EPISODE 03
ถึงแม้ว่าจุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้จะไม่สามารถได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดได้ แต่ผมก็สามารถอ่านปากของเธอออกว่าเมื่อกี้เธอพูดอะไรกับผม
“หืม มองทำไมวะ”
ประโยคนั้นมันก็ทำให้ผมคนนี้ถึงกับต้องยกคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจทันที เพราะนี่ดูเหมือนว่าจะเป็ครั้งแรกที่มีคนแสดงท่าทีเหมือนไม่พอใจที่ถูกผมมองเป็ครั้งแรก เธอถามผมว่าผมมองเธอทำไมอย่างนั้นเหรอ อ่า จะว่าไปที่ผ่านมาเพียงแค่ผมลากสายตาผ่านโดยที่ไม่ได้จดจ่อมองเหมือนกับครั้งนี้มันก็ทำให้ผู้หญิงพวกนั้นแทบจะคลั่งกันได้ทุกคน แต่..สำหรับผู้หญิงคนนี้กลับต่างไปจากทุกคนที่ผมเคยเจอ เธอทำเหมือนกับว่าเธอไม่พอใจที่ถูกผมมองอยู่ยังไงยังงั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็จริงเธอควรคิดว่าการที่ถูกผมมองอยู่แบบนี้มันคือความโชคดีของเธอไม่ใช่เหรอ
หรือว่า..นี่จะเป็แผนการดึงดูดความสนใจรูปแบบไหมวะ นั่นสิ มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่นาที่คนพยายามทำให้ผมสนใจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตที่ผมได้ขึ้นมายืนอยู่ในจุดนี้ มีผู้หญิงมากมายที่พยายามเข้าหาผมทุกรูปแบบ แปลกกว่านี้ผมก็เคยเจอมาแล้ว
หึ พยายามน่าดู แต่ผมก็ต้องยอมรับเลยว่าวิธีที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้มันได้ผล เพราะเธอสามารถดึงดูดความสนใจจากผมได้จริงๆ
“หึ”
เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงส่งยิ้มที่มุมปากไปให้เธอครั้งหนึ่งเพื่อเป็รางวัลให้แก่ความพยายามของเธอ ก่อนที่ผมจะหันไปตั้งใจกับการแสดงต่อ
จนเวลาล่วงเลยมาถึง่ที่ผมต้องจับหมายเลขบัตรเพื่อที่จะได้เลือกผู้โชคดีขึ้นมารับการแฟนเซอร์จากพวกผมตัวต่อตัว มันเป็เื่ปกติที่ตัวศิลปินจะให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แก่บรรดาแฟนคลับเพื่อเป็การขอบคุณที่พวกเขาอุตส่าห์ติดตามผมงานของพวกเรามาตลอด และนี่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องทำเื่แบบนี้ เรียกว่าทำบ่อยจนชินไปแล้ว
แต่..ดูเหมือนว่าความบังเอิญมันจะเกิดขึ้นได้กับทุกคนจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนนี้คำว่าบังเอิญมันกำลังเกิดขึ้นกับผม ใช่ แฟนคลับผู้โชคดีที่ผมจับหมายเลขบัตรได้เมื่อกี้คือผู้หญิงคนนั้น แต่สิ่งที่บังเอิญไปมากกว่านั้นก็คือ ของขวัญที่ผมต้องมอบให้เธอต่างหากล่ะ และของขวัญที่พวกผมจะมอบให้แก่แฟนคลับผู้โชคดีนั้นมันไม่ได้ระบุไว้ั้แ่ต้น พวกผมต้องสุ่มจับฉลากกันเอาเองยังไงล่ะ ซึ่งของขวัญมันก็จะเป็การได้ใกล้ชิดกับตัวศิลปินนั่นแหละ จะมากจะน้อยแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกผมจับได้ น้อยสุดก็ถ่ายรูปคู่ มากสุดก็คือการกอด ใช่ สิ่งที่ผมจับได้มันก็คือการกอดนั่นเอง
