สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีโอกาสดึงหัวใจขนนกออกมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หากหยุดตอนนี้ จะไม่มีโอกาสอีก เนื่องจากหัวใจขนนกจะถูกทำลายลง
แต่ถึงยามนี้เขาไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...
หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ประกายแสงซับซ้อนส่องประกายในดวงตา
เขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่มู่ผู้โง่เขลาของเขาผู้ที่ไม่เคยออกไปไหนเลยั้แ่ยังเด็ก จะมีความสัมพันธ์กับคนโหดร้ายเ็าบนแผ่นน้ำแข็งนี้ได้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ไม่ตื้นเขิน
นอกจากนี้คนคนนี้...เป็อาจารย์ของเขา!
ส่วนที่มาของเื่นี้นั้น เขายังไม่ทราบ
แน่นอนว่าไม่จำเป็ต้องคิดก็สามารถรู้ได้ว่าต้นตอนี้เกิดจากมารดาผู้หลับใหลของมู่มู่
ใจของหลงเซี่ยวอวี่เศร้าโศก ถ้าเป็ไปได้ เขาอยากจะอยู่เคียงข้างมู่มู่ ปกป้องนางด้วยตนเอง แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในยามนี้แล้ว มันเป็ไปไม่ได้เลย!
สิ่งนี้ทำให้หลงเซี่ยวอวี่ผู้ซึ่งสงบและเก็บตัวมาโดยตลอด รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกเป็ครั้งแรกในชีวิต
หลงเซี่ยวอวี่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยในเวลาต่อมา มองภาพเสมือนอันสง่างามบนแผ่นน้ำแข็งด้วยสายตาที่เ็า ราวกับเขากำลังพูดอย่างเงียบๆ ด้วยสายตา
อย่างไรก็ตาม ภาพเสมือนนั้นไม่สนใจดวงตาเ็าของหลงเซี่ยวอวี่ แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจสิ่งที่หลงเซี่ยวอวี่พูดด้วยสายตา
เขาสะบัดแขนเสื้อ พูดอย่างเ็า “ความทุกข์นี้คือสิ่งใด? หากเ้า้าปกป้องสาวน้อยคนนั้น ยามนี้เ้าต้องปล่อยให้นางแบกรับความเ็ปไว้เพียงลำพัง ไม่เช่นนั้น...”
“ไม่มีเื่ใดเกิดขึ้นกับนาง!” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงเ็า น้ำเสียงของเขาทั้งเยือกเย็นและเด็ดขาด
หลงเซี่ยวอวี่รับรู้ถึงความเ็ปของมู่จื่อหลิง แต่เขาไม่รู้ว่านางกำลังตกอยู่ในอันตรายเช่นใด เช่นนี้จะให้เขาสงบลงได้อย่างไร?
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนภาพเสมือนจริงบนแผ่นน้ำแข็งจะรู้สึกไม่พอใจเพราะถูกขัดจังหวะ
ดวงตาสีเข้มลึกล้ำของเขา พุ่งตรงไปยังหลงเซี่ยวอวี่ทันทีราวกับสายฟ้าเย็น
ดวงตามืดมนเยือกเย็นบ่งบอกถึงการบีบบังคับจากชายผู้แข็งแกร่ง หากเป็คนธรรมดา คงเกิดความหวาดกลัวจนจิตใจแหลกสลาย
แต่ในขณะนี้ หลงเซี่ยวอวี่ไม่แสดงอาการอ่อนแอ ดวงตาเ็าลึกล้ำสบเข้ากับดวงตาเฉียบคมดุร้ายเช่นกัน
อาจารย์กับลูกศิษย์ล้วนโเี้ไม่ต่างกัน
คนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่วงท่าเย่อหยิ่ง ราวกับพระพุทธเ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ยิ่งใหญ่ทรงพลังเหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง
อีกคนหนึ่งราวผู้ปกครองฟ้าดิน นั่งขัดสมาธิ กลิ่นอายเยือกเย็นที่มีมาแต่กำเนิดปกคลุมทั่วร่าง เปล่งประกายความเฉียบคมอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำให้คนไม่กล้ามองตรงไปที่เขา
เป็การปะทะของผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดกับจุดสุดยอด!
