ยามที่โม่เสวี่ยถงตื่นนอนยังนับว่าเช้าอยู่ แต่กว่าพวกโม่หลันจะจับนางแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ขณะเดินทางออกไปตรงกับ่เวลาเร่งด่วนพอดี รถม้าแต่ละคันผ่านเข้าประตูวังหลวงตามลำดับ จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนไปบนถนนที่กว้างขวางและสะอาดสะอ้าน ที่นั่นไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับๆ ผ่านหูผู้คนเป็ระยะ
ผู้มาทุกคนล้วนเป็ธิดาภรรยาเอกของสกุลสูงศักดิ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจรรยามารยาทอย่างเข้มงวด ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือวังหลวง แม้ว่าจะมีศักดิ์ฐานะสูงส่งปานใดก็ไม่กล้าส่งเสียงดังโหวกเหวก เพราะหากเสียมารยาท ไม่เพียงแต่จะเสียหน้าเท่านั้น อาจพาความลำบากไปถึงคนทั้งครอบครัวอีกด้วย
จนกระทั่งถึงที่หมายก็ลงจากรถม้า เปลี่ยนเป็เกี้ยวหลังเล็กให้คนหามไปส่งที่อุทยานหลวง งานเลี้ยงชมบุปผาจัดขึ้นที่มุมฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุทยาน สถานที่แห่งนั้นเป็วังฤดูสารท ตรงกลางสวนจึงเต็มไปด้วยบุปผาที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วง มีดอกจวี๋ฮวาเป็หลัก ท่ามกลางต้นจวี๋ฮวาที่งดงามแปลกตายังแซมประดับไปด้วยต้นฝูหรง ไห่ถังฤดูสารท รวมถึงต้นกุ้ยฮวาที่แผ่กิ่งก้านใหญ่โต
กลิ่นบุปผาหอมระรวยไปไกลถึงสิบลี้ ทันทีที่ลงจากเกี้ยว จมูกัักลิ่นเครื่องหอมจรุงจิตให้ความรู้สึกสดชื่นราวกับยืนอยู่นครเจียงหนานยามฤดูกาลบุปผาบานสะพรั่ง
หลังลงจากเกี้ยว โม่หลันช่วยจัดกระโปรงของนางให้เป็ระเบียบ แม้กระทั่งรอยยับเล็กๆ ยังรีดจนเรียบกริบ
ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงฉลอง เหล่าคุณหนูมากมายต่างจับกลุ่มคุยกระซิบกระซาบ ชี้ชวนทัศนาบุปผางามอย่างรื่นรมย์ เนื่องจากเป็งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในวังหลวง ผู้ได้รับเทียบเชิญล้วนเป็บุตรธิดาภรรยาเอกของขุนนางใหญ่ ทางหนึ่งเพื่อผูกสัมพันธ์กับเหล่าข้าราชบริพาร และอีกทางหนึ่งก็เพื่อให้บุตรธิดาของแต่ละสกุลได้พบปะทำความรู้จักกัน หากทั้งสองฝ่ายมีใจตรงกันก็สามารถขอพระราชทานสมรสจากฮองเฮาได้ ดังนั้นจึงเป็งานเลี้ยงที่มีบรรยากาศชื่นมื่นยิ่งกว่างานงานเลี้ยงธรรมดา หนุ่มสาวจะเข้ามาสนทนากันถือเป็เื่ปรกติ
ในงานเลี้ยงของต้าฉินมิได้มีข้อห้ามระหว่างชายหญิงมากมายนัก
“ได้ยินมาว่าธิดาสกุลโม่ที่มาครั้งนี้ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ แต่เป็คุณหนูสาม เขาลือกันว่าคุณหนูผู้นี้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ นิสัยแปลกประหลาด ซ้ำยังเย่อหยิ่งจองหองเป็ที่สุดด้วยนะ” เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวสองสามคนลอยมาจากบริเวณไม่ไกลนัก
“สกุลโม่มีคุณหนูสามที่ไหน คงมีคุณหนูใหญ่ที่พอจะออกหน้าออกตาได้หน่อยกระมัง ทั้งบ้านเห็นมีแต่บุตรชายบุตรสาวของอนุภรรยามิใช่หรือ ก็พูดกันไป... ไม่เห็นจะมีอะไรน่าฟัง”
“บุตรสาวภรรยาเอกน่ะมีอยู่ ได้ยินมาว่าเป็คุณหนูอารมณ์ร้ายไม่มีเหตุผล นิสัยก็แปลกประหลาด หน้าตาก็ไม่อาจพบปะผู้คน ดังนั้นตอนที่ใต้เท้าโม่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง จึงทิ้งบุตรสาวภรรยาเอกผู้นั้นไว้เมืองเล็กๆ ติดชายแดน สงสัยนางคงจะทำเื่ไม่ดีที่ให้คนรู้ไม่ได้ มิเช่นนั้นอยู่ดีๆ จะถูกทิ้งแบบนั้นได้อย่างไร”
“มีเื่น่ากลัวแบบนั้นจริงหรือ” ทุกคนต่างประหลาดใจ
“เช่นนั้นก็ต้องพูดว่าโม่เสวี่ยิ่น่าสงสารยิ่ง หน้าตาก็สะสวยเพียงนั้น ความสามารถก็ไม่น้อยหน้าใคร แต่กลับเป็เพียงบุตรอนุภรรยา ปีที่แล้วเพราะที่บ้านไม่มีบุตรสาวภรรยาเอก นางจึงมาเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาได้ ครั้งนี้เกรงว่าคงจะไม่โชคดีแบบนั้นอีก”
“ก็ใช่น่ะสิ มิเช่นนั้นโม่เสวี่ยิ่ที่เป็เพียงบุตรอนุภรรยาจะเชิดหน้าชูตาในเมืองหลวงได้อย่างไร แต่แม้ว่านางจะดีงามปานใด ก็มีสถานะเป็บุตรอนุอยู่ดีนั่นแหละ”
“ได้ยินมาว่าอนุภรรยาผู้นั้นใกล้จะได้ยกขึ้นเป็ภรรยาเอกแล้วนี่ รอแค่การแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากใต้เท้าโม่เท่านั้น”
“แต่นั่นก็ยังไม่ถือว่าเป็ธิดาภรรยาเอกอย่างแท้จริงอยู่ดี”
อารมณ์ร้ายไม่มีเหตุผล นิสัยแปลกประหลาด หน้าตาขี้เหร่จนไม่อาจพบปะผู้คน?
