาร้าที่มีผ้าพันแผลปกปิดอยู่ ั้แ่่อกจนถึง่หลังมีแต่รอยเขียวช้ำและรอยฟัน โดยเฉพาะแถวช่องแคบด้านหลัง มีรอยนิ้วทั้งห้าเด่นชัดด้วยแรงของผู้ชายฝังอยู่ทั้งสองข้าง ตอนนี้แค่ััโดนก็เจ็บแล้ว
ก่นด่าเว่ยจวินหยางในใจเป็ครั้งที่ล้าน อวี๋มู่เคี้ยวหญ้าในปากเสมือนกำลังเคี้ยวเนื้ออีกฝ่ายอยู่ ท้ายที่สุดก็ถุยออกมาตกอยู่หน้ารองเท้าสีน้ำตาล
“อารมณ์ไม่ดีหรือ? ” เสียงไพเราะของเด็กหนุ่มดังขึ้น อวี๋มู่เงยหน้า สบตาเข้ากับเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าตายิ้มแย้ม
เด็กหนุ่มสวมชุดนักพรตสีเขียว ผมยาวม้วนเก็บไว้ด้วยปิ่นไม้ปักผม แบกตะกร้าไม้สานไว้ที่หลัง เขาหน้าตาธรรมดา แต่กลับดูสะอาดสะอ้านอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกดีด้วยได้ง่ายๆ
อวี๋มู่ชะงักไปชั่วครู่ รีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยถามเด็กหนุ่ม “เ้าเป็ใคร? ”
[ว้าว เขาคือหมอเทวดา โม่เหิง! ] ระบบอุทาน [โฮสต์ดวงดีมากเลย ยังไม่ทันไปหาเขา เขาก็มาหาเองถึงที่ซะอย่างงั้น! ]
อวี๋มู่ : หมอเทวดา? ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาช่วยรักษาเว่ยจวินหยางได้น่ะสิ?
[ใช่ๆ เว่ยจวินหยางเขาใส่ใจเื่วรยุทธ์ของตัวเองมาก หากสามารถรักษาหายได้ คะแนนความประทับใจต้องเพิ่มขึ้นอย่างง่ายดายแน่นอน! ]
อวี๋มู่ : งั้นฉันต้องพูดยังไงกับเขา?
ระบบยังไม่ทันตอบ โม่เหิงก็เอ่ยปาก
“ข้าน้อย เฉินเหิง มาจากเมืองผิง เปิดโรงหมอในเมือง วันนี้ว่างจึงขึ้นเขามาเก็บสมุนไพร”
“ขอทราบ ชื่อเสียงเรียงนามท่านได้หรือไม่? ”
เขาพูดอย่างโอบอ้อมอารี น้ำเสียงเรียบง่ายอ่อนโยน ท่าทางเป็มิตรจริงใจ หากว่าไม่มีการชี้แนะของระบบ อวี๋มู่คงจะคล้อยตามและเชื่อในสิ่งที่เขาบอกแล้ว
ระบบเคยบอกว่าโม่เหิงใช้ชีวิตอยู่กลางป่าลึก ทั้งยังสร้างกับดักรายล้อมต่างๆ นานา เขาซ่อนตัวมาโดยตลอด นอกเสียจากว่าเป็ความ้าของโม่เหิง ถ้าไม่อย่างนั้น คนทั้งยุทธภพอยากเจอเขาสักหน มันยากเสียยิ่งกว่าการเหาะขึ้น์เสียอีก