อ่า ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะพกความโชคดีมาด้วยสินะ นอกจากเธอจะทำให้ผมคนนี้มองเธอได้แล้ว เธอยังได้กอดจากผมอีก หึ สงสัยชาติที่แล้วคงทำบุญไว้เยอะสินะถึงได้โชคดีแบบนี้
“หวังว่าจะชอบของขวัญที่ได้เมื่อกี้นะครับ”
ผมเอ่ยพูดกับเธอไปหลังจากที่ได้มอบของขวัญสุดพิเศษให้แก่เธอไปแล้ว จะว่าไป พอได้มายืนมองหน้าใกล้ๆ แบบนี้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ตัวเล็กกว่าที่คิดอีกแฮะ และผมก็พิสูจน์แล้วว่าเธอตัวเล็กกว่าผมมากแค่ไหนหลังจากที่ผมกอดเธอไปเมื่อกี้ ขนาดตัวเท่านี้ถ้าให้ผมเดาเธอน่าจะยังเรียนมัธยมอยู่แน่ๆ แต่นอกจากร่างกายที่มีขนาดเล็กกว่าผมมากนั่นแล้ว เธอยังมีใบหน้าสวยหวานที่สามารถเข้าไปอยู่ในวงการบันเทิงได้ง่ายๆ อีกด้วย ถ้าเข้าวงการบันเทิงเธอคงรุ่งน่าดู
แต่..มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้แสดงท่าทีไม่ชอบใจออกมาหลังจากที่ผมกอดเธอกันล่ะ เธอไม่ชอบที่ถูกผมกอดอย่างนั้นเหรอ แต่เมื่อกี้ผมพยายามเต็มที่แล้วนะ เพียงแต่ว่าผมเผลอตัวแกล้งเธอไปนิดหน่อยก็แค่นั้นเอง ผมคิดว่ามันจะทำให้เธอชอบใจซะอีก แล้วทำไมเธอถึงได้มองผมตาขวางแบบนั้นกันล่ะ
“ชิ”
เธอคนนั้นเดาะลิ้นใส่ผมด้วยความหงุดหงิดเป็ครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะเดินลงจากเวทีไป ส่วนผมนั้นก็ได้แต่มองตามหลังเธอไปด้วยความมึนงง อ่า ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็แฟนคลับประเภทไหนกันแน่
แล้วหลังจากนั้น่เวลาแห่งความสนุกของคอนเสิร์ตก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่สร้างความแปลกใจให้แก่ผมก่อนหน้านี้มันจะผ่านไปแล้ว แต่มันก็ทำให้ผมอดที่จะหันไปมองยังจุดที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่อีกครั้งไม่ได้ ไม่สิ มันเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะมองเธอมากกว่า เพราะจุดที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่มันเป็ตำแหน่งสายตาของผมพอดี เธอยืนอยู่ต่อหน้าผม ถ้าไม่ให้ผมมองไปตรงนั้นเลยมันก็คงเป็เื่ที่แปลก ผมแค่มองเพราะว่ามันอยู่ในตำแหน่งของสายตาผมเท่านั้นไม่ได้มองเพราะมีเหตุผลอย่างอื่นแอบแฝงหรอก
แต่ในตอนนั้นเองในระหว่างที่ผมกำลังเล่นเบสไปตามทำนองเพลงอยู่นั้น สายตาของผมมันก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมคนนี้ถึงกับต้องชะงักไปทันทีจนลืมเล่นเบสไปตามทำนองเพลง
เพราะผู้หญิงคนนั้นกำลังยิ้ม เธอยิ้ม และมันเป็รอยยิ้มแรกที่ผมเห็นจากเธอหลังจากที่เธอเอาแต่ยืนทำหน้าบึ้งมาตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา หืม ก็ยิ้มเป็นี่นา
“เมื่อกี้มึงพลาด”
ใน่ที่ไม่มีท่อนร้องไอ้แรมมันก็เดินมากระซิบข้างหูของผมหลังจากที่มันจับได้ว่าเมื่อกี้ผมเผลอทำพลาดไป
“อืม กูรู้”
ผมพึมพำพูดกับมันไปในขณะที่นิ้วมือของผมยังคงบรรเลงเสียงเพลงไปตามทำนองเพลงอยู่
