บทที่ 18 ถ้ำเทพศาสตรา มู่หรงเซียวถูกจิตสังหารเข้าแทรกซึม
หน้าถ้ำเทพศาสตรา
เมื่อมองจากปากถ้ำเข้าไป ศาสตราวุธนานาชนิดวางเรียงรายอยู่ภายใน บ้างส่องประกายคมกริบ บ้างก็ขึ้นสนิมเขรอะจับ เพียงก้าวเข้าสู่ภายใน กลิ่นอายคมดาบพลันโถมเข้าใส่ ราวกับมีคมมีดจ่อคอ ร่างกายพลันแข็งเกร็งไปทั้งร่าง
ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนไม่น้อยเดินเข้าออก ล้วนแต่เป็ผู้ที่มีพลังปราณแข็งแกร่งยิ่ง บางคนเป็ช่างตีเหล็ก บางคนก็เป็ศิษย์ชั้นในจากยอดเขาอื่น
“มีจุดประสงค์อันใดในการเข้าถ้ำเทพศาสตรา และ้าอยู่นานเท่าใด”
ผู้คุมกฎชั้นในผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น คอยบันทึกผู้เข้าออก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เขากลับชะงักงันไปเล็กน้อย
เด็กหนุ่มตรงหน้าช่างอายุน้อยเกินไปแล้ว
“เพื่อฝึกกายเนื้อ อย่างมากก็สองชั่วยามขอรับ”หลี่โม่กล่าว
ผู้คุมกฎชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์
“เ้าเพิ่งจะอยู่ในขั้นปราณโลหิตระดับเริ่มต้น มาวุ่นวายอันใดที่นี่? ไปๆ ออกไปได้แล้ว!”
ด้วยสายตาในขั้นขอบเขตกายภาพนอก เขาสามารถตัดสินได้ในทันทีว่าหลี่โม่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นปราณโลหิตได้ไม่นาน
“ผู้าุโหานเฮ่ออนุญาตแล้ว”
หลี่โม่ไม่ได้ใส่ใจทัศนคติของอีกฝ่าย แม้ท่าทีจะดูดุดัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝง
“ผู้าุโหานเฮ่อ...”
ผู้คุมกฎตะลึงงันและสงสัยขึ้นมา
“เ้าเป็ศิษย์จากยอดเขาใด?” เขาถาม
“ยอดเขาหยกงาม” หลี่โม่แจ้ง
“ยอดเขาหยกงามจะมีศิษย์จากที่ใดกัน...”
พูดยังไม่ทันจบ ผู้คุมกฎชั้นในผู้นั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ปีนี้ผู้าุโซางอู่ดูเหมือนจะได้รับศิษย์สายตรงเข้ามาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็ผู้ที่พร์โดดเด่นอย่างยิ่ง
อืม... ดูเหมือนจะเป็ผู้ที่ขึ้นถึงยอดบันไดสู่์พร้อมกับอิ๋งปิง
ชื่ออะไรนะ...
ชั่วขณะหนึ่ง เขาก็นึกไม่ออกจริงๆ
“ยื่นป้ายประจำตัวให้ข้าบันทึกหน่อย”
หลี่โม่ถอดป้ายประจำตัวออกมา
หลังจากที่อีกฝ่ายบันทึกแล้ว ก็พยักหน้า และแนะนำด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายลง
“หากเ้าจะฝึกฝนวิชา จงจำไว้ว่าให้ทำเท่าที่ความสามารถตนจะเอื้ออำนวย”
“ชั้นแรกมีแต่ศาสตราวุธคมกริบ ส่วนใหญ่ยังไม่เคยผ่านการหลั่งเื”
“ส่วนชั้นที่สองนั้น เป็ศาสตราวุธสังหารที่แท้จริง หึหึ มีดของขอมโจรที่ข้าสังหารก็วางอยู่ที่ชั้นสอง”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็ศิษย์สายตรง บางทีอาจจะมีอะไรที่พึ่งพาได้บ้าง
เช่น ศิษย์สายตรงคนใหม่ที่ผู้าุโหานเฮ่อเพิ่งรับมา มีร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และสามารถลงไปถึงชั้นสองได้แล้ว ทำให้เขาก็ยินดีที่จะอธิบายให้ฟังสองสามประโยค
“แล้วชั้นที่สามล่ะ?”
