หนึ่งการรอคอยนี้ กินเวลาถึงหนึ่งชั่วยามครึ่งเต็มๆ
…์ พี่ใหญ่ท่านนี้ แท้จริงแล้วมาทำสิ่งใดกัน?
โม่จ้านบีบนวดขาที่ปวดเมื่อยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน การเอาตัวแนบกับเสาเพื่อหลบคนนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าการยืนในท่าทหารตั้งมากโข ในที่สุดชายผู้นั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ทว่าอาจเป็เพราะคุกเข่านานจนเกินไป ร่างทั้งร่างของเขาจึงโงนเงนอยู่หลายครั้งกว่าจะฝืนทรงตัวได้มั่นคง จากนั้นเดินออกไปข้างนอกด้วยท่าทีโซเซ
หลังอีกฝ่ายปิดประตูเหล็กเข้าหากัน โม่จ้านกลั้นหายใจตั้งสมาธิ ยังคงซ่อนตัวอยู่อีกพักหนึ่งจึงกล้าออกมาจากด้านหลังเสา
เดิมทียังคิดจะใช้ที่นี่เป็สถานที่พำนักชั่วคราวรอให้ตนเองทำความคุ้นชินเสียก่อน เห็นทีคงจะมิได้การเสียแล้ว
โม่จ้านถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะออกไปสำรวจดูด้านนอกเสียก่อน เขาค่อยๆ แง้มบานประตูมองลอดผ่านช่อง เมื่อมั่นใจแล้วว่าหลังประตูมิมีสิ่งใดผิดปกติ โม่จ้านจึงออกแรงผลักประตูใหญ่ให้เปิดออก
แม้ตนจะบอกว่าภายในวิหารใหญ่เงียบเหงาวังเวงมากพอดู ทว่าคล้ายกับข้างนอกก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใดนัก เมื่อทอดมองออกไป ก็ปรากฏทั้งฝุ่นควันและวัชพืช กำแพงล้อมที่ล้มลงกับราวจับที่ขึ้นสนิมเป็ด่างดวง แสดงให้เห็นว่าที่นี่เคยมีคนอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย ไม่ไกลนักมีป่ารกทึบต้นไม้สูงใหญ่ คอยบดบังแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ไว้ กอปรกับวัชพืชนานาชนิดที่เลื้อยสูงอยู่นอกกำแพงทางด้านหลังตน เมื่อเทียบกับวิหาร ที่นี่กลับคล้ายปราสาทของผีดูดเืตามตำนานเล่าขานเสียยิ่งกว่า ทำเอาโม่จ้านเห็นแล้วถึงกับขนลุกขนชัน
โดยสรุป…ตามหาแหล่งน้ำให้พบเป็อันดับแรก โม่จ้านลูบขนที่ลุกชันของตนก่อนเดินเข้าไปในป่าลึก
“อืม ยิ่งพืชพันธ์ุเขียวชอุ่มก็จะยิ่งเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ส่วนที่อยู่ใกล้แม่น้ำ แหล่งอาหารก็จะยิ่งมีมาก…”
โม่จ้านพึมพำความรู้ทั่วไปสำหรับเอาตัวรอดในป่ารกร้างพลางภาวนาขออย่าให้พบกับสัตว์ใหญ่อะไรเข้า ตนจะได้มิต้องหนีออกจากคุกมาได้ทว่ากลับต้องตายในปากสัตว์ร้าย ยังดีที่โชคชะตามิได้ขุดหลุมฝังโม่จ้านอีกครั้งแต่อย่างใด หลังจากเดินวนป่าไม่กี่นาที โม่จ้านก็พบกับงูสองตัวตรงต้นไม้เตี้ย
ชาติก่อนตอนทำงานภาคสนาม ยามใดโม่จ้านเห็นงูก็หนีเตลิดมิต่างกับเห็นลูกะเิ คิดอยากจะหยิบเครื่องพ่นไฟมาเตรียมรับมือ ทว่าในยามนี้ โม่จ้านผู้มองเห็นงูกลับรู้สึกดีใจราวกับได้พบหน้ามารดาอย่างไรอย่างนั้น
หากมีงูหมายความว่าอย่างไรไง? ก็หมายความว่าใกล้น้ำแล้วอย่างไรเล่า! มีน้ำแล้วอย่างไร? ก็หมายความว่ามีของกินน่ะสิ!