ในท้ายที่สุด ผู้ที่เป็ดั่งภาพเสมือนก็ลอบถอนหายใจ ถอนการจ้องมองที่เคร่งขรึมออก
ในขณะนี้ ภาพเสมือนดูเหมือนจะสร้างโลกของตัวเองบนแผ่นน้ำแข็ง
เขาเดินช้าๆ สองสามก้าวเข้าไปด้านใน หันหลังให้หลงเซี่ยวอวี่ เงยหน้าขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถมองเห็นโลกอันกว้างใหญ่ด้านนอกได้ ใช้เวลานานพอสมควรก่อนที่เขาจะส่งเสียง
เสียงของเขาทั้งทุ้มและเยือกเย็น ราวกับหุบเขาแสนลึกลับที่แยกตัวอยู่ห่างไกล “เ้าควรรู้ว่าหงส์ที่ซ่อนอยู่ใต้ปีกเสมอจะไม่เป็หงส์อีกต่อไป”
หนทางที่ยากลำบากข้างหน้ายังอีกยาวไกล สาวน้อยแห่งแคว้นเจียหลัวจะทนได้อย่างไร...ภาพเสมือนจริงบนแผ่นน้ำแข็งลอบถอนหายใจ
ก่อนที่หลงเซี่ยวอวี่จะทันได้ตอบสนอง ภาพเสมือนจริงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในชั่วพริบตา แผ่นน้ำแข็งก็กลับมาราบเรียบตามปกติ ราวกับภาพเสมือนนั้นไม่เคยปรากฏขึ้น...
เมื่อมองแผ่นน้ำแข็งราบเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่ก็ขุ่นมัวอยู่พักหนึ่ง
หงส์ที่ซ่อนอยู่ใต้ปีกจะไม่ใช่หงส์อีกต่อไป...เขาจะไม่เข้าใจความจริงนี้ได้อย่างไร?
แต่ปีกของมู่มู่ของเขายังไม่งอกเสียด้วยซ้ำ นางยังอ่อนแอนัก นางจะแบกรับขั้นตอนสำคัญเหล่านี้เพียงลำพังได้อย่างไร?
หลงเซี่ยวอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย ลูบรอยเืบนหลังมือด้วยปลายนิ้ว ขมวดคิ้วด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด...
เขาไม่อาจกลับไปได้ในยามนี้ ทำได้เพียงกำจัดเหล่าิญญาร้ายในลูกแก้วสีดำให้เร็วที่สุด นำหัวใจขนนกออกมาให้สำเร็จ แล้วรีบกลับไปอยู่ข้างนางให้เร็วที่สุด
จนกระทั่งแสงสีม่วงริบหรี่บนหลังมือจางลง จนกลับมาเป็ปกติ ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ก็กลับคืนสู่ความเยือกเย็นเฉยเมยเช่นเดิม
ในชั่วพริบตา แขนเรียวของเขาก็วาดโค้งเป็วงกลม เขายกมือขึ้น ปลายนิ้วที่มีข้อนิ้วแหลมค่อยๆ ควบแน่นเป็ลำแสงสีขาวพราว
นี่คือมือที่ใช้ในการวางกลยุทธ์คู่หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะมีพลังอำนาจในการทำลายล้างไม่รู้จบ
ทันใดนั้น ลมจากฝ่ามือดุร้ายที่ส่องแสงก็พุ่งตรงไปยังลูกแก้วสีดำ...
