นครหลวงต้าซ่ง
เพราะระยะนี้เริ่มเข้าสู่่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศที่นครหลวงจึงค่อนข้างแห้งและเย็นชื้นขึ้นบ้างเล็กน้อย ความร้อนค่อยๆลดลงไปมาก สองข้างทางในยามนี้มีดอกเบญจมาศหลากสีกำลังผลิดอกล้อลมชมแสงอาทิตย์ขับเน้นให้นครหลวงดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
หยางซียื่นมือไปเปิดผ้าม่านรถม้าเพื่อมองดูสถาณการณ์ความเป็ไปของนครหลวง
ตอนที่เขาเดินทางมาจากอำเภอเซียงถงก็เป็่ปลายฤดูร้อนแล้ว กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลาไม่น้อย เมื่อมาถึงนครหลวงก็เข้าสู่่ฤดูใบไม้ร่วงเสียแล้ว ชายหนุ่มไม่ควบม้าเข้าเมือง แต่กลับเลือกนั่งรถม้าแทน เพราะไม่อยากตกเป็ที่จับจ้องของผู้คน เขารู้ดีว่าชื่อเสียงแม่ทัพใหญ่ของเขานั่นเลื่องลือระบือไกลเพียงใด มีผู้คนมากมายล้วนจับจ้องเขาเป็ตาเดียว มีทั้งสายตาชื่นชมและสายตาที่มองมาเพราะ้าหวังผลประโยชน์ นั่นมันทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจยิ่ง
ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งพวกคนชั่วทั้งหลายกลับมายังนครหลวงล่วงหน้าแล้ว ได้ยินว่าฝ่าาทรงสืบสวนพวกมันอย่างหนัก บางคนทนการทรมานไม่ไหวก็สิ้นใจตาย บางคนก็ยอมรับสารภาพ สุดท้ายคดีนี้ก็สามารถลากตัวขุนนางชั่วมาลงโทษได้ และยังช่วยหญิงสาวได้หลายคน แต่น่าเสียดายที่มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่จบชีวิตลงเพราะได้รับการช่วยเหลือไม่ทัน
ทันทีที่กลับเข้านครหลวง หยางซีไม่ได้กลับจวนตระกูลหยางในทันที แต่กลับมุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าพบฮ่องเต้ิต่งเสียก่อน
ฮ่องเต้ิต่งที่ได้พบหน้าเขาอีกคราก็ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี พร้อมทั้งเอ่ยชมไม่ขาดปากว่าการส่งเขาไปที่อำเภอเซียงถงนั้นไม่เสียเปล่า เพราะเขาสามารถช่วยจัดการปัญหาแทนฮ่องเต้ิต่งได้เป็อย่างดี หยางซีเพียงเอ่ยขอบพระทัยในความกรุณาอย่างนอบน้อมเท่านั้น ไม่ได้แสดงท่าทีลำพองใจหรือโอ้อวดตนเลยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ิต่งที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งพอใจที่หยางซีเป็คนถ่อมตน อีกทั้งยังบอกให้เขาอยู่ร่วมกินมื้อเย็นด้วยกันที่วังหลวงเสียเลย
อาหารในวังหลวงค่อนข้างละเอียดประณีตและพิถีพิถัน มื้อนี้มีิอวี้และิซินอี๋มาร่วมกินด้วย หากนับตามศักดิ์แล้วพวกเขาล้วนเป็เครือญาติและเป็ลูกพี่ลูกน้องกัน ิซินอี๋เพียงยิ้มทักทายเขาและไม่ได้สนทนาอันใดกับเขามากนัก เพราะอย่างไรเขาก็มีชาติกำเนิดต่ำกว่านาง มารดาเป็เพียงคนต่ำต้อย ที่เชิดหน้าชูคอได้ก็ล้วนมาจากบารมีของจวนหยางกั๋วกงทั้งสิ้น
หยางเจินลี่เองก็เอ่ยสนทนากับเขาตามมรรยาท หยางซีไม่ใส่ใจอยู่แล้ว คนพวกนี้ล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีแต่ใส่หน้ากากเข้าหากัน หยางเจินลี่เพียงเพราะอยากได้ผลประโยชน์จากเขาช่วยให้นางนั่งบนตำแหน่งฮองเฮาได้มั่นคง จึงทำดีกับเขาก็เท่านั้น
แต่ิอวี้กลับเอ่ยสนทนากับเขาอย่างเป็กันเอง ิอวี้อายุน้อยกว่าิจูหนึ่งปี เขาจำได้ว่ายามนั้นในวังหลวงมีกฎว่าหากสนมนางใดให้กำเนิดองค์ชายจะไม่มีสิทธิ์เลี้ยงดู ต้องมอบให้ฮองเฮาเป็คนเลี้ยง คนที่เลี้ยงิอวี้มาั้แ่เกิดจนอายุสิบขวบก็คือสวีฮองเฮา ภายหลังฮ่องเต้ิต่งที่รักหยางเจินลี่โดยไม่สนถูกผิด ก็แก้ไขกฎระเบียบนี้ ทำให้หยางเจินลี่ได้บุตรของตนกลับไปเลี้ยงดูโดยชอบธรรม
ิอวี้มีนิสัยต่างจากิซินอี๋ เขาสืบทราบมาได้ว่า ิอวี้มักจะมีปากเสียงกับหยางเจินลี่มารดาตนอยู่บ่อยครั้ง
“ญาติผู้พี่ ท่านกลับมาคราวนี้จะอยู่นานเท่าใด ข้าอยากให้ท่านช่วยสอนวรยุทธ์”
ิอวี้เอ่ยกับหยางซีอย่างสนิทสนม หยางซียิ้มเล็กน้อย
