หลินกู๋หยู่ลดสายตาลงเล็กน้อย นางไม่กล้ามอง เปลือกตาของนางบดบังความรู้สึกในใจ
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหลินกู๋หยู่ นางพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เ้ามาจากไหน?"
หลินกู๋หยู่ไม่พูดไม่จา ใบหน้าของนางนิ่งสงบโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหลินกู๋หยู่ ปากของนางขมุบขมิบท่องบางอย่าง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองที่หลินกู๋หยู่โดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
ทันใดนั้น สาวใช้ข้างนอกก็เดินมาหา ดวงตาของนางเป็ประกายแวบหนึ่ง
หลังจากสาวรับใช้พูดข้างใบหู นางก็ประสานมือไว้ด้านหน้าลำตัวกลับไปยืนอยู่ด้านข้าง
“ท่านทั้งสอง ข้าจะอัญเชิญพระโพธิสัตว์เสด็จมา ประเดี๋ยวเดียวข้าก็จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” สตรีถูกพยุงให้ลุกขึ้นโดยสาวใช้ด้านข้าง แล้วกล่าวต่อว่า “แต่ท่านทั้งสองยังไปไม่ได้ พระโพธิสัตว์จะต้องตัดสินว่าคนตรงหน้าเป็ญาติของพวกเ้าหรือไม่ตามความทรงจำของพวกเ้าทั้งสองคน”
ในเวลานี้หลินกู๋หยู่เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ด้านหน้าห้องโถงในระยะไม่ไกลนัก
ผู้ถูกเรียกว่าอาจารย์ก้มศีรษะลงและเดินออกไปกับสาวใช้
ภายในห้องถูกห้อมล้อมด้วยควันโขมงทำให้ทั้งห้องดูลึกลับอย่างมาก
หลินกู๋หยู่นั่งที่เดิม หันมองซ้ายขวาก็ไม่พบว่ามีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง สตรีนางนั้นก็เดินกลับเข้ามา
นางย่างก้าวไปยังด้านหน้าหลินกู๋หยู่ สายตามองดูหลินกู๋หยู่ปราดหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปด้านหน้าของพระโพธิสัตว์
ถือเครื่องหอมหนึ่งกำมือ คุกเข่าลงด้วยความพินอบพิเทาต่อพระโพธิสัตว์ คุกเข่าลงกราบสามครั้งติดต่อกัน แล้วยืนขึ้นเพื่อจุดธูป
จ้าวซื่อยืนอยู่ข้างๆ อย่างร้อนรนกระวนกระวายใจ ในขณะที่มองลงไปที่หลินกู๋หยู่และไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็หันศีรษะไปมองหลินกู๋หยู่ด้วยสายตาที่ซับซ้อนหลายส่วน
จ้าวซื่อเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม "ท่านอาจารย์ ลูกสาวของข้าเป็อะไรไป?"
นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองจ้าวซื่อปราดหนึ่ง คิ้วของนางขมวดแน่น จากนั้นนางก็พูดว่า "เป็เพราะได้รับการดลบันดาลให้ตรัสรู้จากพระโพธิสัตว์ จึงมีสิ่งต่างๆ มากมาย"
เมื่อได้ยินสิ่งคำพูดดังกล่าว จ้าวซื่อรีบดึงหลินกู๋หยู่ขึ้นจากพื้นด้วยรอยยิ้ม "ลูกสาวของข้าได้รับการดลบันดาลให้ความรู้แจ้งจากพระโพธิสัตว์ ขอบคุณมากจริงๆ ในที่สุดข้าก็สบายใจได้แล้ว"
จะเป็ไปได้อย่างไรที่ผู้ตรัสรู้จากพระโพธิสัตว์จะยังคงเหนียมอายและอ่อนแอเช่นเดิม ย่อมเป็เื่ธรรมดาที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
หลังจากเอ่ยขอบคุณ ในขณะที่จ้าวซื่อ้าลากหลินกู๋หยู่ออกไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสตรีนางนั้นเอ่ยขึ้น "พระโพธิสัตว์้าพูดคุยกับแม่สาวน้อยคนนี้อีกสองสามคำ ดังนั้นพวกเ้าออกไปก่อนเถอะ"
เมื่อจ้าวซื่อได้ฟังดังนั้น บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มสดใส ก่อนจะรีบลากหลินลี่เซี่ยออกไป
หลินกู๋หยู่ยืนอยู่ที่เดิม เห็นสตรีนางนั้นเดินมาใกล้ พินิจมองหลินกู๋หยู่ขึ้นและลง
แปลกพิกลนัก หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าการจ้องมองของอีกฝ่ายนั้นมีความหมายอย่างไม่สามารถอธิบายได้
“ข้ารู้ว่าเ้าไม่ใช่หลินกู๋หยู่ตัวจริง” แววตาของนางพินิจมองร่างของหลินกู๋หยู่ “หลินกู๋หยู่จากไปเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว”
หลินกู๋หยู่รู้สึกขนหัวลุกไปทั่วร่าง นางยืนอยู่ที่เดิมไม่พูดไม่จา
“เ้าไม่จำเป็ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” นางเดินมาด้านหน้าของหลินกู๋หยู่ สีหน้านิ่งสงบ “แม้ว่าข้าจะบอกไม่ได้ว่าเ้ามาจากที่แห่งใด แต่ข้ารู้ว่าเ้าจะช่วยผู้คนมากมายในอนาคต”
หลินกู๋หยู่หันศีรษะไปมองด้วยความสงสัย "ทำไมท่านถึงไม่เปิดโปงข้า?"