ในชั่วพริบตา ลูกแก้วสีดำก็เต็มไปด้วยสายลมพลุ่งพล่าน ทรงพลังมีพลานุภาพ เมฆดำทะมึนม้วนตัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจคาดเดา
หากมองใกล้ๆ ดูเหมือนจะมีจุดสีม่วงจางๆ อยู่ในลูกแก้วโปร่งแสง
ดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่ปิดแน่น เขาเข้าสู่สภาวะแห่งความว่างเปล่า [1] เหงื่อบางๆ ปรากฏบนใบหน้าเ็าเคร่งขรึมของเขา กระแสแสงที่สะอาดจากฝ่ามือพุ่งเข้าสู่ลูกแก้วโปร่งแสงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่มีความคิดถึง ความกังวล ปวดใจและลังเลใจ...แต่เขากลับทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ มองนางแบกรับความเ็ปไว้เพียงลำพัง
ยามนี้การกลับไปหานางให้เร็วที่สุด เป็เพียงความเชื่อเดียวในหัวใจของเขา
—
กุ่ยเม่ยเร่งฝีเท้าไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้นก่อนหลินเกาฮั่นตามคำสั่งของมู่จื่อหลิง
เวลานั้นเป็ยามค่ำคืนอันมืดมิด เงาจันทร์สว่างกระจ่างตา กุ่ยเม่ยในร่างกำยำ เสี่ยงถูกสังหารเพราะเขาลอบเข้าวังในฐานะนักฆ่าโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เป็โชคดีที่เมื่อองครักษ์เงาของฮ่องเต้เหวินอิ้นก้าวเข้าหาจำได้ว่าเขาคือกุ่ยเม่ย
ในฐานะเ้าแผ่นดินย่อมไม่ชอบพฤติกรรมบ้าบิ่นและน่ารังเกียจของกุ่ยเม่ย แต่เมื่อคิดว่ากุ่ยเม่ยเป็คนของหลงเซี่ยวอวี่ ย่อมเป็เื่ปกติที่จะไม่ใช้วิธีทั่วไป
ดังนั้น หลังจากที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงรู้เื่นี้ พระองค์จึงไม่ตำหนิ ยิ่งในครั้งนี้กุ่ยเม่ยมาเข้าเฝ้าพร้อมข้อมูลลับยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หลังจากนั้นกุ่ยเม่ยก็กราบทูลสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เหวินอิ้นว่าเกิดอะไรขึ้นในถ้ำศพ
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงทราบจากหลี่ซินหย่วนว่า โรคระบาดมีส่วนเกี่ยวข้องกับหนอนกู่ ในยามนั้นฮ่องเต้เหวินอิ้นเกือบเป็ลมเมื่อได้ทราบเื่
เพราะความจริงที่ว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มียารักษาโรคก็เพียงพอที่จะทำให้พระองค์กังวลแล้ว แต่ยามนี้โรคระบาดกลับกลายเป็โรคระบาดจากกู่พิษ เดิมฮ่องเต้เหวินอิ้นที่ทรงกังวลอยู่ก่อนแล้ว อารมณ์จึงยิ่งดิ่งลง
ฮ่องเต้เหวินอิ้นเป็คนที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับหนอนกู่ในยามนั้น
