พอหวังซู่เหนียงมาถึงตรงหน้าเว่ยซื่อ นางก็ย่อกายคารวะในฐานะอนุภรรยาให้เว่ยซื่ออย่างจริงจัง กู้เจิงเพิ่งจะเคยได้เห็นซู่เหนียงเคารพเว่ยซื่อเช่นนี้เป็ครั้งแรก
“การคำนับนี้ หวังซู่เหนียงมีมารยาทขึ้นมาแล้วสินะ ข้ายังไม่ชินกับมันเสียเลย” สีหน้าของเว่ยซื่อเฉยชามาแต่ไหนแต่ไรมา ทว่าเวลานี้ ในดวงตาของนางกลับมีรอยยิ้มอยู่หลายส่วน
“ต่อไปข้าจะประพฤติตามธรรมเนียมเ้าค่ะ” เสียงของหวังซู่เหนียงสะอึกสะอื้น ตลอดมานางพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้บุตรสาวมีอนาคตที่ดี แต่นางไม่เคยคาดหวังว่าบุตรสาวจะมีฐานะเป็บุตรภายใต้ชื่อของนายหญิง “อาเจิง ยังยืนทำอะไรอยู่ มาคารวะสิ”
กู้เจิงทำตามคำสั่ง “ขอบคุณท่านแม่มากเ้าค่ะ”
“ครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องขอบคุณ” เว่ยซื่อยิ้ม
กู้เหยากับกู้เจิ้งชินหัวเราะคิกคัก พวกเขายอมรับพี่สาวคนโตจากก้นบึ้งของหัวใจนานแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เช่นนั้นพวกท่านก็จะรับปากข้าเื่เรียนวิชายุทธกับท่านตาแล้วใช่ไหมขอรับ?” กู้เจิ้งชินเห็นท่าทางท่านพ่อท่านแม่มีความสุขมาก จึงรีบเอ่ยเื่ที่เคยถูกปฏิเสธไปในครั้งก่อน
กู้หงหย่งสีหน้าอึมครึมโดยพลัน “ไม่ได้”
น้องรองจะเรียนวิทยายุทธงั้นหรือ? กู้เจิงรู้สึกแปลกใจ
เว่ยซื่อรู้ว่าเหตุใดสามีถึงไม่ยินยอม ประการแรกบิดาของนางมักจะทำให้เขาเสียหน้าและรู้สึกอับอาย ประการที่สอง เขากังวลว่าเจิ้งชินจะถูกบิดาสอนให้เป็จอมยุทธ์ แต่นางไม่สนใจ บุตรชายอยากเรียนบุ๋นหรือบู๊นางล้วนไม่คัดค้าน การมีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊เป็สิ่งที่ดีทั้งนั้น
“ท่านพ่อ เื่คราวก่อนลูกยังต้องให้พี่ใหญ่คอยปกป้อง ในฐานะลูกผู้ชาย ลูกไม่มีประโยชน์อะไรเอาเสียเลย ช่างน่าละอายจริงๆ ขอรับ” ทุกครั้งที่กู้เจิ้งชินนึกถึงเื่นี้ ในใจก็รู้สึกละอายนัก จึงมีความคิดอันเด็ดเดี่ยวที่จะเรียนศิลปะการต่อสู้ “ไม่ว่ายังไง ข้าก็จะไปเรียนรู้วรยุทธป้องกันตัวจากท่านตาขอรับ”
กู้เจิงเริ่มเข้าใจเื่ราว ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง นางคิดว่าหากน้องรองสามารถเรียนรู้สักหนึ่งหรือสองกระบวนท่าได้ก็ดีเหมือนกัน แต่ดูจากสีหน้าของบิดาแล้วเกรงว่าจะไม่สำเร็จ
เมื่อจบเื่แล้วกู้เจิงกับชุนหงจึงขอตัวกันกลับบ้าน รถม้าเพิ่งจะได้เลี้ยวเข้ามาในซอยบ้านของลุงใหญ่ กู้เจิงก็เห็นเสิ่นเยี่ยนยืนรออยู่ที่ปากทางแล้ว
กู้เจิงทักขึ้น “ท่านพี่? วันนี้กลับมาเร็วขนาดนี้เลยหรือเ้าคะ?”