“เปิดโปงอะไรหรือ?” นางมองหลินกู๋หยู่ รอยยิ้มขบขันฉายบนใบหน้า “คนที่ฆ่าหลินกู๋หยู่คือพวกนางสองคน หรือข้าจะต้องพูดออกมาว่า พวกนางเป็คนฆ่าคนในสายเืของพวกนางเองงั้นหรือ?”
หลินกู๋หยู่หมุนตัวหันไปมอง แววตาจับจ้องไปที่คนเบื้องหน้า "ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ามาจากไหน?"
หลินกู๋หยู่ไม่มั่นใจว่าอาจารย์ท่านนี้จะดูอะไรออกจริงๆ หรือไม่
หรือคนตรงหน้าท่านนี้แค่พูดพล่ามตลอดเวลาที่ผ่านมา
เมื่อได้ฟังดังนั้น มุมปากก็ค่อยๆ ยกโค้งขึ้น "แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจว่าที่ที่เ้าอยู่นั้นใช้ชีวิตอย่างไร แต่สิ่งที่ข้าสามารถเห็นได้ คือมีบางสิ่งบางอย่างวิ่งไปมาบนถนน และสิ่งที่ทำให้ข้าสับสนที่สุดคือทำไมพวกเ้าถึงได้สวมเสื้อผ้าที่เปิดเผยเรือนร่างมากถึงเพียงนั้น”
ใบหน้าของหลินกู๋หยู่ก็อัปลักษณ์ราวกับนรก นางกำมือแน่น หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน นางจึงเอ่ยถามด้วยความมั่นใจ "ท่านเห็นแล้วหรือ?"
“ข้ามองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวเ้า ข้าไม่เห็นอะไรมากมายนัก” ก่อนที่จะเดินไปยังด้านหน้าพระโพธิสัตว์ แล้วพูดเบาๆ ว่า “อมิตาพุทธ”
ในตอนแรกหลินกู๋หยู่คิดว่าอาจารย์ท่านนี้เพียงพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าอาจารย์ท่านนี้ไม่ได้พูดจาเหลวไหลแต่อย่างใด
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากจะถามว่าข้าจะกลับไปได้หรือไม่?” หลินกู๋หยู่อดไม่ได้ที่จะก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้านางก็เปลี่ยนไป
สภาพแวดล้อมรอบกายขาวโพลนกว้างใหญ่ หลินกู๋หยู่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจนนอกจากสถานที่ตรงหน้านาง
หลังจากเดินไปข้างหน้าได้สองสามก้าว ภาพตรงหน้าชัดเจนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่นางกำลังจะวิ่งออกไป จู่ๆ นางก็พบว่านางออกมาจากตัวบ้านแล้ว
เห็นๆ อยู่ว่านางกำลังเดินไปหาท่านอาจารย์ท่านนั้น ทว่าเวลานี้กลายเป็ว่านางเดินออกมาข้างนอก
คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้มีผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้ว สีหน้าของนางฉายแววงงงวย
เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของหลินกู๋หยู่ จ้าวซื่อก็รีบเดินไปหาและจับมือของบุตรสาวของนาง พินิจมองขึ้นลง "กู๋หยู่ ทั้งหมดเป็ความผิดของแม่ แม่รู้ว่าเป็เ้า"
หลินกู๋หยู่หันไปมอง คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนผลักมือของจ้าวซื่อออกไป "ข้ายังมีเื่ที่จะถามให้แน่ชัด ข้า้าเข้าไปข้างใน"