หลี่โม่ถามด้วยความสงสัย
“เด็กหนุ่มเอ๋ย อย่าทะเยอทะยานจนเกินไป ชั้นที่สามเก็บรักษาศาสตราวุธชื่อดังเอาไว้ ศาสตราวุธมีิญญา ถ้ายังไม่ถึงขั้นขอบเขตกายภาพนอก ก็ไม่ควรก้าวเข้าไปที่นั่น”
ผู้คุมกฎส่ายหน้า และย้ำเตือนหลายครั้ง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลี่โม่รับป้ายประจำตัวคืน ประสานมือคารวะ แล้วเดินเข้าไปในถ้ำ
ในพริบตา ความรู้สึกราวกับมีคมมีดจ่ออยู่ด้านหลังก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ชั้นหนึ่งนี้มีคนอยู่ไม่น้อย ในหมู่พวกนั้นก็มีบางคนที่จำเขาได้
“หลี่โม่?”
“โฮ่! เป็ศิษย์สายตรงผู้นั้นจริงๆ ด้วย”
“เขามาทำอะไรที่นี่? ฝึกฝนวิชาหรือ?”
“ซี๊ด... ผิวพรรณละเอียดอ่อน ไม่น่าจะมีพื้นฐานด้านวิชาฝึกกายเนื้อ แถมยังไม่ถึงขั้นปราณภายใน ก็ไม่จำเป็มาต้องอาศัยปราณโลหะขัดเกลาปราณภายในกระมัง?”
ทุกคนต่างสับสนงุนงง
แต่หลี่โม่ไม่ได้คิดจะอธิบายให้คนอื่นฟังเลยแม้แต่น้อย เขาก้าวเดินตรงไปราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ห้าสิบก้าว
“ฮู่วว... เดินไม่ไหวแล้ว”
เพียงเดินมาถึงตรงนี้ ิัของเขาก็เริ่มรู้สึกเจ็บแปลบแล้ว
ลำพังตนเอง ชั้นแรกเพียงห้าสิบก้าวก็เป็ขีดจำกัดแล้ว
หากคิดจะเดินหน้าต่อไป ร่างกายก็จะได้รับาเ็อย่างไม่อาจฟื้นฟูได้
“ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ยังเหลือสิบปี”
“เริ่มฝึกวิชากายาศาสตราสังหารขั้นพื้นฐานก่อนก็แล้วกัน”
หลี่โม่รวบรวมจิตใจ ในใจพลันคิด
【บรรจุความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์สิบปีสำเร็จ】
【ปีที่หนึ่ง เ้าได้ศึกษาวิชากายาศาสตราสังหารอย่างละเอียด เข้าใจวิธีการควบคุมพลังคมกล้าแห่งการสังหารของอาวุธ เพื่อขัดเกลาร่างกายของตนเอง】
【ปีที่สาม หลังจากฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง เ้าค้นพบว่าหากควบคุมได้ดี ก็สามารถขัดเกลาทั้งอวัยวะภายในทั้งห้าและหกได้พร้อมกัน】
【ปีที่ห้า วิชากายาศาสตราสังหารของเ้าบรรลุขั้นเชี่ยวชาญแล้ว】
【ปีที่สิบ เ้าควบคุมได้อย่างละเอียดลออ สามารถสร้างแรงสะท้อนกับศาสตราวุธนานาชนิดได้อย่างลึกซึ้งในจิติญญา สามารถฝึกฝนไปถึงเส้นลมปราณได้แล้ว】
【ความเข้าใจสิ้นสุดลง】
【เ้าได้บรรลุวิชากายาศาสตราสังหารขั้นแตกฉานแล้ว!】
พลันบรรลุในทันที
หลี่โม่ััได้ถึงโลกใบใหม่ในทันที
หากเปรียบพลังคมกล้าแห่งการสังหารของอาวุธที่แผ่ซ่านอยู่เป็ธารน้ำ เขาก็คือสัตว์บก
หากธารน้ำไหลลึก ต่อให้ไร้คลื่นลม เขาก็อาจจะจมน้ำตายได้
แต่เมื่อวิชาสังหารร่างแปดอาวุธบรรลุขั้นแตกฉานแล้ว ก็ทำให้เขากลายเป็ผู้เชี่ยวชาญคลื่นลม หากไม่ใช่คลื่นั์โหมกระหน่ำ ก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลย
“ฝึกกายเนื้อ!”