“ในวังไม่มีงานอันใดแล้วเลยกลับมาเร็วหน่อย ท่านแม่บอกว่า เ้าถูกพระสนมซูเรียกตัวเข้าวังหรือ?” เสิ่นเยี่ยนยื่นมือออกไปช่วยประคองกู้เจิงลงจากรถม้า
กู้เจิงมองโครงหน้าของเสิ่นเยี่ยน ที่จริงแล้วบุรุษผู้นี้ก็ไม่ได้มีเื่ความรักอะไร นอกจากที่มีแม่นางน้อยเหนียนหงซานมาชอบ เขาก็ไม่มีหญิงอื่นแล้ว แต่ดูจากท่าทางของคุณหนูหวัง คงเพราะมีตวนอ๋องเป็ผู้สนับสนุน
“ทำไมเ้าถึงมองข้าเช่นนี้?” เสิ่นเยี่ยนรู้สึกว่าสายตาที่กู้เจิงมองมาดูแปลกไป “พระสนมซูเรียกหาเ้าเพราะเื่อันใด?”
“เกรงว่าข้าจะทำให้พระสนมซูรังเกียจเข้าแล้วเ้าค่ะ” กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ ในวังวันนี้ถึงแม้นางจะยังใช้ใบหน้าอ่อนโยนนี้ แต่ก็เผยความอารมณ์โทสะของนางออกมารวมถึงคำพูดยิ่งไม่เกรงใจ
เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาอย่างสงสัย
“ข้าปฏิเสธคำขอของพระสนมซูแทนท่านที่จะให้บุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลหวังแต่งกับท่านเ้าค่ะ” กู้เจิงมองสีหน้าแปลกใจของเขา
“เหลวไหล ข้าบอกกับตวนอ๋องชัดเจนตั้งนานแล้ว ชาตินี้ข้าแค่อยากอยู่กับเ้าจนแก่เฒ่าเท่านั้น” ใบหน้าเ็าของเสิ่นเยี่ยนฉายชัดถึงอารมณ์ขุ่นมัวที่ยากจะพบเห็น
ขณะที่กู้เจิงกำลังจะเอ่ยปาก ก็มีคนเดินมา ทั้งสองคนจึงไม่พูดอะไรอีก
อาหารมื้อเย็นมีคนมากันไม่น้อย ทุกคนกำลังแกะเมล็ดทานตะวันและปอกเปลือกถั่วลิสงนั่งพูดคุยกัน
เสี่ยวอิ๋นฮวาถูกพี่สะใภ้รองถงซื่ออุ้มไว้ ครอบครัวสกุลเสิ่นต่างกำลังพูดคุยกับนาง นายหญิงเสิ่น เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้เดินเข้ามาก็โล่งใจ ตอนชุนหงมาบอกกับนางว่าลูกสะใภ้ถูกนางกำนัลาุโในวังเรียกตัวไป นางก็รู้สึกกังวลใจไม่น้อย
ต่อหน้าอาหารเลิศรส กู้เจิงจึงวางทิ้งปัญหาที่พบมาในวันนี้ไป นางจดจ่อกับการกินอาหารดีๆ กลับเป็เสิ่นเยี่ยน ที่เห็นภรรยามีท่าทางสบายใจก็รู้สึกไม่สบายใจแทน ดังนั้นหลังจากกินข้าวเสร็จเขาจึงรีบพานางกลับบ้าน
“ตอนที่เ้าถูกเรียกตัวเข้าวังก็ควรให้คนมาบอกข้า ถึงมันจะไม่ทัน แต่พอออกจากวังก็ควรมาหาข้า ไม่ใช่กลับไปบ้านสกุลกู้ก่อน” พอเขาคิดว่าภรรยาต้องเผชิญหน้ากับพระสนมซูคนเดียวก็รู้สึกกังวล
“ข้าไม่มีรถม้า เลยไปยืมรถม้าจากที่จวนกู้เพื่อกลับบ้านเ้าค่ะ อีกอย่างเื่นี้ ข้าก็อยากดูความคิดเห็นของท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยจ้าค่ะ” กู้เจิงไม่ได้คิดอะไรมาก “แต่คิดไม่ถึงว่าพอเล่าเื่นี้ออกไป ท่านแม่เลยรับฐานะข้าเป็บุตรภายใต้นามของนางโดยตรงเ้าค่ะ” กู้เจิงเล่าให้เสิ่นเยี่ยนฟัง