ทันใดนั้นสาวใช้คนหนึ่งเดินมาขวางด้านหน้าหลินกู๋หยู่ "ท่านอาจารย์้าพักผ่อน ขอท่านโปรดออกไปโดยเร็ว"
“ข้ามาที่นี่อีกได้หรือไม่?” หลินกู๋หยู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ข้าแค่อยากจะถามคำถามบางอย่างให้กระจ่าง”
"หากมีวาสนาจะได้พบกันใหม่" สาวรับใช้กล่าวอย่างเคร่งขรึม "ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าจะได้พบกันอีกในอนาคต"
หลินกู๋หยู่พยักหน้าเล็กน้อย ความไม่สบายใจเหือดหายไปหมดแล้ว นางเดินตามจ้าวซื่อออกไปข้างนอก
ทันทีที่เดินออกจากประตู หลินลี่เซี่ยก็พูดกับจ้าวซื่อ "ท่านแม่ ข้ามีเื่ที่จะต้องทำ ข้าขอตัวก่อน"
"งั้นเ้าไปเถอะ" จ้าวซื่อยิ้มและโบกมือให้หลินลี่เซี่ย จากนั้นดึงหลินกู๋หยู่กลับไป
"ข้าไม่รู้ว่าคนในครอบครัวสกุลหลินของเราเผาเครื่องหอมอะไร ลูกสาวของข้าถึงได้รับการรู้แจ้งจากทวยเทพ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็คนละคน" จ้าวซื่อจับมือของหลินกู๋หยู่และพูดอย่างจริงจัง "ก่อนหน้านี้ข้าเป็ห่วงเ้า คิดว่าภูตผีเข้าสิงเสียแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ใช่เช่นนั้น"
หลินกู๋หยู่เพียงแค่พยักหน้าไม่พูดไม่จา
เมื่อเดินไปถึงด้านข้างของโรงหมอ หลินกู๋หยู่ก็ชี้นิ้วไปที่โรงหมอ "ข้าจะไปทำงานแล้ว"
จ้าวซื่อมองไปยังทิศทางที่หลินกู๋หยู่ชี้ไปด้วยรอยยิ้ม "เ้าเข้าไปเร็วเถอะ แม่จะกลับบ้านก่อน"
หลังจากส่งจ้าวซื่อกลับไปอย่างสุภาพแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ลดศีรษะลงและเดินไปที่โรงหมอสกุลลู่
ช่วยชีวิตผู้คนได้มากขึ้น
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วแน่น เป็ไปได้หรือไม่ว่าสาเหตุที่ท่านอาจารย์ไม่ได้พูดมากกว่านี้นั่นเพียงเพราะนางช่วยชีวิตคน
หลินกู๋หยู่นั่งอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย เท้าคางไว้บนฝ่ามือข้างหนึ่ง
ส่วนใหญ่แล้วในโรงหมอนั้นไม่ยุ่งมาก มีเวลาว่างและไม่มีอะไรให้ทำมากนัก
ฉือหางยืนอยู่ด้านหน้าแผงขายของเล็กๆ ไม่ไกลนัก มองไปที่หลินกู๋หยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นหันหลังจากไป
เพราะเขากังวลว่าอาจารย์ท่านนั้นจะทำอะไรอย่างอื่นกับหลินกู๋หยู่ เขาจึงมอบเงินทั้งหมดที่มีให้กับนาง ตราบใดที่ไม่เปิดโปงหลินกู๋หยู่ก็เพียงพอแล้ว
“นางคือหลินกู๋หยู่หรือไม่?” ฉือหางยังจำสิ่งที่เขาถามในตอนนั้นได้
เขาเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของคนเบื้องหน้า ใบหูของเขายังคงได้ยินคำพูดของนาง "นางไม่ใช่คนที่นี่ แต่เป็เพียงกฎแห่งกรรมที่เวียนว่ายกลับชาติมาที่นี่ก็เท่านั้น"
เช่นนั้นแท้ที่จริงแล้วหลินกู๋หยู่คืออะไรกัน เป็คน ผี หรือเทพ?
