"หมี่หลันเยว่ เร็วหน่อยสิ ไปช้าเดี๋ยวตกขบวนรถไฟนะ!"
หลังจากได้รับแสตมป์ลิง หมี่หลันเยว่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับไปหลายวัน กว่าจะกลับมาอยู่ในสภาพปกติได้ ก็ตั้งใจจะเริ่มแผนการทำงานของตัวเอง แต่พ่อแม่กลับบอกว่าต้องไปบ้านคุณยาย แถมยังต้องไปเดี๋ยวนี้เลยด้วย
"มาแล้ว มาแล้วค่ะ ก็พ่อแม่บอกหนูกะทันหันไปหน่อยนี่คะ หนูตั้งตัวไม่ทันเลย อย่างน้อยก็ถือว่าเป็การเดินทางไกลนะ ก็ต้องให้ลูกสาวคนนี้เตรียมตัวหน่อยสิ"
หวังหย่วนฉิงขำลูกสาว เอื้อมมือไปเคาะที่ศีรษะเล็กๆ ของเธอเบาๆ
"เดินทางไกลอะไรกัน นั่งรถไฟแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว จะเรียกว่าเดินทางไกลได้ยังไง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปบ้านคุณยายซะหน่อย ไปทีไรต้องให้เตรียมอะไรด้วยรึไง? ยัยตัวแสบ ในหัวคิดอะไรอยู่อีกเนี่ย?"
ถึงเธอจะอยากไปบ้านคุณยายมาก แต่แผนการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองล่ะ จะทำยังไงถ้าต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ แบบนี้?
"รีบๆ หน่อยเร็วเข้า พวกเราไม่ได้ไปแล้วไปลับซะหน่อย แค่ไปอยู่สองสามวัน ่วันหยุดนี้พ่อกับแม่ว่าง ก็เลยอยากจะพาพวกลูกไปเยี่ยมคุณตาคุณยายด้วย พอเปิดเทอม พ่อกับแม่ก็ต้องยุ่งหัวหมุนอีกแล้ว ถึงตอนนั้นพวกลูกอยากจะไปเล่นบ้านคุณยายก็คงไม่มีเวลาแล้วล่ะ"
พ่อแม่ยุ่งจริงๆ ครูในยุคนี้ใจดีมีเมตตามาก ทุ่มเทให้กับการสอนนักเรียนอย่างเต็มที่ ถึงขนาดที่ว่าทุกเช้าตรู่ พวกเขาจะพานักเรียนขึ้นไปท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ท่องสูตรเคมี ท่องนิยามทางฟิสิกส์บนูเาหลังบ้าน หวังหย่วนฉิงที่เป็ครูประจำชั้นก็เก่งรอบด้าน ไม่อยากให้ตกหล่นวิชาไหนเลย
งานของพ่อเบากว่าแม่หน่อย ไม่ได้เป็ครูประจำชั้น แต่ก็ต้องสอนนักเรียนอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังพอมีเวลาทำอาหารเช้าให้ลูกๆ ได้ ถือว่าเก่งมากแล้ว หมี่หลันเยว่เข้าใจพ่อแม่มากยิ่งขึ้น คนเป็ครูไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย ถึงได้ประสบความสำเร็จมีลูกศิษย์มากมาย แม้แต่ร้านค้าของตัวเอง หมี่หลันเยว่กับหมี่หลันหยางก็ยังช่วยกันดูแลมากกว่า แถมยังต้องดูแลน้องชายอีก พ่อแม่แบบนี้ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกเคารพจากใจจริง หมี่หลันเยว่ไม่ใช่หมี่หลันเยว่ในชาติก่อนอีกต่อไปแล้ว มุมมองของเธอเปิดกว้างมากขึ้น
"ว้าว ไปบ้านคุณยายแล้ว พี่หลันเยว่ รีบหน่อยสิ เดี๋ยวรถไฟออกแล้วทิ้งไว้ข้างหลังนะ!"