“เห็นทีครานี้คงจะอยู่ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมต้องเร่งกลับอำเภอเซียงถงเพื่อจัดการงานที่ฝ่าาทรงมอบหมาย หากงานสำเร็จลุล่วง กระหม่อมจะรีบกลับมาสอนองค์รัชทายาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี”
ิอวี้พยักหน้าอย่างดีใจ แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของมารดาที่มองมา ก็ทำเอาความอยากอาหารของเขาลดลงไปมากกว่าครึ่ง
เขารู้ว่าเสด็จแม่คือมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกผูกพันกับนางเลย ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าเพราะกฎระเบียบในยามนั้นทำให้นางต้องมอบเขาให้อดีตฮองเฮาทรงเลี้ยงดู แต่ว่าเขากลับไม่อาจเคารพนางเป็มารดาได้อย่างจริงใจ
อาหารมื้อนี้่ผ่านไปด้วยดี หลังจากกินอิ่มแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพัก ฮ่องเต้ิต่งบอกให้หยางซีไปเดินเล่นเป็เพื่อนเขาหน่อย หยางซีพยักหน้าเล็กน้อย ชายสองคน คนหนึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ส่วนอีกคนหนึ่งอยู่ในวัยกลางคนกำลังเดินไปตามทางอย่างไม่รีบไม่ร้อน ผ่านอุทยานหลวงที่แสนกว้างใหญ่ไปเรื่อยๆ โดยมีเหล่าขันทีและนางกำนัลเดินตามหลัง ยามนี้แสงแดดยังไม่ลาลับของฟ้า มันส่องแสงสีทองเรืองรองอาบย้อมทั่วทั้งวังหลวงจนดูงดงามราวแดน์
ฮ่องเต้ิต่งและหยางซีหยุดยืนอยู่ที่ริมสระบัว ฮ่องเต้ิต่งให้อาหารปลาไปพลางก็เอ่ยกับหยางซีไปพลาง
"เื่การสร้างคลองกั้นน้ำเป็อย่างไรบ้าง?"
หยางซีเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบยกมือขึ้นประสานกันเพื่อทำความเคารพและเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
"ทูลฝ่าา ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ คาดว่ากระหม่อมกลับไปครานี้คงสำเร็จลุล่วงไปมากกว่าครึ่ง"
ฮ่องเต้ิต่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
"ดีมาก ข้ามาคิดๆดูแล้ว หากหยางเหลียนพี่ชายเ้า เก่งกาจได้สักครึ่งหนึ่งของเ้าก็คงจะดีไม่น้อย หยางฮองเฮาก็คงไม่ต้องคอยกังวลกับเขาขนาดนี้"
หยางซีไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดยามที่ได้ฟังฮ่องเต้ิต่งเอ่ยถึงหยางเหลียน อีกทั้งยังเอ่ยตอบฮ่องเต้ิต่งอย่างรู้งาน
"พี่ใหญ่ย่อมมีความเก่งกาจเป็ของตนเอง ไม่อย่างนั้นจะได้เป็ถึงซื่อจื่อผู้สืบทอดหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็เพียงคนหยาบกระด้าง ย่อมไม่อาจเทียบกับพี่ใหญ่ได้"
ฮ่องเต้ิต่งฟังจบก็ส่งเสียงหัวเราะชอบใจออกมาคราหนึ่ง พลางชี้หน้าหยางซีและเอ่ยหยอกเย้า
"เ้ามันก็ถ่อมตัวจนติดเป็นิสัย แต่ช่างเถอะ เป็เช่นนี้ก็ดีแล้ว"
ฮ่องเต้ิต่งถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง หยางซีมองออกว่าในแววตานั้นคล้ายเก็บงำเื่ราวคับข้องใจเอาไว้
"ฝ่าา ระยะนี้ทรงมีเื่ไม่สบายพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
ฮ่องเต้ิต่งหันมายิ้มให้หยางซี ก็มีเพียงหยางซีที่มองเห็นความทุกข์ในแววตาของเขา แต่คนอื่นกลับไม่เคยมองเห็นเลย
แต่ทว่าเมื่อนานมาแล้ว เคยมีคนผู้หนึ่งที่ใส่ใจเขาเหมือนกับหยางซี นั่นก็คือสวีฝู แต่นางตายจากเขาไปตั้งนานแล้ว
เขายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ รอยยิ้มนี้มันช่างดูเหนื่อยล้าเสียเหลือกิน ฮ่องเต้ิต่งเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่ตอนนี้กลายเป็สีส้มเพราะถูกแสงอาทิตย์อาบย้อมคราหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยคำพูดมากมายออกมา
"ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าจึงรู้สึกคิดถึงจูเอ๋อร์และมารดาของนางขึ้นมา"
หยางซีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีใด แต่ในใจกลับลอบยิ้มเยาะ
ท่านเป็คนสังหารบุตรสาวตนเองกับมือ ด้วยการสั่งโบยนางจนตาย ยังจะมาคิดถึงนางอีกด้วยเหตุใด ช่างน่าขันสิ้นดี!