โม่เหิงพูดปดกับเขา ชัดว่าเขามีความระแวงพอสมควร ต่อหน้าคนแบบนี้ อวี๋มู่รู้สึกว่าหากไม่พูดปดจะเป็การง่ายในการสื่อสารมากกว่า
เขาตอบกลับ “ข้าน้อยอวี๋มู่แห่งสำนักชิงอี”
แววตาของโม่เหิงมีความมืดมนวาบออกมา แต่กลับหัวเราะเริงร่ากว่าเดิม “อา ท่านก็คือคุณชายกระบี่เมฆาวิสุทธิ์ คนต่างเผ่าเพียงคนเดียวของสำนักชิงอี”
อันที่จริงตอนที่โม่เหิงเห็นกระบี่ของอวี๋มู่ก็รับรู้ว่าเป็เขาแล้ว การไถ่ถามนี้เป็เพียงการทดสอบว่าเขาจะพูดเื่จริงหรือไม่
“คนต่างเผ่า? ” อวี๋มู่รู้สึกสงสัยกับคำพูดนี้
ดวงตาของเด็กหนุ่มเผยรอยยิ้ม “เพื่อทดแทนคุณของอาจารย์จึงยอมเข้าสำนักชิงอี หากแต่ไม่เคยเข่นฆ่าปล้นสะดม ท่ามกลางแวดล้อมของพวกอธรรมย่อมนับว่าเป็พวกต่างเผ่า”
“เ้ารู้จักข้าดีอย่างงั้นหรือ? ”
“ไม่นับว่าถ่องแท้ แต่สนใจซะมากกว่า”
อวี๋มู่ชะงัก จู่ๆ ก็ชักกระบี่ออกมาแทงตรงไปทางโม่เหิง
โม่เหิงใ เอี้ยวตัวหลบทัน แต่กลับเห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายยิ้มออกมา “ฝีมือไม่เลว”
ปลายกระบี่ของเขาชี้ลงพื้น “ในเมื่อใต้เท้าทราบชื่อเสียงเรียงนามของข้าแล้ว งั้นลองเผยตัวตนที่แท้จริงของท่านบ้างเป็อย่างไร? ”
โม่เหิงไม่ได้ทุกข์ร้อน กลับกันเขาเลิกคิ้ว สายตาจับจ้องที่นิ้วด้วนกับรอยช้ำจากการร่วมรักบนเนื้อตัวของเขาอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อยเอ่ย “ในเมื่อถูกจับได้ ก็ไม่มีเหตุผลต้องปิดบังอีกต่อไป”
“ข้าน้อยโม่เหิง เป็ทายาทรุ่นที่สิบสามแห่งตระกูลโม่ พำนักอยู่ ณ ป่าฟางหยวนแห่งนี้”
“ที่แท้ก็เป็หมอเทวดาโม่! ” อวี๋มู่กดไลค์ให้บทพูดอันชาญฉลาดมีไหวพริบของตัวเอง แสร้งทำเป็นึกออกทันที เขาบิกตากว้างใบวกกับแสดงความศรัทธาอย่างยิ่ง เก็บกระบี่ แล้วเอ่ยวาจาสุภาพ “ได้ยินชื่อเสียงมานาน โชคดียิ่ง…...”