“แต่มึงไม่เคยพลาด”
ใช่ ผมไม่เคยทำพลาดแบบนี้มาก่อน
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่า กูสบายดี”
และความผิดพลาดในครั้งนี้มันทำให้ผมเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน แปลกใจจนน่าใเลยล่ะ เพราะอะไรกันนะที่ทำให้ผมเผลอทำพลาดไปแบบนี้ ผมคิดกับตัวเองในใจก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปมองที่ผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งซึ่งตอนนี้ใบหน้าของเธอมันไม่มีรอยยิ้มหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
หืม เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ บ้าน่า เป็ไปไม่ได้หรอก
เวลาต่อมา
“อ่า โคตรมันเลยเมื่อกี้”
เสียงของไอ้ภีมเอ่ยพูดขึ้นมาในขณะที่พวกผมได้กลับมาอยู่ในห้องรับรองที่อยู่ด้านหลังเวทีเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้คอนเสิร์ตวันครบรอบห้าปีของพวกผมมันได้จบไปแล้วน่ะ ถึงแม้ว่าพวกผมจะรู้สึกเหนื่อยกับการที่ต้องยืนเล่นดนตรีเป็เวลานานๆ แต่มันก็เป็ความเหนื่อยที่ทำให้พวกผมรู้สึกสนุกและรู้สึกอิ่มเอมไปพร้อมๆ กันจนทำให้ความเหนื่อยล้าพวกนั้นมันหายไปหมดทันที ตอนนี้เลยเหลือแค่ความรู้สึกสนุกที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากคอนเสิร์ตเท่านั้น
“หวังว่าพวกแฟนคลับจะชอบกันนะ”
“ก็คงจะชอบกันแหละ ขนาดพวกเรายังสนุกกันมากขนาดนี้ พวกแฟนคลับคงรู้สึกไม่ต่างจากพวกเรากันหรอก”
“ว่าแต่เฮียโซ่ทำไมทำหน้าเข้มแบบนั้นล่ะเฮีย ไม่พอใจอะไรตรงไหนหรือเปล่า”
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งเช็ดเหงื่อไปตามใบหน้าให้ตัวเองอยู่นั้น ไอ้ภีมมันก็หันมาเอ่ยถามผม และคำพูดของไอ้ภีมเมื่อกี้มันก็ทำให้ผมรู้ตัวได้ทันทีว่าตอนนี้ผมกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่
“ไม่พอใจที่เล่นพลาดเหรอ”
“อ้าว เฮียโซ่เล่นพลาดเหรอ ผมไม่รู้เลยนะเนี่ย แต่ผมก็เล่นพลาดนะเฮีย อย่าคิดมากเลย”
“เปล่า กูไม่ได้คิดเื่นั้น”
ผมปฏิเสธเสียงเรียบ ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะเผลอเล่นพลาดไปแต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้ผมคนนี้ไม่พอใจได้ แต่ที่ทำให้ผมต้องทำหน้าเข้มอย่างที่ไอ้ภีมทักผมขึ้นมาเมื่อกี้มันเป็เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมต้องเล่นพลาดนั่นต่างหากล่ะ
ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าสาเหตุนั่นมันมาจากผู้หญิงคนนั้นจริงๆ อย่างนั้นเหรอ แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็แค่แฟนคลับคนหนึ่งก็แค่นั้นเอง ผมไม่ได้รู้จักหรือว่าเคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเลยด้วยซ้ำไป เธอไม่น่าจะมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผมได้มากขนาดนี้นี่นา มันจึงเป็ไปไม่ได้ที่เธอจะเป็สาเหตุทำให้ผมเสียศูนย์ นั่นสิ แล้วมันจะเป็เพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้น