แม้ในใจจะลอบก่นด่า แต่ภายนอกกลับไม่ได้เอ่ยวาจาใด ฮ่องเต้ิต่งก็ยังคงเอ่ยคำพูดในใจตนเองต่อไป
"ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าไม่ใช่บิดาที่ดี แต่ิจูนางดื้อรั้นเกินไป นางทำผิดมหันต์ แม้ข้าจะไม่ได้รักนางมากเท่ากับบุตรคนอื่นๆ แต่อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า วันที่ข้ารู้ว่านางตาย มีหรือที่ใจข้าจะไม่เ็ป แต่ว่าข้าต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง หยางซี เ้าคิดว่า ิจูที่อยู่ในปรโลก จะโกธรแค้นข้าหรือไม่?"
นางไม่โกรธ นางดูเหมือนจะหายโกรธท่านไปตั้งนานแล้ว แต่หากนางเลือกได้อีกหน นางคงไม่เลือกเกิดเป็เป็บุตรสาวของท่านอีก
แน่นอนว่าวาจาเช่นนี้หยางซีย่อมไม่ได้พูดออกไป แต่กลับเอ่ยปลอบใจฮ่องเต้ิต่งแทน
"องค์หญิงใหญ่จะต้องทรงเข้าพระทัยฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ิต่งพยักหน้าเล็กน้อย พลางถอนหายใจออกมาอีกคำรบหนึ่ง
"วันนี้เ้าก็รีบกลับจวนไปเถอะ ข้าเหนื่อย อยากพักผ่อนแล้ว ก่อนกลับอำเภอเซียงถงก็อย่าลืมมาพบข้าอีกสักหน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ิต่งกลับตำหนักั์ไปแล้ว ส่วนหยางซีเองก็เดินออกมาจากวังหลวงอย่างช้าๆ ท้องฟ้าในตอนนี้กลายเป็สีดำสนิทแล้ว นครหลวงยามนี้ต่างประดับประดาด้วยโคมไฟงดงามมากมาย ร้านที่เปิดในตอนกลางคืนก็เริ่มมีผู้คนเข้ามาซื้อของกันขวักไขว่ ชายหนุ่มกวาดตามองเด็กน้อยที่มีพ่อแม่พาออกมาเดินเที่ยวเล่นอย่างสำราญใจด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
เขาไม่อยากลับบ้าน เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยมีบ้านให้กลับ
หยางซีคิดเช่นนี้ในใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ย่อมไม่อาจหลบหน้าคนตระกูลหยางไปชั่วชีวิตได้ แม้จะรู้เื่ชั่วที่บิดาทำ และอยากค้นหาสาเหตุการตายของคนตระกูลอู่มากเพียงใดก็ยังไม่อาจกระทำการบุ่มบ่ามได้
บางคราเขาก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า ในเมื่อทุกอย่างไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว ไม่สู้ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ เป็แบบไป๋เยว่ซิน ลืมสิ้นทุกอย่าง และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวใหม่
แต่เขาไม่มีครอบครัวใหม่ และเขาก็ไม่อาจหนีพ้นฐานะของคุณชายรองที่กดทับศีรษะเขาไปได้ เพราะหากเขาทำเช่นนั้น หยางกั๋วกงจะต้องตามสืบว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขายอมละทิ้งชีวิตสุขสบายและอำนาจมากล้นได้ลงคอ และหากคนพวกนี้สืบพบตัวตนของไป๋เยว่ซิน อาจจะเป็การนำพาหายนะไปสู่นางและคนตระกูลไป๋ได้
ทุกทางที่เขาก้าวเดินไปในตอนนี้ราวกับเหยียบอยู่บนตะปู ก้าวไปทางใดล้วนถูกด้านแหลมคมของมันคอยทิ่มแทงไม่จบไม่สิ้น
ในเมื่อเลือกทางใดก็อันตราย เช่นนั้นก็รอโอกาศ ค่อยๆเป็ค่อยๆไป และจัดการล้มกระดานหมากนี้ในคราวเดียว
"คุณชายรอง ถึงแล้วขอรับ"
เสียงของคนขับรถม้าที่เอ่ยขึ้นมาทำลายความคิดในหัวของหยางซีทำให้เขาได้สติคืนกลับมา ชายหนุ่มก้าวลงมาจากรถม้า ก่อนจะเงยหน้ามองป้ายที่ติดอยู่บนหน้าประตูจวน เขาจำได้ว่าตัวอักษรเหล่านี้ฝ่าาทรงเป็คนเขียนพระราชทานให้ด้วยพระหัตถ์ขององค์เอง
จวนหยางกั๋วกง!