หลิ่วจิ้งเห็นว่าตอนที่หั่วอี้มองนางดวงตาของเขากำลังสืบเสาะและใคร่ครวญ นางอดยิ้มออกมาไม่ได้แต่รอยยิ้มของนางกลับไม่ปรากฏอยู่ในแววตา
“เคยแอบยินดีว่าข้าได้พบกับที่ที่สามารถหลบลมหลบฝนนึกว่าไม่ต้องไป่ชิงแก่งแย่ง ขอเพียงมีชีวิตอยู่อย่างสงบเป็พอแล้ว กลับไม่คิดว่าเื่จากทุกสารทิศล้วนไม่เคยสงบเลย”
หลิ่วจิ้งเยาะหยันตนเอง หัวเราะออกมาอีกครา
เพราะไม่เคยคำนึงถึงเื่นี้มาก่อน หั่วอี้ที่ไม่เข้าใจความคิดอันซับซ้อนเช่นนี้จึงโต้แย้งขึ้น
“องค์หญิง ท่านคิดมากเกินไปแล้วจวนแม่ทัพของข้าจะไม่มีที่รับท่านได้อย่างไร ท่านดูสิแม้ว่าจ้าวไฉ่เอ๋อร์จะตั้งครรภ์แต่พอนางได้ยินว่าท่านถูกฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ไปอยู่ในห้องเก็บฟืน นางยังรีบไปขอร้องกับฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านั้แ่เช้าตรู่ท่านจึงถูกปล่อยตัวออกมารวดเร็วเพียงนี้
แม้เมื่อคืนข้าจะรับท่านกลับมาเพื่อให้ท่านได้นอนหลับอย่างสบายแต่หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ออกปาก ข้าก็ยังต้องส่งท่านกลับไปที่ห้องเก็บฟืนอีกครั้งเพราะไม่ว่าอย่างไรคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าบางคราแม้แต่บุตรชายเช่นข้าก็ยังมิอาจไม่ยอมให้นาง
ขอเพียงท่านคิดว่า จวนแม่ทัพแห่งนี้คือที่พำนักของท่านเป็พอ”
หลิ่วจิ้งสะท้อนใจ นับแต่รู้ว่านางจ้าวตั้งครรภ์จิตใจทั้งหมดของนางจ้าวก็ล้วนจดจ่ออยู่ที่เด็กในท้องของตนด้วยหวังให้คลอดออกมาเป็เด็กผู้ชาย จากนั้นมารดาย่อมต้องได้ดีเพราะบุตรหลิ่วจิ้งจึงไม่เชื่อว่านางจ้าวจะไปพูดจาช่วยนางทั้งที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใด
“โอ๊ะ ท่านแม่ทัพ ได้ยินท่านว่ามาดังนี้ข้าก็ต้องเตรียมของกำนัลตอบแทนให้ฮูหยินใหญ่เสียแล้วท่านแม่ทัพมีเื่ใดจะสั่งความอีกหรือไม่เ้าคะ หากไม่มีแล้ว ข้าก็อยากจะไปขอบคุณบุญคุณที่ฮูหยินใหญ่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้าสักหน่อย”
“ก็ดี พวกเ้าไปมาหาสู่กันให้มากเข้า คนในจวนแม่ทัพยามนี้ก็ไม่ได้มากมายทุกคนล้วนน่าคบหาทั้งสิ้น”
หั่วอี้เห็นหลิ่วจิ้งไม่ได้มีท่าทีพอใจนัก พลันไม่เคยรู้สึกว่าตนเองควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่เช่นนี้มาก่อนนึกว่าเลื่อนวันแต่งงานออกไป แม้จะบอกว่าไม่ได้จะไม่แต่งงานแต่องค์หญิงก็ควรจะมีท่าทีใดออกมาบ้าง ท่าทีไม่ยินดียินร้ายเช่นนี้ หรือที่ตนให้ความสำคัญกับนางมากกว่าผู้ใดดังที่เป็อยู่องค์หญิงจะไม่ยอมรับน้ำใจ?