เดิมคิดว่าครั้งนี้เป็เพียงโรคระบาดทั่วไป แต่กลับกลายเป็โรคระบาดจากกู่พิษ ดังนั้นฮ่องเต้เหวินอิ้นจึงรู้ว่านี่เป็สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น อีกทั้งยังอาจเกิดศึกใหญ่อีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านิกายกู่ตู๋ที่ทำลายใต้หล้าในยามนั้นได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงรู้สึกปวดหัวมากก็คือหากเป้าหมายของกู่พิษคือพระองค์ คงไม่มีอะไรต้องกลัว แต่เกรงว่า กู่พิษนี้จะมุ่งเป้าไปยังผู้คนหลายสิบล้านคนในแคว้นเจียหลัว
ต้องรู้ว่า หากหนอนกู่ปะทุขึ้น ทั้งแคว้นเจียหลัวจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
เคราะห์ดีที่กุ่ยเม่ยเข้ามาใน่เวลาสำคัญพอดี
กุ่ยเม่ยอธิบายรายละเอียดว่ามู่จื่อหลิงพบวิธีรักษาโรคระบาดแล้ว ทำให้พระพักตร์ของฮ่องเต้เหวินอิ้นซึ่งหม่นหมองมาหลายวันฉายแสงด้วยความยินดีในทันใด
เพราะตราบใดที่มีวิธีถอนพิษกู่อยู่ ก็มีวิธีที่จะปราบการก่อกวนจากนิกายกู่ตู๋
อย่างไรก็ตาม จากทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาของมู่จื่อหลิง ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงยินดีมากยิ่งขึ้น หญิงผู้นั้นไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังจริงๆ
กล่าวได้ว่ากุ่ยเม่ยเป็ผู้ส่งสารที่ฉลาด เขารู้ว่าควรรายงานข่าวดีต่อฮ่องเต้เหวินอิ้นก่อน แล้วจึงรายงานเื่ร้าย
ใน่แรก เขารู้ว่าจะต้องให้ฮ่องเต้เหวินอิ้นได้ลิ้มลองความหวานก่อน ดังนั้นยามกุ่ยเม่ยกล่าวถึงความพยายามสังหารมู่จื่อหลิงของหลินเกาฮั่น ย่อมเป็ไปได้ว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นจะทรงะเิพลังเพลิงพิโรธแห่งัออกมา
จากนั้น กุ่ยเม่ยจึงทูลฮ่องเต้เหวินอิ้นอย่างกล้าหาญไม่เกรงกลัวเกี่ยวกับอุบายเล็กน้อยของมู่จื่อหลิง
เหตุที่กุ่ยเม่ยกล้าพูดคำดั้งเดิมของมู่จื่อหลิง เป็เพราะเขาไม่มีฟันแหลมคมและรอยยิ้มล่อลวงเช่นมู่จื่อหลิง เขาไม่รู้ว่าควรอ้อมค้อมอย่างไร เขารู้เพียงว่าเส้นทางซื่อตรงเป็หนทางของตน
แน่นอนว่าเหตุผลหลักสำหรับเื่นี้ก็คือสิ่งที่แสนหวานที่เขามอบให้ฮ่องเต้เหวินอิ้นนั้นหวานพอ
ดังนั้น กุ่ยเม่ยจึงรู้ว่าในเวลานี้ ไม่ว่าหวางเฟย้าสิ่งใด ฮ่องเต้เหวินอิ้นจะทรงยินยอมโดยไร้ข้อแม้
ดังนั้นหลังจากได้ยินเื่นี้ ฮ่องเต้เหวินอิ้นจึงโกรธกริ้วยิ่ง พระองค์ทรงตัดสินพระทัยร่วมมือกับสาวน้อยมากเล่ห์ผู้นั้น แสร้งทำเป็ไม่รู้ความ ยอมร่วมมือกับนางในการแสดงฉากต่อไป
เพราะั้แ่ในห้องทรงพระอักษรวันนั้น ความประทับใจของฮ่องเต้เหวินอิ้นที่มีต่อไทเฮาได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นพระองค์จึงรู้ว่าเหตุผลที่หลินเกาฮั่น กล้าได้กล้าเสียถึงเพียงนั้นได้เป็เพราะมีไทเฮาให้ท้าย อีกทั้งหลินเกาฮั่นยังเป็เบี้ยของไทเฮาที่พระนางใช้ในการยืมมีดฆ่าคน
......