หลี่โม่นั่งขัดสมาธิ
พลังคมกล้าแห่งการสังหารของอาวุธที่ล้อมรอบตัวเขา ถูกเขาดึงเข้าสู่ร่างกาย
พลังคมกล้านั้นอันตราย แต่ภายใต้การชี้นำอันประณีตของเขา มันกลับไม่สร้างความเสียหายแม้แต่น้อย แต่กลับช่วยขัดเกลาร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้น
หยกที่ไม่ถูกเจียระไนย่อมไม่เปล่งประกาย!
“นี่เขาเริ่มฝึกแล้วหรือ?”
“พวกเ้าเดาซิว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน?”
“ข้าพนันว่าไม่ถึงธูปดอกหนึ่ง”
“ธูปดอกหนึ่ง? ทนได้ถึงหนึ่งร้อยลมหายใจก็เก่งแล้ว!”
“พวกเ้าไม่ฝึกวิชากันหรือไร? มัวแต่สนใจเื่ของผู้อื่นทำไมกัน?”
“ข้าเป็ช่างตีเหล็กโว้ย ขอบใจ”
เห็นหลี่โม่นั่งนิ่งราวกับพระเฒ่าที่เข้าฌาน คนบางกลุ่มก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน
บางคนถึงกับพนันกันว่าศิษย์สายตรงผู้นี้จะทนอยู่ในที่แห่งนี้ได้นานเพียงใด
แต่ทว่าวงพนันยังไม่ทันตั้งขึ้นดี
หลี่โม่ที่อยู่ไม่ไกลก็พลันยืนขึ้น
“ให้ตายเถอะ! นี่ไม่ถึงสามสิบลมหายใจด้วยซ้ำ! เขาไม่ไหวแล้วหรือนี่!”
“วางเงินได้เลยนะ! ฮ่าๆๆ ขอบคุณศิษย์สายตรงหลี่ที่ช่วยให้ข้าได้เงิน!”
“เดี๋ยวสิ เขาไม่ได้เดินกลับนี่นา!”
เมื่อได้ยินคนผู้นั้นะโ ทุกคนก็พลันตระหนักได้
ใช่แล้ว ศิษย์สายตรงผู้นี้ไม่ได้หันหลังกลับ แต่ยังคงเดินลึกเข้าไปข้างใน
ดูท่าแล้ว คงกำลังจะลงไปชั้นที่สองแล้ว
อะไรกันเนี่ย?
เขาไม่กลัวตายหรือไร?!
“ไม่ถูกนี่นา เขาดูเหมือนจะไม่เป็อะไรเลยนะ?”
“ ผีหลอกชัดๆ!”
“ให้ตายเถอะ เขาลงไปชั้นที่สองจริงๆ ด้วย!”
ทุกคนต่างงงงวย
เห็นเพียงเด็กหนุ่มก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ผ่านประตูที่อยู่สุดทางของชั้นแรก แล้วเงาร่างของเขาหายไปที่ปลายบันได
ไม่สิ ตอนที่พวกเขาเปิดวงพนัน ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเื่แบบนี้ขึ้น แล้วอย่างนี้จะคิดเงินอย่างไรล่ะ?