อ่า เริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้วสิ
“แล้วเื่ไหนอีกที่ทำให้คนอย่างมึงคิดมากได้ ถ้าไม่ใช่เื่ดนตรี”
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก กูก้แค่คิดไร้สาระเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะ”
“หืมคนอย่างมึงนี่นะคิดไร้สาระเป็ด้วย”
แล้วคนอย่างผมคิดเื่ไร้สาระบ้างไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แต่ในระหว่างที่พวกผมกำลังนั่งคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา ก่อนที่ประตูบานดังกล่าวจะถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ขอโทษที่มารบกวนเวลาพักนะคะ”
ผมกลอกตามองเพดานทันทีด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อเห็นว่าบุคคลที่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้องพักเมื่อกี้เป็ใคร พิม เธอคือนางเอกที่มาแสดงในเอ็มวีเพลงล่าสุดของพวกผม และเธอก็เป็ผู้หญิงคนเดียวกันที่กำลังตกเป็ประเด็นร้อนกับผมในตอนนี้
“พอดีพิมแค่อยากมาร่วมแสดงความยินดีกับพวกพี่ๆ น่ะค่ะ”
พรึบ!
ทันทีที่เธอเอ่ยพูดประโยคนั้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมที่นั่งซับเหงื่อให้ตัวเองอยู่ที่โซฟาเมื่อกี้ก็ลุกขึ้นยืนทันที และแน่นอนว่าการกระทำของผมเมื่อกี้เรียกสายตาของคนที่อยู่ในห้องรับรองนี้ให้หันมาสนใจอยู่ที่ผมเป็ตาเดียวทันที รวมถึงสายตาจากผู้ที่พึ่งเข้ามาใหม่อย่างยัยน้องพิมอะไรนั่นด้วย ไม่สิ เธอจงใจมองมาที่ผมั้แ่ที่เธอเดินเข้าในห้องนี้สิถึงจะถูก
“ไปไหนอะเฮีย”
ไอ้ภีมเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเมื่อมันเห็นว่าผมกำลังตั้งท่าจะเดินออกไปจากที่นี่
“ห้องน้ำ”
“อ่อ ตามสบายเลยครับเฮีย”
แล้วผมก็เดินตรงไปยังประตูทางเข้าทันที ซึ่งตอนนี้ตรงประตูทางเข้ามีร่างของยัยน้องพิมยืนขวางทางอยู่ เมื่อเห็นว่าเธอยืนขวางทางอยู่ผมก็เลยตวัดสายตาของตัวเองไปมองหน้าของเธอทันทีเพื่อบอกเธอทางสายตาว่าให้เธอหลีกทางให้ผม แต่..นอกจากเธอจะไม่หลีกทางให้ผมแล้ว เธอยังจงใจมายืนปิดทางออกจากห้องนี้ด้วยร่างกายของเธอแทนซะอย่างนั้น อ่า ให้ตายสิ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจงใจหาเื่ผมอยู่สินะ การที่เธอมายืนขวางทางผมแบบนี้ผมบอกเลยว่ามันเป็วิธีที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย
“พี่โซ่คะ”
“...”
“พิมมาร่วมแสดงความยินดีกับพี่ค่ะ นี่ค่ะ ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากพิม”
ไม่เพียงแค่พูด แต่เธอได้ยื่นเอาช่อดอกไม้ที่เธออุตส่าห์หอบติดมือมาด้วยส่งมาให้ผม ผมเลยหลุบตามองช่อดอกไม้ที่ว่านั่นด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนที่จะเอ่ยว่า..