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เ้าก็เป็คุณหนูใหญ่จากภรรยาเอกของจวนกู้ป๋อเจวี๋ยแล้วงั้นหรือ?” เห็นสีหน้าของกู้เจิงเป็ปกติ เขาก็รู้สึกเบาใจ
“เป็เช่นนั้นเ้าค่ะ” กู้เจิงมองเขาอย่างไม่พอใจนิดหน่อย “เื่นี้ เป็เพราะมีปัญหาถึงได้เกิดขึ้น”
เสิ่นเยี่ยนไม่เข้าใจว่าเหตุใดตวนอ๋องถึงต้องยัดเยียดคุณหนูสกุลหวังให้เขาด้วย ก่อนหน้านี้ที่เขาปฏิเสธก็พูดไว้ชัดเจนแล้ว “พรุ่งนี้ข้าจะไปหาตวนอ๋องอีกครั้ง”
ในขณะนั้นเอง ชุนหงก็เข้ามาในห้อง นางนำยาต้มมาให้กู้เจิงดื่ม
“ยังปวดหัวอยู่ไหม?” เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาดื่มยาขมจนหมดในอึดใจเดียว เขารีบเอาผลไม้หวานวางบนจานให้นาง
กู้เจิงรีบยัดผลไม้ใส่ปาก นางถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ปวดเ้าค่ะ แต่บางครั้งเวลานอนจะปวดหัวมาก แถมยังฝันอยู่ตลอด แต่พอตื่นมาก็ลืมไปหมดแล้วว่าฝันอะไร”
“หมอหลวงบอกว่ายานี้มีสรรพคุณช่วยให้จิตใจสงบ คืนนี้เ้าก็นอนหลับพักผ่อนเสียให้ดี” นึกถึงหมอหลวงที่บอกกับเขาว่า ภรรยาต้องพักรักษาตัวสักหนึ่งหรือสองปีถึงจะหายดี ต่อให้หายดีแล้ว ตอนอายุมากก็มีโอกาสกำเริบขึ้นอีกได้ ความรู้สึกผิดต่อภรรยาจึงยิ่งมากขึ้น
คืนนี้ กู้เจิงหลับสนิทจริงๆ นางนอนหลับจนฟ้าสว่างถึงได้ตื่นขึ้น
อาหารเช้าเป็อาหารที่ครอบครัวบ้านป้าใหญ่เหลือไว้ให้ในงานเมื่อวาน นับั้แ่เสิ่นเยี่ยนได้เป็ขุนนาง ตอนเช้าก็จะมีเพียงพ่อแม่สามี นาง และชุนหงรวมทานอาหารเช้าด้วยกัน
เมื่อนายหญิงเสิ่นตักข้าวชามสุดท้ายแล้วนั่งลง ทุกคนถึงจะเริ่มขยับตะเกียบกินข้าวกัน
“แปลกจริงๆ คนข้างนอกต่างพูดกันว่าแม่ทัพเซี่ยเทพาแห่งต้าเยว่ของเราจะกลับมาวันพรุ่งนี้ แต่แม่ทัพเซี่ยกลับมาตั้งนานแล้วนี่นา” ชุนหงกินข้าวพร้อมพูดไปพลาง
สายตาของทั้งสามคนจับจ้องไปที่ชุนหง
“กลับมาเร็วขนาดนี้แสดงว่ามีภารกิจใช่ไหมนะ?” นายท่านเสิ่นถาม
“ใครจะรู้เล่า?” กู้เจิงเองก็นึกไม่ออก นางเคยพบแม่ทัพเซี่ยผู้นี้ที่จวนตวนอ๋องเมื่อหลายเดือนก่อน หากจะบอกว่ามีภารกิจ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับตวนอ๋องกัน? หางตาของนางเห็นแม่สามีชะงักงันไป นางกำลังจะเอ่ยปากถามว่าเป็อะไร แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่พูดถึงเทพาผู้นี้ นางจะมีสีหน้าแปลกไป
อันที่จริงแล้วในใจกู้เจิงสงสัยมาตลอดว่าแม่สามีกับแม่ทัพเซี่ยผู้นั้นรู้จักกัน แม่สามีเคยบอกว่าตัวเองมีน้องชายกับน้องสาว น้องชายคนนั้นจะใช่แม่ทัพเซี่ยไหม? เพราะอย่างไรเสียเสิ่นเยี่ยนและแม่ทัพเซี่ยก็ดูคล้ายกันจริงๆ