ต้องรู้ไว้ว่าขั้นปราณภายในหลายคนก็เพียงแค่หยุดอยู่ที่ชั้นแรกเท่านั้น
เหตุใดหลี่โม่ถึงได้ก้าวเดินราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านของตน?
“พลังคมกล้าแห่งการสังหารของศาสตราวุธเหล่านี้ ไม่น่าจะมาจากศาสตราวุธที่เก็บไว้ในถ้ำเทพศาสตราทั้งหมด”
“หรือว่าที่ชั้นล่างสุดของถ้ำเทพศาสตรา ยังมีสิ่งอื่นอีก?”
หลี่โม่สังเกตเห็นเงื่อนงำบางอย่าง
ผู้อื่นอาจตรวจไม่พบ แต่บางทีอาจเป็เพราะกายาเซียนกำเนิดลึกล้ำ ทำให้เขาไวต่อกลิ่นอายประเภทนี้มาก หากไปเป็ช่างตีเหล็ก ย่อมต้องทำได้ดีราวกับปลาได้น้ำ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ยิ่งอยากสำรวจให้ลึกเข้าไปอีก
ชั้นที่สอง
ศาสตราวุธที่ปรากฏแก่สายตาลดลงไปมาก แต่ก็ยังคงมีศาสตราวุธครบทุกแขนง
หลายเล่มมีรอยบิ่น ชัดเจนว่าเคยผ่านการต่อสู้มาแล้ว
เขารู้สึกว่าสมองหนักอึ้ง จิตสำนึกสับสนปั่นป่วน
ราวกับมีกระแสความเย็นะเืแทรกซึมเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
“จิตสังหาร...”
หลี่โม่หยิบยาชำระจิตออกมา อมไว้ใต้ลิ้นหนึ่งเม็ด ความรู้สึกนั้นก็พลันอันตรธานไป หรือััได้เพียงเล็กน้อย
“ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อีก”
หลี่โม่เดินต่อไปอีกร้อยก้าว
จู่ๆ เขาก็เห็นเงาร่างคนผู้หนึ่ง
เด็กหนุ่มสวมเสื้อศิษย์สายตรงลายเมฆสีขาว สวมมงกุฎสีทองม่วง บริเวณลำคอ ิัสามารถมองเห็นลวดลายคล้ายเกล็ดได้อย่างเลือนราง
ใบหน้าอันงดงามอ่อนเยาขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกถึงความพยายามดิ้นรนอย่างหนัก
มู่หรงเซียว?
ชื่อนี้ผุดขึ้นมาในความคิดของหลี่โม่
เขาจึงใช้เนตรทิพย์ลิขิตฟ้ามองไป
【ชื่อ: มู่หรงเซียว】
【อายุ: 16】
【รากฐานกระดูก: กายาัคำรน】
【ขั้นปราณโลหิต: ห้าเส้นชีพจร】
【ลิขิตฟ้า: สีน้ำเงินปนดำ】
【คำวิจารณ์: บิดาเป็มนุษย์ มารดาเป็ัที่แปลงกายมา อุปนิสัยดีงาม แต่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากสายเืของตน หากสามารถรวมข้อดีของทั้งสองได้ อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด หากรวมข้อเสียทั้งสอง ย่อมนำภัยพิบัติมาสู่โลก】
【สถานการณ์ปัจจุบัน: ถูกจิตสังหารแทรกซึมเข้าสู่ร่าง เผ่ามารฟื้นคืนชีพ หากไม่รีบแยกตัวออก เกรงว่าอุปนิสัยจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!】
จิตสังหารเข้าสู่ร่าง?
ครั้งสุดท้ายที่มองลิขิตฟ้าของมู่หรงเซียว ยังเป็สีน้ำเงินปนม่วงอยู่เลย
ตอนนี้กลับเป็สีน้ำเงินปนดำแล้ว!
เห็นได้ว่าศิษย์สายตรงกึ่งมนุษย์กึ่งปีศาจผู้นี้ ได้มาถึงจุดเป็จุดตายแล้ว
ชั่วเดียวคือ์ ชั่วเดียวคือนรก!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้