“ไอ้ภีม”
“ครับเฮีย”
“มึงชอบดอกไม้ไม่ใช่เหรอ มาเอาไปสิ”
“เอ่อ..ครับ”
แล้วไอ้ภีมก็เดินมาดึงเอาช่อดอกไม้ที่ว่านั่นไปจากมือของยัยน้องพิมตามคำสั่งของผมทันที ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ยัยน้องพิมถึงกับหน้าเสียไปทันที แต่มันก็เป็แค่่เวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้เธอได้ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็ปกติแล้ว ก่อนที่เธอจะเอ่ยพูดกับผมมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มมาว่า..
“หว่า ใจร้ายเหมือนกันนะคะพี่โซ่”
“หึ ฉันร้ายได้มากกว่านี้ถ้าหากว่าเธอยังมาตามวอแวฉันแบบนี้อีก”
ผมพูดไปตามที่ผมคิด เพราะสำหรับผู้หญิงคนนี้ผมว่ามันไม่มีอะไรที่ต้องพูดจาอ้อมค้อมกันให้เสียเวลาอีกต่อไป และอีกอย่างคนที่อยู่ในห้องนี้ก็รู้กันดีอยู่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับนางเอกคนนี้อยู่ในขั้นวิกฤติแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เื่จำเป็อะไรที่ผมจะต้องมาแสร้งทำเป็ญาติดีกับเธอน่ะ
“พูดแบบนี้พิมเสียใจแย่เลยนะคะพี่โซ่”
ปากเธอพูดว่าเสียใจ แต่สีหน้าเธอมันตรงข้ามกับคำพูดที่เธอพูดออกมามาก
“พิมแค่แวะมาแสดงความยินดีให้กับพวกพี่แค่นั้นเอง พี่ไม่เห็นจำเป็ต้องทำตัวเ็าใส่พิมแบบนี้เลย ยังไงซะพวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น ใช่ไหมคะ”
“้าอะไรก็พูดมา”
“อ่า พี่โซ่เข้าใจง่ายกว่าที่พิมคิดเอาไว้อีกนะคะ ในเมื่อพี่ถามพิมมาตรงๆ แบบนี้แล้ว พิมก็จะตอบไปตรงๆ ก็แล้วกัน ว่าที่พิมอุตส่าห์มาหาพี่ถึงที่นี่ก็เพราะว่าพิมอยากให้พี่ช่วยแก้ข่าวให้พิมก็แค่นั้นเองค่ะ”
นี่น่ะเหรอสภาพของคนที่มาขอความช่วยเหลือจากผม มาขอความช่วยเหลือหรือมาบังคับให้ทำกันแน่
“ทำไมฉันต้องช่วยเธอไม่ทราบ”
“ก็เพราะว่าถ้าพี่ไม่ช่วยพิม สปอนเซอร์รายใหญ่ที่ช่วยสนับสนุนวงของพี่ก็จะหายไปยังไงล่ะคะ”
เธอหมายถึงสปอนเซอร์ที่เป็คนช่วยพาเธอมาเล่นเอ็มวีเพลงล่าสุดของพวกผมน่ะเหรอ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าสปอนเซอร์รายนั้นคือบริษัทพ่อของเธอ ผมรู้ รู้มาตลอด แต่ผมแค่แกล้งทำเป็หลับหูหลับตาก็เท่านั้นเพราะผมไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ไม่คิดว่าเธอจะกล้าเอาเื่นี้มาขู่ให้ผมยอมทำตามคำสั่งของเธอ หึ แต่เธอคิดผิดแล้วล่ะที่เอาเื่นี้มาขู่คนอย่างผม เพราะนอกจากผมจะไม่เกรงกลัวคำขู่ของเธอแล้วผมยังรู้สึกว่าที่เธอขู่ผมเมื่อกี้มันช่างเป็อะไรที่น่าขันซะเหลือเกิน
หึ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สินะว่า บริษัทของพ่อเธอกำลังถูกถอนออกจากเป็สปอนเซอร์ให้กับวงของพวกผม เพราะมีคนวงในให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตของบริษัทนี้มาน่ะ และเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของวง ทางต้นสังกัดเลยสั่งถอนบริษัทนี้ออกจากการเป็สปอนเซอร์ และอีกอย่างก็คือ บริษัทของพ่อเธอก็ไม่ใช่สปอนเซอร์รายใหญ่อย่างที่เธอคิดด้วย เพราะสปอนเซอร์รายใหญ่จริงๆ น่ะ ไม่มีทางถอนตัวจากการเป็สปอนเซอร์วงของผมเด็ดขาด
“เอาสิ”
“พี่หมายความว่ายังไงคะ”
“ฉันหมายความว่า ไม่ช่วยยังไงล่ะ”
“...”