เมื่อตรึกตรองถึงเื่นี้ ใบหน้าของฉือหางก็ไม่น่ามอง เขาหันหลังกลับและเดินเข้าไปข้างในเพื่อมองหางานทำ
เมื่อฉือหางมารับหลินกู๋หยู่กลับบ้านในตอนเย็น ดวงตาที่เฉียบคมของหลินกู๋หยู่สังเกตว่าใบหน้าของฉือหางฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?” หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางอย่างเป็กังวล
"ไม่เป็ไร” ฉือหางไม่กล้ามองหน้าหลินกู๋หยู่ ตอนนี้หัวใจของเขาสับสนวุ่นวาย
สิ่งที่ทำให้เขาสับสนคือความสัมพันธ์ระหว่างหลินกู๋หยู่และลู่จื่อยู่ ซึ่งดูเหมือนจะค่อนข้างใกล้ชิด
ฉือหางถอนหายใจเบาๆ เอียงศีรษะและพูดด้วยน้ำเสียงเบา "ในอนาคต เ้าไม่ไปที่โรงหมอสกุลลู่ได้หรือไม่"
“นี่?” จริงๆ แล้วหลินกู๋หยู่ไม่อยากไปที่โรงหมอสกุลลู่ตั้งนานแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์ท่านนั้น นางรู้สึกว่านางควรจะช่วยชีวิตของผู้คนมากกว่านี้ “สาเหตุที่ข้ายังทำงานที่โรงหมอสกุลลู่ นั่นเพราะข้าจะได้หารายได้มาจุนเจือครอบครัวได้บางส่วนไม่ใช่หรือ?”
้าหารายได้จริงๆ หรือ?
ฉือหางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จับมือของหลินกู๋หยู่เดินไปที่ประตูเมือง
หัวใจคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างคว้าเอาไว้ เ็ปถึงขั้นไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
"ข้าเลี้ยงเ้าได้” ฉือหางพูดเสียงต่ำ
หลินกู๋หยู่หัวเราะ "ข้ารู้ว่าเ้าสามารถเลี้ยงข้าได้ แต่ข้าก็อยากหาเงินให้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน"
เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ หลินกู๋หยู่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ นางหันหน้าไปมองฉือหาง "พรุ่งนี้เราฝากเงินสองร้อยตำลึงที่ธนาคาร แล้วค่อยเอาออกมาในยามที่้าใช้ เ้าคิดว่าอย่างไร?"
สิ่งเหล่านี้จะทำอย่างไรก็ดี ฉือหางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ "ทำตามที่เ้าพูดก็ได้"
หลินกู๋หยู่ยิ้มๆ คล้องแขนของฉือหาง
หลังรับประทานอาหาร หลินกู๋หยู่อาบน้ำให้โต้ซา จากนั้นก็เข้านอน หลังจากอาบน้ำเสร็จ
หลินกู๋หยู่นอนราบบนเตียง คิดถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์พูด นางปวดศีรษะสุดจะทน
หลังจากที่ฉือหางอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาก็นอนลงบนเตียง
หลินกู๋หยู่หันไปด้านข้าง ขาของนางพาดวางอยู่บนขาของฉือหาง นิ้วเท้าของนางค่อยๆ เคลื่อนไหวไต่เบาๆ บนขาของเขา
"เ้า” ฉือหางจับขาของหลินกู๋หยู่ ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย "นี่?"
หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหางพลันวางขาอีกข้างไว้บนนั้น
ฉือหางยกขาของหลินกู๋หยู่ออก ลุกขึ้นและเป่าเทียนบนโต๊ะ ก่อนที่จะปิดม่านเตียงโดยไม่ลังเล
เมื่อเขาขึ้นเตียงเข้าไปใต้ผ้าห่ม เขากดนางไว้ใต้ตัวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใบหน้าจริงจัง "คืนนี้อย่าได้ร้องขอความเมตตาเชียว!"
มุมริมฝีปากของหลินกู๋หยู่โค้งเล็กน้อย ราวกับคิดอะไรได้ นางผลักฉือหางออกไปพลางมองเขาอย่างเงียบๆ