เพียงแต่คำว่า ‘นัก’ ยังไม่ทันพูด โม่เหิงก็ก้าวเข้าใกล้เขา และใช้จังหวะสายฟ้าแลบ กดจุดชีพจร เพื่อสะกดร่างเขาไว้
อวี๋มู่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้ เขาใจนสะดุ้ง มือของเขายังััด้ามกระบี่ไว้ และยืนค้างอยู่ท่วงท่าที่กำลังเก็บกระบี่เข้าฝัก
“หมอเทวดาโม่ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ”
โม่เหิงไม่ได้ใส่ใจคำพูดเขา เพียงแต่คว้ามือขวาของอวี๋มู่ขึ้นมาอย่างหยิ่งผยอง บีบเบาๆ จากนั้นเปิดเสื้อนอกของเขาพักคาไว้ที่ท่อนแขน มองสำรวจร่องรอยบนร่างเขาที่ถูกเว่ยจวินหยางทรมานอย่างมีอรรถรส มือััเบาๆ สองรอบ
หรือคงเป็เพราะอยู่แต่กับสมุนไพรมาเนิ่นนาน เนื้อตัวของโม่เหิงมีกลิ่นสมุนไพรหอมจางๆ เมื่ออยู่ใกล้ขนาดนี้ กลิ่นมันจึงโชยเข้าจมูกของอวี๋มู่อย่างจัง
ความรู้สึกที่ถูกผู้ชายลูบคลำนี่ไม่ดีเอาเสียเลย ไฟโกรธปะทุในใจ แล้วถามซ้ำอีกรอบ “หมอเทวดาโม่ เ้า้าทำอะไรกันแน่! ”
“าแพวกนี้ เป็ฝีมือเว่ยจวินหยางอย่างนั้นรึ? ” โม่เหิงไม่ตอบแต่ถามกลับ ชี้ไปที่นิ้วด้วนของอวี๋มู่ “รวมถึงนี่ด้วย? ”
เมื่อเอ่ยถึงเว่ยจวินหยาง อวี๋มู่ตัวแข็งทันใด โม่เหิงก็เข้าใจได้ทันที
“ข้าได้ยินมาว่า เขาไม่เพียงแต่ธาตุไฟเข้าแทรกทั้งยังโดนพิษ ‘ดอกเสน่หา’ ของเขตตะวันตกด้วย เ้านี่เองที่พาเขาหนีออกมาจากสำนักชิงอี” โม่เหิงหัวเราะออกเสียง “แล้วเขาก็ทำแบบนี้กับเ้างั้นรึ? ”
อวี๋มู่นึกขึ้นได้ว่าต้องเล่นตามบท จึงเอ่ย “เพื่อช่วยนายท่าน จะให้ข้าทำเื่ใดก็ย่อมได้”
“พูดเื่จริงเถอะ” ชายหนุ่มท่าทางอ่อนโยนจ้องเขาด้วยท่าทีเหมือนตรวจสอบ ในที่สุดก็เผยอีกด้านที่แท้จริง เขาหรี่ตามองเหมือนจิ้งจอกเ้าเล่ห์ มองดูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เ้าช่วยเขาไว้ไม่ได้หรอก เื่วิชามารของเขานั่น ข้าก็พอรู้เื่เล็กน้อย ธาตุไฟเข้าแทรกมีแต่ตายเท่านั้น แล้วยังพิษเสน่หานั่นอีก นอกเสียจากว่าเขาจำต้องร่วมรักกับคนผู้เดิมถึงจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อได้ อีกทั้งยังค่อยๆ ทำลายอวัยวะภายในของเขาอีกด้วย”
เขายื่นสามนิ้วชูขึ้นมา “ไม่เกินสามเดือน เขาจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ในหัวของอวี๋มู่ สิ่งที่แวบเข้ามาเื่แรกคือ หากเป้าหมายตาย ก็เท่ากับภารกิจล้มเหลว
เขารีบเอ่ย “เ้าเป็หมอเทวดา เ้ามีหนทางช่วยเขาหรือไม่? ”
โม่เหิงตอบกลับเขาโดยไม่ต้องคิด “มีสิ”
แต่กลับเอ่ยต่อก่อนที่อวี๋มู่จะทันได้ร้องขอ “แล้วทำไมข้าต้องช่วยเขาด้วยล่ะ? ”
เขายักไหล่ “คนบ้าที่โเี้เืเย็นแบบนั้น สมควรตายนานแล้ว การช่วยเขามีแต่จะทำร้ายคนมากมาย ข้าไม่มีเหตุผลที่จะช่วยเขา”
อวี๋มู่ถูกคำพูดของโม่เหิงตอกกลับจนอึ้งไป ผ่านไปนานกว่าจะเค้นคำพูดได้แล้วเอ่ย “คนมักพูดว่าหมอนั้นมีจิตเมตตา หมอเทวดาโม่นับได้ว่าเป็ยอดแห่งบรรดาหมอ แล้วใยถึงเห็นคนใกล้ตายแต่กลับไม่ช่วย? ”
คำพูดนี้เขาเองยังรู้สึกไม่มีความกล้าที่จะพูด
พูดตามจริง เื่ราวก่อนหน้าที่เว่ยจวินหยางเคยก่อไว้ ทั้งยังเื่ทารุณเขา เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีอะไรน่าช่วย
“ฮึ่ม พวกเ้าล้วนชอบเอาคำพูดแบบนี้มาบังคับข้า” โม่เหิงแววตาสั่นไหว ไตร่ตรองเพียงชั่วครู่ แล้วเอ่ย “หรือไม่เอาอย่างนี้ หากเ้าสามารถพาเขาเข้าที่พำนักของข้าได้ ข้าจะไตร่ตรองเื่ช่วยชีวิตเขา เป็อย่างไรล่ะ? ”
อวี๋มู่ไม่คิดถึงว่าอีกฝ่ายจะเอื้อเผื่อโอกาสให้เขาด้วยคำพูดโน้มน้าวเส็งเคร็งแบบนั้น พลันรู้สึกทึ่ง
“ข้าซาบซึ้งในน้ำใจท่าน หมอเทวดา!”