“ไม่เคยคิดและไม่อยากทำด้วย”
“พี่โซ่!”
“อ่อ ก่อนที่เธอจะมาขู่ฉัน ก็ช่วยกลับไปถามพ่อเธอด้วยว่าใครกันแน่ที่เป็ฝ่ายถูกถอน”
“นะ นี่ พี่พูดอะไรของพี่”
“ฉันพูดได้แค่นี้แหละ ที่เหลือเธอก็กลับไปถามพ่อเธอเอาเองก็แล้วกัน”
“...”
“บาย หวังว่าอย่าได้พบได้เจอกันอีกเลยนะ เพราะฉันเบื่อหน้าเธอเต็มทนแล้ว”
ผมพูดจบเพียงแค่นั้นก่อนที่จะยื่นมือไปดันร่างของยัยน้องพิมที่ยืนขวางประตูออกไปให้พ้น ๆ แล้วเดินออกมาจากห้องรับรองนั่นทันที
หลายวันต่อมา
นารา Talk
“happy birthday to you~”
แปะๆ!
เสียงตบมือดังลั่นขึ้นมาทันทีเมื่อเพลงอวยพรวันเกิดจบลง
“เป่าเทียนเลยหนูนา”
“ฟูว!”
ฉันยื่นใบหน้าไปเป่าเทียนที่ปักอยู่บนหน้าเค้กจนดับสนิททันที ก่อนที่จะเงยหน้าหันไปส่งยิ้มให้กับป๊ากาย พ่อของฉัน ที่นั่งอยู่ข้างๆ ม๊าบัว แม่ของฉันทันที อ่อ ฉันยังไม่ได้บอกไปสินะว่าวันนี้มันคือวันเกิดครบรอบยี่สิบสองปีของฉันตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในปาร์ตี้วันเกิดเล็กๆ ที่มีแค่คนในครอบครัวของฉันเท่านั้นที่มาร่วมงาน ซึ่งนอกจากป๊ากายกับม๊าบัวแล้ว ยังมีเฮียรบพี่ชายแท้ๆ ของของฉันอยู่ร่วมอวยพรวันเกิดให้ฉันด้วยอีกหนึ่งคน
“หนูนาก็อายุครบ ยี่สิบสองปีแล้ว ป๊าขอให้หนูอยู่เป็สุดที่รักของป๊าแบบนี้ต่อไป อย่าพึ่งรีบมีแฟนนะเพราะป๊ายังทำใจให้หนูไปเป็ของใครไม่ได้”
หือ นี่มันคือคำอวยพรไหมวะ อ่อ ส่วนหนูนาคือชื่อที่ครอบครัวใช้เรียกฉันนะ ย่อมาจากคำว่านารานั่นแหละ
“ป๊า ถ้าหนูเป็สุดที่รักของป๊า แล้วม๊าบัวล่ะเป็อะไร”
“สุดที่รักของป๊าเหมือนกันแต่เป็เบอร์หนึ่ง”
อ้าว แล้วฉันเป็เบอร์ไหน
“แล้วหนูอะ”
“หนูนาเป็เบอร์1.1”
ต่อให้ฉันเป็ลูกสาวเพียงคนเดียวของป๊ากายแต่ฉันก็ไม่เคยสู้ม๊าบัวที่เป็เมียสุดที่รักของป๊ากายได้เลยสักครั้ง เฮ้อ มีพ่อใครเห่อเมียได้เท่าพ่อฉันไหม เื่บูชาเมียเนี่ยต้องยกให้พ่อฉันอยู่อันดับต้นๆ เลย
“แล้วเฮียรบล่ะ”
ถึงแม้ว่าฉันจะแพ้ม๊าบัว แต่ฉันไม่ยอมแพ้เฮียรบหรอกนะ
“รบเป็เบอร์ 1.2”
“เยส อย่างน้องหนูก็ชนะเฮียล่ะวะ”