หลังจากจัดการสิ่งต่างๆ กับฮ่องเต้เหวินอิ้นเสร็จสิ้น กุ่ยเม่ยพุ่งขึ้นไปบนหลังคาของตำหนักโซ่วอันต่อในทันที
ยามเขาไปถึง เขาบังเอิญได้ยินชายชราหลินเกาฮั่นที่ยอมอดทนต่อความเ็ป ถ่มน้ำลายใส่ความต่อหน้าไทเฮาเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์อันน่าสลดใจของมู่จื่อหลิง
ในเวลานั้น ไทเฮาทรงมีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งยังตรัสชมหลินเกาฮั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยามหลินเกาฮั่นเห็นความตื่นเต้นยินดีของไทเฮา เขาก็แอบดีใจ
เขารู้ว่ามือนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเป็หมอหลวงได้อีก แต่ในวันหน้าเขาก็ยังจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป
แต่สิ่งที่กุ่ยเม่ยสนใจก็คือหลินเกาฮั่นทำอย่างที่หวางเฟยทรงคาดหวังจริงๆ
ยามหลินเกาฮั่นพูด เขาไม่ได้พูดถึงการเสียชีวิตอย่างมีเกียรติของมู่จื่อหลิง แต่กลับกล่าวว่านางขี้ขลาดตาขาวรักตัวกลัวตาย
ในท้ายที่สุด ทั้งหมดที่หลินเกาฮั่นพูดเกี่ยวกับมู่จื่อหลิงล้วนเป็สิ่งเลวร้าย ทำลายชื่อเสียงของนาง
เดิมทีไทเฮาทรงกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ แต่หลังจากได้ยินเช่นนี้ พระนางก็ทรงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ จวนจะถึงเวลาจุดประทัดเพื่อเฉลิมฉลองแล้ว
ในยามนี้ไทเฮาทรงไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้ จึงรีบร้อนเสด็จตรงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้น
ยามกุ่ยเม่ยที่อยู่บนหลังคาได้ยินหลินเกาฮั่นพูดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะและกลอกตาใส่ แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็หลินเกาฮั่นเองที่ทำเช่นนั้น
ต้องรู้ว่า ในยามนี้สิ่งที่กุ่ยเม่ย้าทำมากกว่าคือการตบความเน่าเสียของหลินเกาฮั่น เ้าแก่นั่นทำลายชื่อเสียงของหวางเฟยของตนราวกับนี่เป็เื่จริง
แต่กุ่ยเม่ยรู้ว่ายามนี้ทั้งไทเฮาและหลินเกาฮั่นกำลังตื่นเต้นมีความสุขเพียงใด เมื่อรับรู้เื่จริงของหวางเฟยของตนในภายหลัง พวกเขาจะเ็ปทางร่างกายและจิตใจจนน่าสลดเพียงใด
ดังนั้นจึงไม่ต้องเร่งรีบเข้าไปสอนบทเรียนให้กับหลินเกาฮั่น เขายังต้องทนทุกข์อีกมากในภายหลัง
แต่สิ่งที่กุ่ยเม่ยไม่รู้ก็คือแม้ว่าองค์หญิงอันหย่าซึ่งมีสีหน้าสุขใจในยามนี้ ภายในดวงตาคู่งามของนางกลับมีหมอกควันที่ไม่มีใครทันได้สังเกต
หลังจากที่ไทเฮาทรงเสด็จออกจากตำหนักโซ่วอันไปแล้ว กุ่ยเม่ยก็ไม่สนใจติดตามไป
ยามไทเฮาทรงเสด็จเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหวินอิ้น พระนางจะตรัสถึงสิ่งที่หลินเกาฮั่นกล่าวมาถึงจวนฉีอ๋องอย่างไรนั้น ไม่จำเป็ต้องคิดเลย
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือดูว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นจะสนพระทัยไทเฮาหรือไม่ต่างหาก
คำตอบนั้นชัดเจน
ดังนั้นหลังจากจัดการทุกสิ่งอย่างราบรื่นกุ่ยเม่ยก็ออกจากวังไป
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สภาวะแห่งความว่างเปล่า (忘我状态) เป็ภาวะของการลืมทุกสิ่งรอบตัวคุณ รวมถึงตัวคุณเอง เกิดขึ้นในเวลาที่มีสมาธิจดจ่อกับบางสิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้