โม่เหิงหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ถึงเวลานั้นเ้าจะไม่อยากขอบใจข้า”
สุดท้ายก่อนจากไป เขาหาได้คลายจุดให้อวี๋มู่ไม่ ทั้งยังลูบคลำอวี๋มู่อยู่หลายครั้ง เล่นเอาอวี๋มู่กัดฟัน ท่านหมอเทวดาหัวเราะแล้วจากไป
คลายจุดไปนานเท่าไหร่ เขาก็ด่าโม่เหิงกับระบบไปนานเท่านั้น
ระบบบอกว่าเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าโม่เหิงจะมีนิสัยแบบนี้ อีกทั้งเขายังเป็ห่วงเื่ข้อเสนอของโม่เหิงอีก
ในนิยายพูดถึงเพื่อนรักของพระเอกที่าเ็ พระเอกพาเขามาหาหมอเทวดา แต่ก็เกือบตายเพราะกับดักที่อีกฝ่ายวางไว้
นี่ชัดเจนแล้วว่า โม่เหิงจงใจแกล้งพวกเขา
กับดักอัตโนมัติต้องอันตรายมากแน่
อวี๋มู่ถอนหายใจ : แล้วฉันไม่ไปได้หรือ?
[......] ระบบไม่ได้ตอบเขาน่ะถูกแล้ว
อวี๋มู่เหม่อมองท้องฟ้า ถอนหายใจ เหลียงเสี่ยวหานนั่นแหละน่ารักที่สุดแล้ว ไอ้คนแซ่เว่ยนี่ฉันไม่อยากช่วยเขาแม้แต่นิด
ตอนนี้ระบบยิ่งไม่รู้จะปลอบใจเขายังไงเลยทีเดียว
จวบจนอวี๋มู่ล่ากระต่ายได้สองตัว หิ้วปลาสี่ตัวกลับมา ตะวันก็ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว
เว่ยจวินหยางสีหน้าเคร่งเครียดมองเขาอย่างสงสัย แววตานั้นเหมือนจะแผดเผาเขาให้ไหม้จนเป็รู “ไร้ประโยชน์ ล่ากระต่ายกับจับปลาแค่นี้ ชักช้าจริง”
“......” คำพูดนี้อวี๋มู่ไม่รู้จะตอบรับอย่างไร
เว่ยจวินหยางเร่งเขา “รีบก่อไฟ ข้าหิวแล้ว”
“รับทราบ นายท่าน” อวี๋มู่ตอบรับ แต่ฝีมือการปรุงอาหารของเขานั้นเงอะงะอย่างมาก
เพราะเขาไม่มีพร์ด้านนี้ โลกที่แล้วก็มีเหลียงหานทำให้กิน
อีกทั้งไม่มีนิ้วหัวแม่มือ ท่าทางง่ายๆ ก็กลายเป็ตะกุกตะกัก
เว่ยจวินหยางมองดูเขาอยู่ข้างๆ เท้ากระดิกไปมา นั่งเกยคางรอแล้วรอเล่า
รอจนสุดท้าย ในที่สุดก็เอือมระอา มือคว้ามีดไป ให้อวี๋มู่นั่งหลบไปอีกทาง เอ่ยน้ำเสียงชั่วร้าย “ไม่เคยเห็นคนโง่อย่างเ้ามาก่อน รอให้เ้าทำเสร็จไม่รู้ต้องรอจนถึงเมื่อไหร่! ”