โม่จ้านไล่ตามงูที่เลื้อยไปตามต้นไม้เตี้ยอย่างระมัดระวัง เพียงเดินไปได้มินานก็ััได้ถึงการเจริญเติบโตของพืชพรรณที่เจริญงอกงามยิ่งกว่าเก่า เมื่อลองตั้งใจดมยังได้กลิ่นอากาศชื้นของตะไคร่น้ำ เมื่อเดินตรงไปตามทางที่กลิ่นความชื้นโชยมา โม่จ้านก็พบกับลำธารเล็กสายหนึ่งที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
ลำธารใสไหลผ่าน โม่จ้านค้อมกายลงใช้มือทั้งสองข้างกอบน้ำขึ้นมาดมก่อนนำไปส่องดูใต้แสงตะวัน น้ำใส มิมีรสชาติแปลกประหลาด เพียงแต่ยังต้องหาภาชนะมาต้มจึงจะนำเข้าปากได้ เมื่อพบแหล่งน้ำ เท่ากับเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้บรรลุแล้ว
โม่จ้านมองดวงตะวันที่ลาลับบนเส้นขอบฟ้าแล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญาออกมา เื่เติมท้องให้อิ่มยังเป็เื่รอง ยามนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือตนจะนอนที่ใด
หากจะให้กางผ้าใบนอน ในมือกลับมิมีกระทั่งอุปกรณ์ใช้ตัดฟืน เวลาจะต้องมิพอเป็แน่
หากจะให้นอนบนต้นไม้ ก็คล้ายกับที่นี่จะมีงูอยู่ไม่น้อย ตนมิอาจรับรองความปลอดภัยได้เลยจริงๆ
ส่วนในถ้ำ…เดินเตร่มานานถึงเพียงนี้ก็ยังมิเห็นแม้แต่เนินดิน
ด้วยเหตุนี้ โม่จ้านจึงทำได้เพียงเดินกลับไปทางเดิมอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม วิหารที่ถูกทิ้งร้างกลายเป็สถานที่ที่ดีที่สุดในยามนี้ ต่อให้เพิ่งจะมีคนมา ‘รบกวน’ ทว่าอีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนที่สันตะสำนักส่งมาตรวจสอบ อีกทั้งคงมิกลับมาภายในระยะเวลาอันสั้นเป็ครั้งที่สอง
“…หืม? นี่คือสิ่งใด”
เมื่อมั่นใจว่าด้านในวิหารไม่มีคน โม่จ้านจึงไปตรวจสอบจุดที่ชายผู้นั้นคุกเข่าโดยเฉพาะ พบว่าบนพื้นมีผลไม้ลูกกลมๆ ไม่กี่ลูกและของกินอย่างขนมสีขาวชิ้นหนึ่ง ตนถึงกับรู้สึกลำบากใจทันใด
คล้ายกับอีกฝ่ายจะมากราบไหว้เ้าของวิหาร จากนั้นจึงทิ้งของเซ่นไหว้เอาไว้จำนวนหนึ่ง ท้องของโม่จ้านว่างเปล่ามิต่างกับวิหารแห่งนี้มาั้แ่ต้น ลำคอก็แห้งผากจนแทบจะมีควันระเหยออกมา โม่จ้านคิดไปคิดมา สุดท้ายตัดสินใจยื่นมือชั่วร้ายออกไปทางของกิน