แต่หลิ่วจิ้งกลับไม่ร้อนรนไม่โวยวายคล้ายว่าจะแต่งหรือไม่แต่งก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง
เดิมทีหั่วอี้กลับมาอย่างดีอกดีใจนัก แต่ยามนี้ความรู้สึกนั้นพลันมลายสิ้น
“คืนวานองค์หญิงต้องมิได้นอนหลับดีๆ เป็แน่ ท่านพักผ่อนต่อเถิดไฉ่เอ๋อร์นางนั้น ท่านก็ยังไม่ต้องรีบไปหาหรอกข้าจะไปจัดการงานราชการสักหน่อยก่อน”
หั่วอี้พูดจบ แต่ก็มิได้ออกไปทันทียังคงมองหลิ่วจิ้งด้วยแววตาไม่อยากไป
“ส่งท่านแม่ทัพเ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งเอ่ยพลางหันไปย่อตัวคารวะเขาหนหนึ่ง
หั่วอี้ขมวดคิ้วสีหน้าหนักอึ้งยิ่งรู้สึกขึ้นทุกทีว่าตนเองเอาหน้าร้อนไปนาบกับเก้าอี้เย็น [1] หัวใจของเขาเหมือนอากาศในวันนี้ที่เอาแต่อึมครึมอยู่เนิ่นนาน ทว่าไม่มีฝนตกลงมาเสียที
ชายหนุ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อด้วยความรู้สึกเสียหน้า
ดีที่ตอนนั้นเองพ่อบ้านหวังก็ฝ่าฝนเดินมา เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าท่านแม่ทัพจะอยู่ในหอหั่วเยี่ยนเพราะปกติแล้วเวลานี้หากท่านแม่ทัพไม่อยู่ที่ห้องหนังสือก็จะไปวังเพื่อเข้าเฝ้าใน่เช้าแล้ว
เมื่อเขาเห็นอวี้จิ่นยืนอยู่หน้าห้องนอนที่จัดเอาไว้ให้องค์หญิงคนยังไม่ทันมาถึง แต่เสียงก็กลับมาก่อน “อวี้จิ่น ฮูหยินอยู่หรือไม่? สองวันมานี้ฮูหยินมิได้ตรวจสมุดบัญชีเลย”
พ่อบ้านหวังพูดพลางชูสมุดบัญชีที่เขาพกมาด้วยขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง ม่านที่ประตูก็ถูกคนเปิดออกมาจากข้างในอย่างแรง
“แม้ข้าจะสั่งให้ฮูหยินเป็คนดูแลห้องบัญชี แต่เ้าไม่รู้จักดูเวล่ำเวลาบ้างหรือ? จะให้ฮูหยินพักผ่อนบ้างหรือไม่ ก่อนนี้ตอนฮูหยินยังไม่มา ก็มิใช่ว่าเ้าดูแลดิบดีอยู่แล้วยามนี้มีเื่ใดกลับผลักมาที่ตัวฮูหยินหมดหรือ? ไม่เห็นว่าคืนวานฮูหยินไม่ได้พักผ่อนดีๆ หรือไร?”
หั่วอี้เดินหน้าถมึงทึงออกมาจากในห้องพลางตำหนิพ่อบ้านหวัง
พ่อบ้านหวังถึงกับใ ยืนชะงักเป็ไก่ไม้สลักอยู่หน้าประตูไม่กล้าขยับเขยื้อน สองวันมานี้เขาไปตรวจบัญชีที่เรือนพักของสกุลหั่วที่ชานเมืองเพิ่งได้กลับมาถึงบ้าน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าในจวนแม่ทัพเกิดเื่ใดขึ้นบ้าง พ่อบ้านหวังจึงยิ่งไม่รู้ว่าวานนี้ฮูหยินเพิ่งถูกฮูหยินผู้เฒ่าส่งตัวไปขังในห้องเก็บฟืน
หลังเขากลับไปที่เรือนพักก็ไปดูที่ห้องบัญชีว่าสองวันมานี้ฮูหยินคิดบัญชีเสร็จหรือไม่เพราะอีกครึ่งเดือนก็จะเป็วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเขาจำเป็ต้องสรุปบัญชีกับฮูหยินสักหน่อยว่าในวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าควรมีค่าใช้จ่ายใดบ้างแต่ไม่นึกว่ายามนี้กลับต้องมาชนกับปลายทวนเข้าเสียแล้ว
หั่วอี้ทิ้งคำพูดเอาไว้อีกสองสามประโยค จากนั้นก็ออกจากหอหั่วเยี่ยนไปโดยไม่แม้จะหันหน้ากลับมา