เขาจัดการกระต่ายเสร็จสรรพ หลังจากนั้นก็หยิบใบหญ้าไม่รู้ชื่อจากในป่ามาทาบนนั้น ย่างจนกึ่งสุกแล้วบีบน้ำผลไม้ลงไป ค่อยๆ หมุนไม้เสียบ ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยมา
เมื่อย่างสุกแล้วหนึ่งตัว ก็ฉีกน่องข้างหนึ่งยื่นให้อวี๋มู่ ที่เหลือตัวเองกิน กินไปบ่นอวี๋มู่ไป “เื่เล็กแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าการเก็บเ้าไว้ข้างกายจะมีประโยชน์อะไร”
“......”
อวี๋มู่แทะน่องกระต่ายหอมๆ ไปเงียบๆ ตั้งใจว่าจะไม่สนใจชายหนุ่มนิสัยเด็กในร่างเด็กคนนี้อีก
ความมืดปกคลุมรอบทิศ อวี๋มู่นั่งหน้ากองไฟ เติมกิ่งไม้เข้าไป เว่ยจวินหยางนั้นเข้าไปพักผ่อนในถ้ำแล้ว ริมฝีปากซีดขาว ดูเหมือนไม่ค่อยสบาย
อวี๋มู่เขี่ยกองไฟ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้เื่หนึ่ง หลังเย็นวาบ แล้วเอ่ยถามระบบ : ระบบ ไอ้อาการพิษเสน่หาของเขามันจะออกอาการวันเว้นวัน งั้นวันนี้……
ไม่ทันรอให้ระบบได้ตอบ อวี๋มู่ก็ได้ยินเสียงซวบซาบจากด้านหลัง เสียงเหมือนกำลังเหยียบย่ำหัวใจเขา สะดุ้งจนรีบเหลียวหลังมอง
ปรากฏว่าเว่ยจวินหยางในร่างผู้ใหญ่ เสื้อผ้ารุ่งริ่งจับเขากดลงข้างกองไฟ
เหมือนวันนั้นไม่มีผิด ร่างกายเขาร้อนรุ่ม แต่ฝ่ามือเย็นเฉียบ มีแต่ความเย็นะเื
เว่ยจวินหยางซุกหน้าเข้าซอกคอเขา ปากกัดเข้าที่กระเดือกที่มีผ้าห่อไว้
อวี๋มู่ชะงักตัวสั่น แทบอยากจะตบเข้าให้
แต่พอพินิจถึงประสบการณ์ย่ำแย่วันก่อน ความคิดต่อต้านในหัวก็ชะงัก ขี้ขลาดขึ้นมา
จูบไซร้ขึ้นลงอยู่อย่างนั้น จนถึงคอเสื้อ ตรงหน้าอก ท่าทางของเว่ยจวินหยางชะงักอย่างชัดเจน จากนั้นจึงหยุดลง
“กลิ่นเฟิงเยี่ยน…...” เขาเงยหน้ามองอวี๋มู่ แววตาเยือกเย็น จิตสังหารรุนแรง
น้ำเสียงเขานิ่งมาก แต่กลับแฝงด้วยฟ้าฝนลมพายุแห่งความโกรธ แทบจะเอ่ยถามทีละพยางค์ “ใครเคยแตะต้องตัวเ้า? ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------