น้องชายแต่งตัวเสร็จแล้วรออยู่หน้าประตู เห็นพี่สาวยังทำท่าไม่รีบร้อน น้องชายก็เริ่มร้อนใจแล้ว
เขารักพี่สาวมาก พี่สาวมักจะมีขนมอร่อยๆ เก็บไว้ให้ตัวเองเสมอ แถมยังพาเขาไปเที่ยวเล่นด้วย พี่สาวคนอื่นมักจะรังเกียจน้องๆ ไม่ยอมพาเด็กเล็กกว่าไปเที่ยวด้วย แต่พี่สาวไม่เป็แบบนั้น ดังนั้นเพื่อนๆ ทุกคนจึงอิจฉาเขามาก
แถมพี่สาวยังสวยสะอาดสะอ้าน พี่สาวคนอื่นไม่สวยเท่าพี่สาวของเขา ดังนั้นเ้าตัวเล็กจึงชอบคลอเคลียหมี่หลันเยว่ เวลาพาเขาออกไปข้างนอก เขาจะรู้สึกภาคภูมิใจและมักจะเชิดหน้าอกขึ้น
หมี่หลันเยว่ในชาตินี้ก็ยังไม่มีใบหน้าสวยสะกดใจ รูปร่างหน้าตายังคงธรรมดา แต่จิตใจของเธอเปลี่ยนไป ทัศนคติในการใช้ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปด้วย แถมยังออกกำลังกายอย่างไม่ย่อท้อ หมี่หลันเยว่ที่ได้เกิดใหม่อีกครั้งดูสวยขึ้นจริงๆ
แต่ไม่ใช่ความสวยที่ฉาบฉวย แต่เป็บุคลิกของเธอเองที่ทำให้เธอมีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกถึงความประณีตที่บอกไม่ถูก คุณจะถูกดึงดูดจากเธอั้แ่แรกเห็น เหมือนว่าเธอมีแรงดึงดูดบางอย่าง ที่ทำให้คุณเชื่อถือเธอ เคารพเธอ และยอมจำนนต่อเธอ
ความรู้สึกนี้ละเอียดอ่อนมาก ตอนแรกหมี่หลันเยว่ไม่ทันสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ มันเป็การเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็ค่อยไป เกิดจากการที่เธอสรุปประสบการณ์จากชาติที่แล้ว อ่านความรู้ใหม่ๆ จดบันทึกเื่ราวในชีวิตประจำวัน บันทึกการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็การยกระดับ
เธอไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เพียงแต่บังเอิญวันหนึ่ง เธอพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูด หรือพูดในสิ่งที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่กลับพบว่าเพื่อนร่วมชั้นทุกคนเห็นด้วยกับเธอ ไม่มีใครคัดค้านเลย ทำให้เธอใมาก
จากนั้นจึงเริ่มทบทวนตัวเองว่ามีอะไรที่ทำไม่เหมาะสม ทำให้เพื่อนเข้าใจผิดว่าเธอเผด็จการหรือเอาแต่ใจตัวเองเกินไป จนไม่มีใครกล้าโต้แย้งเธอหรือเปล่า ทว่าหลังจากสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่าไม่ใช่เป็อย่างที่คิด แต่เป็เพราะเพื่อนร่วมชั้นเชื่อใจเธอมากเกินไป คิดว่าการตัดสินใจของเธอถูกต้องเสมอ
การค้นพบนี้ทำให้หมี่หลันเยว่ดีใจมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย การได้รับการยอมรับจากทุกคนเป็เกียรติอย่างหนึ่ง และเป็ความสามารถอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไม่มีใครพูดว่าไม่กับคุณเลย คุณจะรู้สึกหมดหนทาง เพราะคุณไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ ทุกคนจะโน้มเอียงไปตามการตัดสินใจของคุณ
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงนี้จึงน่ากลัวมาก หมี่หลันเยว่้าให้ตัวเองมีความสามารถในการตัดสินใจที่เพียงพอ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีคนที่สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอได้ด้วย เพื่อที่ว่าเมื่อการตัดสินใจของเธอไม่ถูกต้อง จะได้มีคนคอยทักท้วงเธอ ค้นพบข้อบกพร่องของตัวเอง เธอถึงจะมีพื้นที่ให้พัฒนาตัวเองได้มากยิ่งขึ้น