“เออ ยอมให้วันหนึ่ง”
เฮียรบผู้เป็พี่ชายแท้ๆ ของฉันเอ่ยโต้ตอบฉันกลับมา ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าให้ฉันด้วยความเอือมระอา ถึงแม้ว่าเฮียรบจะบอกว่าเขายอมให้ฉันแค่วันเดียวแต่ที่ผ่านมาเขาก็ยอมฉันแบบนี้มาโดยตลอด ก็เฮีบรบรักน้องสาวอย่างฉันคนนี้มากยังไงล่ะ
อ่อ ฉันบอกไปหรือยังว่าพี่ชายของฉันคนนี้ตอนนี้ไม่โสดแล้วนะ เขากลายเป็คนพ่อลูกหนึ่งไปแล้ว แถมเมียเฮียอย่างเจ๊พายเนี่ย แซ่บลืมโลกเลยล่ะ แซ่บถึงขั้นที่ทำให้ผู้หญิงด้วยกันอย่างจนยังเผลอน้ำลายหกเลย ไม่แปลกที่ทำไมพี่ชายของฉันคนนี้ถึงได้หวงเมียออกนอกหน้าขนาดนั้น นี่ถ้าล่ามโซ่ติดกับเมียได้ตลอดทั้งวันฉันว่าพี่ชายฉันคงทำไปแล้ว แต่พี่ชายฉันต้องแลกด้วยการถูกเจ๊พายข่วนจนหน้าแหกอะนะถึงจะทำแบบนั้นได้
“ว่าแต่ แค่อวยพรกันอย่างเดียวเหรอ ไหนล่ะของขวัญหนู เอามาซะดีๆ”
ฉันไม่เพียงแค่พูด แต่ตอนนี้ฉันได้แบมือเป็ท่าประกอบเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“ป๊ากับม๊าไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้หนูน่ะ”
หืม พูดแบบนี้แสดงว่าไม่มีของขวัญอย่างนั้นเหรอ
“แต่อย่าพึ่งเสียใจไป ป๊ามีนี่ให้หนู”
พูดจบป๊ากายก็ดึงเอาบัตรสี่เหลี่ยมสีดำออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้ววางมันลงที่มือของฉันในเวลาต่อมา ซึ่งทันทีที่ฉันเห็นว่ามันคืออะไรตาทั้งสองข้างของฉันมันก็ลุกวาวเป็ประกายขึ้นมาทันที ว้าว แบร็กการ์ด
“อยากได้อะไรก็ไปรูดเอานะหนูนา”
“งือ ขอบคุณค่ะป๊ากาย รักป๊าที่สุดเลย”
ฉันโผ่เข้าไปกอดผู้เป็พ่อทันทีด้วยความดีใจ
“ความคิดของม๊าบัวน่ะ”
“ง่า หนูก็รักม๊าบัวนะคะ จุ๊ฟ”
แล้วฉันก็ยื่นใบหน้าไปหอมแก้มของแม่ฉันต่อทันที ก่อนที่สายตาของฉันมันไปหยุดอยู่ที่ร่างของพี่ชายของฉันที่กำลังแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้อยู่
“อย่าทำเป็เนียนนะเฮีย ส่งของขวัญมาซะดีๆ”
“ของขวัญอะไร ไม่มี ไม่ได้เตรียมมา”