เสียงฝีเท้าของหั่วอี้ค่อยๆ ไกลออกไปพ่อบ้านหวังจึงยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า เขาเหลียวซ้ายแลขวาไม่รู้ว่าเวลานี้ควรไปตรวจบัญชีกับฮูหยินดีหรือไม่หรือว่าควรกลับไปก่อน
เขาไม่ได้โง่เื่ที่ทำให้ท่านแม่ทัพพูดจาแข็งกร้าวอย่างไม่พอใจเช่นนี้ต้องเกี่ยวกับฮูหยินเป็แน่แอบสำนึกเสียใจว่าเหตุใดตอนที่ตนเพิ่งกลับมาที่เรือนหน้าเมื่อครู่ไม่สอบถามเสียก่อนว่าสองวันนี้ในจวนเกิดเื่ใดขึ้นบ้างจึงค่อยมาที่นี่
“พ่อบ้านหวังหรือ เชิญเข้ามาเถิด”หลิ่วจิ้งร้องออกไปบอกพ่อบ้านหวังว่าเมื่อมีเื่ก็ให้เข้ามาคุยกันในเรือน
“ขอรับๆ” พ่อบ้านหวังรับคำพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่ออีกครา แล้วเอื้อมมือไปเปิดม่านประตูเข้าไปในห้อง
“คารวะฮูหยินขอรับ สมุดบัญชีของสองวันนี้ขอฮูหยินหาเวลาว่างตรวจดูสักหน่อยขอรับ”พ่อบ้านหวังวางสมุดบัญชีไว้บนโต๊ะน้ำชาอย่างเบามือ ไม่กล้าพูดเื่ใดอีกแม้แต่เื่ที่เขาจะหารือกับฮูหยินเื่วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิมก็ยังพักเอาไว้ก่อน
“อืม ท่านไปพักก่อนเถิด ข้าค่อยดูภายหลัง”เวลานี้หลิ่วจิ้งไม่มีแก่ใจจะไปจัดการเื่เล็กน้อยเช่นนี้
พ่อบ้านหวังเห็นฮูหยินพูดดังนี้ก็รู้ว่าฮูหยินกำลังจะไล่คนแล้วเขาจึงรีบคำนับอย่างรู้กาลเทศะ เอ่ยคำลาและออกไป
อวี้จิ่นรอจนพ่อบ้านหวังกลับไปไกลแล้วจึงค่อยเข้าไปในห้องเวลานี้ใจนางแตกสลาย แม้เมื่อครู่นางจะยืนอยู่หน้าประตูมิได้เข้าไปข้างในแต่นางก็ได้ยินคำที่หลิ่วจิ้งและท่านแม่ทัพสนทนากันอย่างชัดเจนนางไม่เข้าใจว่าหลิ่วจิ้งเป็อะไรไป เหตุใดจู่ๆ จึงหักหาญน้ำใจท่านแม่ทัพ
อวี้จิ่นเข้าไปในห้อง เห็นหลิ่วจิ้งกำลังเดินไปมาช้าๆ แม้แต่ตนเข้ามาก็ไม่สังเกตเห็นไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
อวี้จิ่นเดินเข้าไปข้างกายหลิ่วจิ้งด้วยใบหน้าอมทุกข์ “องค์หญิงเหตุใดเมื่อครู่ไม่รั้งท่านแม่ทัพเอาไว้เล่าเ้าคะท่านไม่ทราบว่าตอนท่านแม่ทัพออกไป สีหน้าเขาดำทะมึนจนหัวใจบ่าวแทบจะกระโจนหลุดออกมาอยู่แล้ว”
หลิ่วจิ้งได้ยินคำก็หยุดเดิน ถามกลับไปว่า“เหตุใดต้องรั้งตัวท่านแม่ทัพเอาไว้ด้วย”
“องค์หญิง หรือท่านไม่คิดอยากได้หัวใจของท่านแม่ทัพและอยู่ในจวนแม่ทัพอย่างมั่นคงเ้าคะ ไยท่านมาทำให้ท่านแม่ทัพโมโหจนจากไปเล่า?”
“ท่านแม่ทัพโมโหหนักหรือ?” หลิ่วจิ้งเผยรอยยิ้มที่ดูคล้ายว่าจนใจและคาดไม่ถึง
รอยยิ้มนี้ยิ่งทำให้อวี้จิ่นไม่เข้าใจ เหตุใดจึงดูราวกับหลิ่วจิ้งไม่มีท่าทีร้อนรนเลย
“เ้าออกไปก่อนเถิด ให้ข้าคิดทบทวนดีๆ สักหน่อย”หลิ่วจิ้งพูดพลางนั่งลงข้างโต๊ะ สองมือเท้าคางใคร่ครวญ
อวี้จิ่นรับคำ ในเมื่อตัดสินใจเลือกจะยืนรบในแนวเดียวกับหลิ่วจิ้งแล้วเช่นนั้นก็ต้องเชื่อนางให้หมดใจ แม้ในใจยามนี้ยังคงไม่สงบอย่างยิ่งก็ตามที
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] เอาหน้าร้อนไปนาบเก้าอี้เย็น มีความหมายเหมือนกับเอาหน้าร้อนไปนาบก้นเย็น หมายถึงอีกฝ่ายยินยอม แต่อีกฝ่ายกลับไม่ไยดี ไม่สนใจทำให้รู้สึกหน้าชา เสียหน้า