เ้าของวิหาร ขอท่านได้โปรดอภัยให้ข้าน้อย เพราะถึงอย่างไรท่านก็กินมิได้แล้ว มิสู้ช่วยชีวิตมารตัวน้อยๆ ตนหนึ่งที่ตกทุกข์ได้ยากเถิด…
หลังจากโม่จ้านกัดไปหนึ่งคำ เขาถึงกับขมวดคิ้วยกยิ้มขมขื่นทันใด— เนื้อผลไม้มีกลิ่นหอมมาก ทว่าน้ำกลับน้อยเกินไปจนข้นมิต่างกับแป้งดิบที่เอามารวมกันเป็ก้อน โม่จ้านฝืนเคี้ยว รู้สึกคล้ายกับตนกำลังยัดไข่กับหมั่นโถวคำใหญ่จนเต็มปาก ดูดซึมน้ำลายที่มีอยู่น้อยนิดจนแห้งสนิท เล่นเอาโม่จ้านแทบกลืนมิลง
โม่จ้านที่สำลักพอดูกลืนหนึ่งคำลงไปอย่างยากลำบาก จากนั้นเดินกลับไปยังห้องเล็กที่ตน ‘เกิดมา’ ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เมื่อเห็นสภาพโลงศพที่ถูกตนถีบจนเปลี่ยนสภาพ โม่จ้านเข้าไปข้างในอย่างทำใจจำยอม—อย่างน้อยท่านแบร์ [1] ก็ยังมีมีดพับสวิส จะฟันสิ่งใดตัดสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น ทว่าเหตุใดเมื่อยามถึงคราวของตนกลับดูน่าอนาถถึงเพียงนี้? ในพระวิหารของผู้อื่นยังมีกระบี่ไม่กี่เล่มแขวนไว้ตามกำแพงเพื่อแสดงความน่าเกรงขาม แล้วเหตุใดพระวิหารของตนจึงว่างเปล่าราวกับถูกปล้นมาก่อนเช่นนี้ กระทั่งหม้อใส่น้ำกินสักคำก็ยังมิมี?!
โม่จ้านที่คิดหาวิธีมิออกค้นพระวิหารใหญ่จนทั่ว มิใช่เื่ง่ายกว่าจะหาโล่กลมสูงประมาณครึ่งตัวคนที่อยู่ตรงมุมหนึ่งเจอ กลับพบว่าตรงกลางโล่มีรูขนาดใหญ่ มิอาจใช้การได้แม้แต่น้อย ท้ายที่สุดโม่จ้านที่คอแห้งจนแทบพ่นควันก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เด็ดใบไม้ขนาดใหญ่กว่าปกติมาหนึ่งใบก่อนนำไปล้างที่ริมลำธารจนสะอาด โม่จ้านทุ่มสุดแรงเพื่อปั่นฟืนจุดไฟ ตามด้วยเทน้ำใส่ในใบไม้ที่ทำเป็กรวย จากนั้นจึงโยนหินสองก้อนที่ล้างจนสะอาดและผ่านการเผาเพิ่มความร้อนเข้าไป
เมื่อก้อนหินที่ถูกเผาร้อนััโดนน้ำก็มีไอน้ำระเหยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดโม่จ้านก็ได้ปลอบประโลมลำคอที่แห้งผากจนแทบจะพูดมิได้เสียที หลังดื่มน้ำจนอิ่ม โม่จ้านกลืนผลไม้ลูกเล็กไม่กี่ลูกนั้นลงท้อง นั่งลงบนฝาโลงแล้วเริ่มครุ่นคิด ร่างกายนี้ถูกฝังไว้ในห้องด้านในพระวิหารแห่งนี้ คาดว่าคงจะเป็คนที่มีหน้ามีตา ต่อให้ภายนอกจะถูกปล้นจนว่างเปล่า กระนั้นอย่างน้อยก็น่าจะมีสิ่งของที่ฝังพร้อมคนตายกระมัง?
โม่จ้านเกาหัวอย่างค่อนข้างเขินอาย เริ่มรู้สึกใจฝ่อเพราะแอบกินเครื่องเซ่นไหว้จนตอนนี้ถึงขั้นเกิดความคิดจะขุดหลุมศพ คล้ายกับความใฝ่ต่ำจะเป็เื่ที่เกิดจากความคิดชั่ววูบ
พูดเดี๋ยวนั้นทำเดี๋ยวนั้น โม่จ้านดึงราวจับขึ้นสนิมที่พอใช้ได้ท่อนหนึ่งมาใช้เป็ที่ขุด ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยามจึงสามารถขุดรอบโลงศพจนทั่ว หลังขุดลึกลงไปสามฉื่อ [2] กลับมิพบสิ่งแปลกใหม่อันใดสักอย่าง
โม่จ้านที่เสียเวลาไปครึ่งค่อนวันมิยินยอม เขาขุดโลงศพทั้งโลงออกแล้วตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง นึกมิถึงว่าจะพบว่าตรงท้ายโลงศพจะมีชั้นเล็กๆ ด้วยเหตุนี้ ตัวผู้ตายจึงเกิดเป็ความรู้สึกตื่นเต้น เขาคว่ำชั้นเล็กแล้วเทลงบนพื้น หนึ่งเสียง ‘แกร๊ง’ เสียงโลหะกระทบหินถึงกับสั่นะเืจิติญญาของโม่จ้าน
...กริชมิมีด้ามหนึ่งเล่มกับหนึ่งม้วนหนังแกะ
ใครใช้ให้ตนปากเสีย มีดที่เ้าอยากได้มาแล้ว โม่จ้านถูกปากเสียๆ ของตนทำให้ทั้งโมโหทั้งอยากหัวเราะ
ยังมิรู้ถึงคุณภาพของกริช มิเพียงแต่มิมีที่ลับมีด ทั้งยังหนาเป็พิเศษ เ้าของเล่นชิ้นนี้ อย่าว่าแต่ตัดต้นไม้ กระทั่งหั่นผักก็ยังทำมิได้ โม่จ้านทำได้เพียงวางกริชลงแล้วหยิบหนังแกะขึ้นมาเพ่งมอง ขอบม้วนหนังแกะเปื่อยยุ่ย ทว่ามิส่งผลต่อการอ่านแต่อย่างใด
โม่จ้านคลี่ม้วนหนังแกะออก พลันพบกับแผนที่แผ่นหนึ่ง
ตัวอักษรบนแผนที่บิดๆ เบี้ยวๆ มินับว่าละเอียดนัก ทว่าก็ชี้บอกทิศทาง เมือง ป่าและสายน้ำอย่างชัดเจน โม่จ้านเงียบอ่านอยู่หลายรอบทั้งจดจำเครื่องหมายบนแผนที่แต่ละจุดไว้ในใจ ถึงแม้จะมิรู้ว่าป่าที่ตนอยู่อยู่ตำแหน่งใดอย่างแน่ชัด ทว่าภายหน้าจะต้องได้ใช้ประโยชน์อย่างแน่นอน
หลังม้วนเก็บม้วนหนังแกะ โม่จ้านนิ่งเงียบเป็เวลานาน ได้รับเบาะแสเกี่ยวกับสถานที่ชุมนุมของมนุษย์กระนั้นกลับมิทำให้อารมณ์ของตนดีขึ้น กลับซ้ำเติมความรู้สึกไม่เข้าพวกที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของตนมาโดยตลอด--- ตนมิคุ้นเคยกับผู้คนทั้งสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะวัฒนธรรมหรือภาษาล้วนแต่มืดแปดด้าน หากออกไปพบเจอผู้คนอย่างบุ่มบ่าม เกรงว่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยเอาได้
…เดี๋ยวก่อน ภาษา?
โม่จ้านสะดุ้งทันใด ในที่สุดเขาก็พบต้นตอของความรู้สึกไม่เข้าพวก— ทั้งๆ ที่เป็ิญญาจากต่างโลก เช่นนั้นเหตุใดจึงได้เข้าใจภาษาของที่นี่กัน?
เชิงอรรถ
[1] หมายถึง เอ็ดเวิร์ด ไมเคิล กริล หรือ แบร์ กริล เป็นักผจญภัยชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง เขาเป็ที่รู้จักจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ Man vs. Wild เขาเป็หนึ่งในคนที่สามารถปีนถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ในอายุเพียง 23 ปี ทำให้เขาเป็ชาวอังกฤษที่มีอายุน้อยที่สุดที่สามารถพิชิตได้
[2] ฉื่อ 尺 คือหน่วยความยาว เท่ากับสิบนิ้ว