ฉันย่นหน้าใส่เฮียรบไปทันทีด้วยความไม่พอใจ เพราะไม่คิดว่าพี่ชายของฉันคนนี้จะมาตัวเปล่าแบบนี้เพราะปกติเขาจะถือของขวัญติดมือมาด้วยตลอด แต่ครั้งนี้กลับไม่เอาอะไรติดมือมาด้วยแบบนี้มันก็น่าน้อยใจเหมือนกันนะ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฮ่าๆ”
แต่พอเฮียหันมาเห็นสีหน้าของฉันเท่านั้นแหละ เขาก็หลุดขำออกมาทันที”
“เฮียแค่ล้อเล่น”
มันใช่เวลามาล้อเล่นไหม และอีกอย่างเมื่อกี้ใจของฉันมันก็แป้วไปแล้วด้วย จะมาบอกว่าแค่ล้อเล่นแบบนี้ฉันไม่หายงอนหรอกนะจนกว่าฉันจะได้เห็นของขวัญจากเขาจนถึงจะหาย
“เขางอนเฮียแล้วนะ”
“อย่าพึ่งงอนเฮียดิ อะนี่ คือของขวัญจากเฮีย”
พูดจบเฮียรบก็ยื่นอะไรบางอย่างมาใส่มือฉัน ฉันถึงกับต้องขมวดคิ้วเป็ปมทันทีด้วยความสงสัยเพราะสิ่งที่เขายัดใส่มือฉันมาเมื่อกี้มันเหมือนกับบัตรเครดิตที่ป๊ากายให้ฉันมาเมื่อกี้ แต่มันไม่ใช่บัตรเครดิตมันเหมือนคีย์การ์ดมากกว่า เอ๊ะ อย่าบอกนะว่า..
“บ้านะเฮีย เอาจริงดิ”
ฉันหันไปเอ่ยถามเฮียรบด้วยความใทันทีหลังจากที่นึกอะไรขึ้นมาได้
“อือ เฮียโอนชื่อให้เป็ชื่อเราแล้ว”
คำว่าโอนชื่อที่ว่านั่นทำให้ฉันมั่นใจทันทีว่าสิ่งที่พี่ชายฉันให้เป็ของขวัญวันเกิดในครั้งนี้มันคือห้องชุดสุดหรูของเฮียรบนั่นเอง มันบ้าไปแล้ว อะไรจะใจป๋าขนาดนั้น
“ทีนี้หายงอนเฮียได้แล้วใช่ไหม”
“ใครงอนเฮีย ไม่มี๊”
พูดจบฉันก็เคลื่อนตัวไปกอดแขนเฮียรบทันทีด้วยท่าทางอ้อนๆ ซึ่งแน่นอนต่อให้ใครใจแข็งแค่ไหน เจอลูกอ้อนของฉันเข้าไปก็ใจอ่อนทุกราย รวมไปถึงพี่ชายของฉันคนนี้ด้วย
“พี่ชายใครเนี่ยน่ารักที่สุดเลย”
“เออ รู้แล้ว ดูแลห้องดีๆ ด้วยล่ะ อย่าริพาผู้ชายไปนอนด้วยเข้าใจไหม”
“รับทราบครับ”
[โปรดติดตามตอนต่อไป]
ครอบครัวนี้มันน่ารักโว๊ยยย
ป๊ากายเห่อเมียยังไง ก็ยังเห่อเมียอย่างนั้น
เฮียรบป๋ามาก ยกห้องให้น้องเลยเหรอ อยากมีพี่ชายแบบเฮียจัง
แต่เฮียโซ่นี่แหกหน้ายัยน้องพิมเก่งมาก เฮียแกคงไม่ชอบชะนีคนนี้จริงๆนั่นแหละ
ยัยน้องพิมเลิกได้ก็เลิกเด้อ ระวังหมอจะไม่รับเย็บหน้าให้หล่อนแล้วนะ
หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจงับ