โจวจิ่งวั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า “ท่านอาน้อยอารมณ์ไม่ดี ทำให้เสด็จย่าอารมณ์ไม่ดีไปด้วย”
ท่านอาน้อยชื่อว่าเจียงชิงอวิ๋น ปีนี้อายุสิบห้าแล้ว เป็บุตรชายที่เกิดจากฉินซื่อ ซึ่งเป็น้องสาวร่วมมารดาของฉินไท่เฟย เป็ลูกพี่ลูกน้องของโจวปิง
ตระกูลเจียงเพิ่งพบกับภัยมหันต์ ฉินไท่เฟยจึงส่งคนไปรับเจียงชิงอวิ๋นที่กำลังเศร้าใจที่สุดมาพักที่เมืองเยี่ยน เพื่อเลี่ยงเื่ราว
“ท่านย่าของเ้าเห็นชิงอวิ๋นเป็เหมือนลูกแท้ๆ” โจวปิงคิดถึงเจียงชิงอวิ๋นผู้เป็ลูกพี่ลูกน้องของตน ตระกูลเจียงของเขาต้องพบกับโชคชะตาอันน่าเศร้า ตัวเขาก็ป่วยหนักจนซูบผอม ต่อให้ใจแข็งเป็หินก็ยังอดเห็นใจไม่ได้ อีกทั้งเมื่อก่อนตระกูลเจียงก็เคยช่วยเหลือตน เป็กำลังให้ตนสืบทอดตำแหน่งอ๋องได้สำเร็จ นับว่ามีบุญคุณต่อกัน
โจวจิ่งวั่งพูดอย่างทอดถอนใจ “หากมิใช่ว่าตระกูลเจียงเกิดเื่ ปีนี้ชิวกุยจะต้องชิงสามอันดับแรกมาได้แน่”
โจวปิงกล่าวเรียบๆ “ตระกูลพวกเราควรดูแลชิงอวิ๋นให้ดี”
“ขอรับ” โจวจิ่งวั่งเดินออกไปจากห้องหนังสือเพื่อไปเยี่ยมฉินไท่เฟย เขาเดินผ่านระเบียงทางเดินที่มีทิวทัศน์เขียวขจีตลอดทั้งสองฝั่งทางเข้าไปในประตูวงจันทร์มีเถาไม้เลื้อยขึ้นพันเกี่ยว มองไปเห็นเงาร่างในอาภรณ์สีขาว ร่างกายสูงทว่าดูซูบผอมกำลังยืนอยู่ตรงประตูวงจันทร์ เขาจึงเดินเข้าไปหา
ไม่ใช่ใครอื่น คือเจียงชิงอวิ๋นนั่นเอง
“ท่านอา เหตุใดไม่มีใครช่วยประคองเล่า”
“ข้าไม่ให้พวกเขามาเป็เพื่อนข้าเอง ข้าอยากเดินเล่นคนเดียว ไม่ได้มาบ้านเ้าหลายปี ข้าจำทางไม่ได้แล้ว” เจียงชิงอวิ๋นหันมา เขามีใบหน้าทรงเหลี่ยม คิ้วเข้มหนาพาดเฉียง แก้มซูบตอบ ดวงตาลึก สีหน้าซีดขาวผิดปกติ คิ้วเข้มขมวดแน่น บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาเดินมาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็เหนื่อยจนเดินต่อไปไม่ไหว
เดิมทีเขาเป็บุรุษวัยเยาว์ที่หน้าตาหล่อเหลาและมีบุคลิกสง่างาม แต่เพราะเสียใจจึงป่วยหนักจนเกือบตาย ร่างกายเจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด ดูไม่มีสง่าราศีแม้แต่น้อย ใบหน้าจึงดูอมทุกข์เพราะเหตุนี้
“สิบปีก่อนตอนที่เ้ามาบ้านข้าเพิ่งจะอายุห้าขวบ เวลาผ่านไปนานเหลือเกิน ย่อมจำไม่ได้อยู่แล้ว...” โจวจิ่งวั่งเดินเข้าไป ใช้สองมือประคองร่างที่อ่อนแรงของเจียงชิงอวิ๋น
“ตอนนั้นเ้าเพิ่งอายุแปดขวบ ผ่านไปเพียงพริบตาเดียวเ้าก็อายุสิบแปดแล้ว แต่งชายาเอกให้กำเนิดบุตรแล้ว ดีจริงๆ”
โจวจิ่งวั่งกล่าวปลอบใจ “ผ่านไปอีกสองปีกว่าเ้าก็คงออกจากการไว้ทุกข์แล้ว ตอนนั้นก็สามารถแต่งภรรยามีบุตรชายสักคน เ้าก็มีครอบครัวที่กลมเกลียวเต็มไปด้วยความสุขได้”
“ข้าจะไว้ทุกข์ให้ครอบครัวห้าปี” เจียงชิงอวิ๋นพูดยังไม่ทันจบ ดวงตาทั้งสองก็คลอไปด้วยน้ำตา เขาพยายามกลั้นไว้ไม่ให้มันไหลออกมา
การไว้ทุกข์จะต้องสวมชุดขาว กินเจ ไม่สามารถแต่งภรรยาและมีบุตรได้
หากไว้ทุกข์จริงๆ แม้เป็คนทั่วไปก็ยังรับไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรุษสูงศักดิ์ที่กินดีอยู่ดีมาทั้งชีวิตเลย
แต่ตอนนี้จิตใจของเจียงชิงอวิ๋นคล้ายกับตายไปแล้ว หากไม่ต้องรับผิดชอบเซ่นไหว้บรรพบุรุษและสืบทอดสกุลให้ตระกูลเจียง คงอยากไปเยือนน้ำพุเหลืองกับครอบครัวที่ตายอย่างอนาถแล้ว
โจวจิ่งวั่งได้ยินน้ำเสียงของเจียงชิงอวิ๋นที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า จึงรีบพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ห้าปีก็ห้าปี เ้าดูแลรักษาร่างกายให้ดีก่อนเถิด”
เมื่อเทียบกับเจียงชิงอวิ๋นที่มีความทุกข์ตรมและความโศกเศร้าอัดแน่นอยู่เต็มอก บ้านหลี่แห่งหมู่บ้านหลี่กลับอยู่ในความสุขและความวุ่นวายเื่การซ่อมแซมปรับปรุงบ้าน
เข้าสู่เดือนหก อากาศยังคงร้อนอบอ้าว แดดจ้าติดต่อกันมาสามวันแล้ว ดวงอาทิตย์สาดแสงจนพื้นแทบจะลุกเป็ไฟ
วันแดดจ้าทำการค้าขายได้ บ้านหลี่จึงดูเื่ซ่อมแซมบ้านไปพลางทำการค้าขายไปพลาง ทุกวันยังมีรายรับอย่างมั่นคง
ตะวันยามเย็นสาดส่อง แต่ละบ้านมีควันไฟพวยพุ่ง
บริเวณลานบ้านของบ้านสวี่ มีบุรุษวัยฉกรรจ์สวมเสื้อพับครึ่งแขน กางเกงมีรอยปะชุนมากมาย กำลังถือถ้วยกินโจ๊กแป้งข้าวโพดผสมผักอยู่
ได้กินไข่ไก่ทุกมื้อในทุกวัน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเื่สารอาหารอีก เมื่อรวมกับค่าแรงวันละเก้าทองแดง ชายฉกรรจ์ทั้งสิบสองคนจึงทำงานให้บ้านหลี่อย่างทุ่มเทเป็พิเศษ
เมื่อกินโจ๊กหมดก็กินแป้งย่างต่อ ส่วนไข่ไก่เก็บใส่กระเป๋าไว้ให้คนชราและเด็กๆ ที่บ้านกิน จากนั้นจึงไปรับค่าแรงที่บ้านหวังไห่
หวังไห่ดูแลอย่างเข้มงวด สรุปค่าแรงของชายฉกรรจ์ทั้งสิบสองคนในวันทำงานเลย หากทำงานไม่ดีก็รับค่าแรงไปแล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องมาอีก
หลายวันก่อนชายฉกรรจ์ทั้งสิบสองคนต่างยิ้มแย้มรับค่าแรงแล้วรีบกลับบ้าน แต่วันนี้กลับอยู่ต่อ
“ลุงใหญ่ บ้านหลี่จะสร้างเตียงเตา งานพวกนี้พวกเราทำไม่ได้ ต่อให้บ้านหลี่ร่างแบบแปลนมาก็คงทำได้ไม่ดี”
“หากพวกเราทำเตียงเตาเสร็จแล้ว แต่บ้านหลี่ไม่ชอบใจจะทำอย่างไรขอรับ”
“ลุงใหญ่ ไม่อย่างนั้นท่านไปพูดกับบ้านหลี่สักหน่อยว่า อย่าสร้างเตียงเตาเลย ดีหรือไม่”
หวังไห่รู้สึกทุกข์ใจ จึงพูดไปว่า “พวกเ้าพูดเื่เตียงเตาให้ข้าฟังก่อน”
หวังเซี่ยจื้อยิ้ม “เตียงเตาก็คือ เตียงดินที่ให้ความร้อนในฤดูหนาว” นี่คือคำอธิบายในประโยคเดียวของบ้านหลี่ ทั้งยังอธิบายอย่างละเอียดด้วยว่า “ให้เชื่อมเตาที่ห้องครัวเข้ากับเตียงดินในห้องนอน เมื่อจุดไฟที่เตา เตียงดินก็จะร้อนไปด้วย พอคนไปนั่งนอนก็จะไม่หนาวแล้ว”
หวังไห่ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จึงฟังคนอื่นที่พากันเข้ามาอธิบายต่อไป รู้สึกเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก สรุปแล้วคิดว่าเตียงเตาเป็ของแปลกใหม่ ฟังแล้วดูดี แต่เกรงว่าการใช้งานจริงจะให้ผลไม่ดี
หลายวันมานี้ตอนที่ทุกคนมารับค่าแรง ชวีหงสะใภ้ใหญ่ของหวังไห่จะยืนฟังเื่ต่างๆ ในลานบ้านของบ้านหวังไห่อยู่ข้างกำแพง วันนี้นับว่าได้ยินเื่ที่น่าสนใจแล้วจึงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เดินส่ายสะโพกเข้าไปในห้องโถง พูดกับหวังลี่ตงที่กำลังดื่มสุราด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “บ้านหลี่ปรับปรุงบ้านจนไม่มีเงินแล้ว ในห้องนอนไม่สร้างเตียงไม้ แต่จะสร้างเตียงดิน!”
บ้านหลี่จะซ่อมแซมบ้านโดยให้ค่าแรงวันละเก้าทองแดง หวังไห่เรียกคนตระกูลหวังไป แต่ไม่เรียกหวังลี่ตงบุตรคนโตและหวังชุนเฟินบุตรคนรอง
หวังลี่ตงถูกชวีหงหัวเราะเยาะทุกวัน แต่คราวนี้เห็นว่าชวีหงไม่เยาะเย้ยตนแล้ว แต่กลับไปหาเื่หัวเราะเยาะบ้านหลี่แทน จึงถามอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “เตียงดินอะไร”
“เตียงที่ใช้ดินทำ!” ชวีหงกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉา พูดเหน็บแนมขึ้นว่า “มีแต่คนตายที่จะนอนในดิน บ้านหลี่ทำเตียงดินคงใกล้ตายแล้ว”
หวังลี่ตงรีบกระซิบบอก “บ้านหลี่ประจบประแจงใต้เท้าหลิวในตำบล ตอนนี้กำลังรุ่งเรือง นังโง่... เ้าเบาเสียงหน่อย”
ชวีหงไม่กลัวที่หวังลี่ตงพูด กลับกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “ข้าว่าพ่อของเ้าถูกลาเตะหัวมาหรือไร บ้านหลี่จะสร้างเตียงดินก็ไม่ขัดเลยหรือ”
“พ่อเ้าสิถูกลาเตะหัว!” หวังลี่ตงคิดว่าตนเองแอบว่าหวังไห่ลับหลังได้ แต่ไม่้าให้ชวีหงด่าด้วย
“ไอ้ลูกเต่า กินฉี่แมวเข้าไปหรือ ไม่รู้อะไรเป็อะไรแล้ว ข้าไม่ยอมอยู่ให้เ้าใช้แล้ว” ชวีหงด่าหวังลี่ตงไปหลายประโยคแล้วรีบย้ายก้นเดินไปที่กำแพงด้านหลัง ซึ่งเป็กำแพงที่กั้นระหว่างบ้านของนางกับบ้านของหวังชุนเฟิน
ชวีฮวาภรรยาของหวังชุนเฟิน เป็ลูกพี่ลูกน้องกับชวีหง ทั้งสองเป็คนที่หวังไห่รับมาจากชวีซื่อลูกพี่ลูกน้องของตน
ชวีฮวาเป็คนที่ค่อนข้างอ่อนแอ อายุมากกว่าหวังชุนเฟินสามปี ก่อนหน้านี้มักถูกหวังชุนเฟินตบตีบ่อยๆ ภายหลังนางให้กำเนิดบุตรชายสี่คน
หวังชุนเฟินตีชวีฮวาครั้งใด บุตรชายสี่คนก็จะรีบเข้ามาช่วยด้วยความโกรธ บ้างจับเอวบ้างก็จับขา กดให้หวังชุนเฟินอยู่นิ่ง ทำให้เขาตบตีชวีฮวาไม่ได้อีก
“ดูท่าทางโง่งมของเ้าสิ ทำอาหารรสชาติแย่จนกินไม่ได้ ขนาดหมายังไม่กินเลย!” หวังชุนเฟินปาถ้วยลงพื้นอย่างแรง ะเิเสียงด่าออกมา
นี่เพิ่งแยกบ้านไม่กี่วันถ้วยบ้านเขาก็แตกหมดแล้ว ทั้งหมดกลายเป็ถ้วยไม้หักๆ
ปีนี้ชวีฮวาอายุสามสิบห้าแล้ว บริเวณหางตามีรอยตีนกา ผมขาวไปครึ่งหนึ่ง ดูแล้วยังแก่กว่าเฟิงซื่อที่อายุเท่ากันหลายสิบปี
นางถูกตะคอกใส่กลัวจนลนลาน รีบก้มลงไปเก็บถ้วยไม้ขึ้นมาจากพื้น พูดเสียงเบาว่า “วันนี้ข้าเลอะเลือนไปแล้ว ใช้ไฟแรงจนโจ๊กเละ เ้าอย่าโกรธเลย ฝืนกินสักคำเถิด”
.......................................