"พี่หลันเยว่ อย่าโทษแม่เลยนะ พี่นี่มันยืดยาดจริงๆ"
เห็นพี่สาวเก็บของเสร็จแล้ว แต่กลับยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น หมี่หลันซิงก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือพี่สาวแล้วเดินออกไปข้างนอก ท่าทางแข็งกร้าวมาก หมี่หลันเยว่มองน้องชายที่ทำปากยื่น ก็รีบก้าวตามเขาไป และปล่อยวางความคิดของตัวเอง
จนกระทั่งก้าวขึ้นไปบนรถไฟสีเขียว หมี่หลันซิงถึงได้ปล่อยมือ เหมือนกับว่าถ้าเขาปล่อยมือ พี่สาวก็จะถูกรถไฟทิ้งไว้จริงๆ เขาไม่อยากให้พี่สาวอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวที่สถานีรถไฟ ไม่มีใครอยู่ด้วยมันน่าสงสาร เ้าตัวเล็กคิดในใจ
"นี่ พี่ให้หลันซิงกินลูกอม ขอบคุณที่หลันซิงพาพี่ขึ้นรถไฟนะ"
หมี่หลันซิงยิ้มแย้มรับไป
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ก็พี่เป็พี่สาวผมนี่ ผมก็ต้องพาพี่มาอยู่แล้ว"
มองเ้าตัวเล็กที่เงยหน้าขึ้นมาแสดงสีหน้าเหมือนเป็เื่ธรรมดา หมี่หลันเยว่ก็เพิ่งรู้ว่าน้องชายมีความรู้สึกแบบฮีโร่ด้วย ตัวเล็กแค่นี้ ก็อยากจะปกป้องพี่สาวแล้ว แต่พอนึกถึงสิ่งที่น้องชายทำในชาติที่แล้ว ก็ต้องบอกว่า น้องชายเป็คนมีน้ำใจจริงๆ เพียงแต่เธอไม่ได้สังเกตเท่านั้นเอง
เหมือนกับรถไฟสีเขียวที่เธอกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ ตอนที่เคยนั่งเมื่อก่อน เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่มันถูกเลิกใช้
รถไฟที่แข็งแรง ใหญ่โต และน่าตื่นเต้นขนาดนี้ สำหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างหมี่หลันเยว่มันควรจะคงอยู่ตลอดไป แต่สุดท้าย...มันก็เกษียณไป หลายสิบปีให้หลัง ในวันหนึ่งที่เธอไม่ทันรู้ตัว เธอก็จะไม่เห็นมันอีกเลย โลกนี้ไม่มีอะไรคงที่ตลอดไปจริง ๆ
แล้วเธอยังกังวลอะไรอยู่ เธอเพิ่งจะสิบขวบเท่านั้น ยังมีเวลาอีกมากที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป เธอสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ ถ้าเธอไปถึงจุดที่สูงมากจริงๆ แล้วไม่มีใครตามทัน ก็ต้องดูความสามารถของตัวเองแล้ว
ถ้าสามารถทำให้ลูกน้องทุกคนของตัวเองเชื่อฟังอย่างเคร่งครัดได้ นั่นก็เป็ความสามารถของตัวเองอย่างหนึ่ง แล้วจะกลัวความล้มเหลวไปทำไม? ข้อดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนหนุ่มสาวคือการได้รับอนุญาตให้ทำผิด เพราะยังมีเวลาแก้ไข ลองคิดดูสิว่าวันหนึ่ง เมื่อเธอออกคำสั่งไป ทุกคนจะมุ่งหน้าไปข้างหน้าเพื่อการตัดสินใจของเธออย่างไม่ย่อท้อ มันจะสนุกแค่ไหน
เพราะในสายตาของพวกเขา คำสั่งของเธอถูกต้องอย่างแน่นอน แล้วจะยังมีอุปสรรคใดที่เอาชนะไม่ได้อีกล่ะ แต่สิ่งที่ต้องทำก่อนคือเธอต้องเติมเต็มตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัวเองมีความเฉลียวฉลาดและมีวิสัยทัศน์ในภาพรวมมากที่สุด ทำการตัดสินใจทั้งหมดให้ถูกต้องมากที่สุด เท่าที่จะเป็ไปได้ การไม่ทำผิดพลาดนั้นแน่นอนว่าดีที่สุด
"พี่ พี่ว่าคุณน้าจะมารับพวกเราที่สถานีไหม?"
หมี่หลันซิงก็ชอบน้ามาก ทุกครั้งที่มาบ้านคุณยาย น้าจะคอยเอาใจเขา พาเขาไปเล่นด้วย ดังนั้นพอมาถึงบ้านคุณยาย หมี่หลันซิงก็จะกลายเป็เงาตามตัวของน้าเลย แม้แต่พี่สาวอย่างเธอก็ต้องหลีกทางให้
"ลองไปถามแม่ดูสิ ว่าได้ส่งข่าวไปให้คุณน้าหรือเปล่า ถ้าคุณน้ารู้ว่าหลันซิงจะมาบ้านคุณยาย เขาจะต้องมารับนายอย่างแน่นอน"
ในยุคนี้ข้อมูลข่าวสารยังไม่พัฒนา การโทรศัพท์ไม่ใช่เื่ง่าย แม้ว่าจะยืมโทรศัพท์แล้วโทรติด อีกฝ่ายก็อาจจะไม่สามารถช่วยหาคนให้ได้ ดังนั้นการให้ญาติหรือเพื่อนช่วยฝากข้อความจึงปลอดภัยกว่า
"แม่ฮะ คุณน้ารู้ไหมว่าผมจะมา?"
หมี่หลันซิงก็ไปคลอเคลียแม่อีกครั้ง หวังหย่วนฉิงก็ไม่แน่ใจว่าข่าวสารไปถึงหรือยัง
"เดี๋ยวพอรถไฟจอด เราก็รู้แล้ว"
หมี่หลันซิงก็รอคอย่เวลาที่รถไฟจะจอด พอเห็นหน้าน้าแวบผ่านหน้าต่างรถไฟที่กำลังจะจอด หมี่หลันซิงก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น น้าชายวิ่งตามรถไฟมาสองสามก้าว แล้วรออยู่ที่ประตูรถ
"คุณน้า มารับผมแล้ว!"
หมี่หลันซิงวัยแปดขวบ ก็ถือว่าเป็เด็กชายตัวเล็กๆ แล้ว แต่น้าก็ยังอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดาย
"หลันซิงมาบ้านแล้ว น้าจะไม่มารับได้ยังไง เธอเป็แขกคนสำคัญเลยนะ"
หมี่หลันซิงก็หัวเราะคิกคัก กอดคอน้าไม่ยอมปล่อย
"พี่สาว พี่เขย กลับบ้านกันเถอะ"
จากสถานีรถไฟไปบ้านคุณยายไม่ไกล แต่เป็ถนนลูกรังทางไม่ค่อยดีนัก น้าชายจึงอุ้มหมี่หลันซิงกลับบ้านตลอดทาง ทำให้เ้าตัวเล็กร่าเริงมาก
"น้าดีที่สุด น้าชอบผมที่สุด"
ตลอดทางพูดคำนี้ไปไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง แม้แต่หมี่หลันเยว่ก็ยังฟังออกว่าเ้าตัวเล็กกำลังประจบประแจง ไม่คิดว่าน้องชายที่ดูไร้เดียงสาและซื่อตรง จะมีมุมที่เ้าเล่ห์แบบนี้ด้วย
"ถึงแล้ว เข้าไปทักทายคุณยายกันก่อนเถอะ"
เมื่อมาถึงประตูไม้หน้าบ้านคุณยาย น้าชายถึงได้วางหมี่หลันซิงลงบนพื้น หมี่หลันซิงออกแรงผลักประตูไม้หนักๆ เปิดออก แล้ววิ่งเข้าไปข้างใน
"คุณยาย คุณตา ผมมาแล้ว หลันซิงมาเยี่ยมแล้ว!"
หมี่หลันซิงะโลั่นวิ่งเข้าไปข้างใน หมี่หลันเยว่กับหมี่หลันหยางมองหน้ากัน แล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน น้องชายมีพลังจริงๆ แต่ทำไมเธอกับพี่ชาย...กลับดูเหมือนคนแก่กันแล้วนะ ความคิดนี้ทำให้หมี่หลันเยว่ใ
"ไอ๊หยา หลานรักทั้งสามของยายมาแล้ว มาเร็วๆ มาดูสิว่ายายเตรียมอะไรอร่อยๆ ไว้ให้บ้าง"
เมื่อเห็นคุณยายที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ปรากฏตัวต่อหน้าเธอในสภาพที่แข็งแรงกระปรี้กระเปร่าแบบนี้ หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกเป็ครั้งแรกว่า การเกิดใหม่มันดีจริงๆ
ทำให้เธอมีโอกาสที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ในครอบครัว การสูญเสียหลายอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับไม่สามารถแก้ไขได้หลังจากสูญเสียไปแล้ว เช่น รถไฟสีเขียวคันนั้น หรือคุณยายที่เสียชีวิตไป แต่สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธออีกครั้ง หมี่หลันเยว่รู้สึกขอบคุณจากใจจริง