“คุณหนู ท่านคิดอะไรอยู่เ้าคะ?” ชุนหงเห็นคุณหนูเหมือนคิดอะไรอยู่
“ไม่มีอะไร” กู้เจิงชําเลืองมองแม่สามีแวบหนึ่ง ก็เห็นสีหน้าของนางกลับมาเป็ปกติแล้ว
กู้เจิงพบว่าเมื่อตนเองดื่มยาสมุนไพรเสร็จก็จะง่วงนอน นางไม่อยากนอนั้แ่เช้าตรู่ จึงไปที่หอสมุดกับชุนหง พอถึงหอสมุดกู้เจิงก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้บอกสามีเื่ที่นางเคยพบแม่ทัพเยี่ยนผู้นั้น
“คุณหนูใหญ่ ท่านมาดูว่าแบบนี้ได้ไหมขอรับ?” ลุงหม่าเรียกกู้เจิงที่หน้าประตูหอสมุด
้าประตูทางเข้าหอสมุดเป็อักษรตัวใหญ่สามตัวว่า ‘เยว่ซูโหลว’ ตั้งโดยปรมาจารย์ซางที่มีชื่อเสียง สองด้านข้างบนแผ่นป้ายแขวนโคมแดงขนาดใหญ่สองดวง ลุงหม่าใช้ผนังใหญ่ทางซ้ายของประตูทางเข้าที่เป็สีฟ้าอ่อนเป็พื้น รอบๆ ใช้แถบไม้ไผ่เป็กรอบเขียนคำว่า ‘แจ้งประกาศ’
“เอาแบบนี้แหละ” กู้เจิงพอใจมาก
“คุณหนู สิ่งนี้มีประโยชน์อะไรหรือขอรับ?” ลุงหม่าไม่เข้าใจว่าจะทำป้ายประกาศทำไม เพราะเมื่อทางการมีข่าวอะไรที่ต้องให้ชาวบ้านได้รู้ จะมีสถานที่เฉพาะเพื่อแจ้งข่าวให้ชาวบ้านรู้ แต่อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่เข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณหนูให้เขาทำ แต่เขาก็ไม่ได้คัดค้าน
“ต่อไปเ้าจะรู้เอง”
บ้านของป้าใหญ่ยังมีอาหารเหลืออีกมาก คนตระกูลเสิ่นจึงไปกินข้าวที่บ้านป้าใหญ่ทั้งกลางวันและตอนเย็นในวันนี้ด้วย
มื้อเย็นในวันนี้เสิ่นเยี่ยนไม่ได้กลับมาร่วมทานด้วย
ตกดึก ด้วยฤทธิ์ของยากู้เจิงยังไม่ทันได้รอเสิ่นเยี่ยนกลับมาก็หลับไปเสียก่อน ระหว่างที่สะลึมสะลือ นางรู้สึกว่าข้างกายมีการเคลื่อนไหว จึงฝืนลืมตาขึ้นมาเห็นว่าสามีกลับมาแล้วเลยรีบลุกขึ้น
“ข้าทำเ้าตื่นหรือ?” เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยามีสีหน้าเหนื่อยล้าทว่าก็ฝืนลุกขึ้น
“ท่านพี่ เมื่อวานตอนที่อยู่ในหอสมุด ท่านแม่ทัพเยี่ยนจื่อเซี่ยนได้มาหาเ้าค่ะ เขาบอกว่าเขาตรวจสอบเื่ราวทุกอย่างหมดแล้ว” พูดจบ กู้เจิงก็ล้มตัวลงนอน
เสิ่นเยี่ยน “...” เขาห่มผ้าให้ภรรยา มองเค้าหน้านวลกระจ่างที่หลับสนิทพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เื่นี้ปิดบังเขาได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น หากแม่ทัพผู้ทรงเกียรติแม้แต่เื่นี้ยังตรวจสอบไม่พบ ก็ดูจะไร้ประโยชน์เกินไป อีกอย่าง ทางตวนอ๋องข้าได้บอกเขาชัดเจนแล้ว ข้าบอกเขาว่า ชีวิตนี้ข้ามีแค่เ้าก็เพียงพอแล้ว”
ตระกูลหวังนั้นถือว่าธรรมดามากในบรรดาตระกูลเก่าแก่ในเมืองเยว่เฉิง เสิ่นเยี่ยนไม่เข้าใจว่าเหตุใดตวนอ๋องถึงรั้นจะให้เขาแต่งงานกับคุณหนูหวังเช่นนี้?