พวกนางช่างให้ความสำคัญกับตนเองเสียเหลือเกิน ขนาดถูกทิ้งอยู่เมืองอวิ๋นเฉิง ‘ชื่อเสียง’ ยังดังกระหึ่มมาถึงที่นี่ คนเหล่านี้เมื่อกล่าวถึงโม่เสวี่ยิ่มักมีแต่ถ้อยคำชื่นชมเป็ส่วนใหญ่ แต่พอเอ่ยถึงนางกลับกลายเป็คนไร้คุณธรรมความสามารถ ริมฝีปากผลิยิ้มน้อยๆ ความงดงามเจิดจรัสฉายเด่นอยู่ท่ามกลางมวลบุปผานานาพรรณและผู้คนมากมาย
เดิมทีนางก็มีหน้าตางดงามพริ้มเพราอยู่แล้ว แม้จะยังอายุน้อย รูปร่างยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็นับว่างดงาม บริสุทธิ์สดใสไร้เดียงสา ดวงตากลมคู่นั้นมีประกายหยดน้ำระยิบระยับประหนึ่งไข่มุกราตรี ดวงหน้าดั่งหยกขาว ริมฝีปากแดงดูเอิบอิ่ม ยืนเป็สง่าอยู่ข้างพุ่มดอกจวี๋ฮวา อาภรณ์แพรโปร่งขาวบริสุทธิ์สะบัดพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหว ผีเสื้อหลากสีสันบินมาเกาะชายอาภรณ์ที่ลอยละลิ่วอยู่ในอากาศ ยิ่งขับความงดงามให้โดดเด่นขึ้นมา
ทิวทัศน์งดงามที่อยู่รอบกายถูกหลอมรวมกลมกลืนกับตัวนางไปแล้ว
สายตาผู้คนไม่น้อยทอดมาที่ตัวนาง อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ดูเรียงง่ายทว่าไม่เสียความงดงาม เสียงอุทานอื้ออึงไม่หยุดหย่อน บุตรสาวบ้านไหนกันหนอ ช่างงามพิลาสถึงเพียงนี้
“ลูกผู้น้อง เป็เ้าจริงๆ ด้วย ทำไมมาช้านักเล่า ข้าเดินหาเ้าอยู่นานแล้ว” ลั่วิจูไม่รู้มาจากไหน พอเห็นโม่เสวี่ยถงก็หน้าบาน รีบเข้ามากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“พี่หญิงรองมาเช้าจริงๆ ถงเอ๋อร์มาช้า คิดจะไปตามหาพี่หญิงรองอยู่พอดี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ที่ไหน กำลังร้อนใจอยู่ทีเดียว” น้ำเสียงอ่อนหวานแฝงความเก้อเขินอยู่เล็กน้อย
“น้องหญิงก็จริงๆ เลย บอกให้มาด้วยกันก็ไม่ยอม ดูซิ เกือบหากันไม่เจอเสียแล้ว” ลั่วิจูทำเสียงเข้ม นางกลัวว่าโม่เสวี่ยถงจะไม่รู้ทาง ดังนั้นจึงบอกให้นางไปจวนฝู่กั๋วกงก่อนแล้วค่อยออกมาด้วยกัน แต่โม่เสวี่ยถงกลับปฏิเสธ สกุลโม่ย่อมมีระเบียบของสกุลโม่ แม้จะเป็บ้านของท่านตาท่านยายก็ไม่อาจให้บิดาเสียหน้าได้
นางเป็บุตรสาวภรรยาเอกผู้สง่าผ่าเผย จะให้ตกเป็คำครหาของผู้คนได้อย่างไรว่าขนาดแค่มางานเลี้ยงยังไม่กล้ามาคนเดียว แม้นางจะรู้ว่าลั่วิจูมีเจตนาดี แต่คำนินทาที่มีต่อนางมากมายถึงเพียงนั้น หากไม่ระวังตัวก็ไม่มีทางลบล้างถ้อยคำเ่าั้ไปได้ ในชาติภพนี้นางไม่ยอมเดินซ้ำรอยเดิมเหมือนเมื่อชาติที่แล้วอีก สำหรับผู้ที่มีชีวิตมาถึงสองภพเช่นนาง ย่อมทราบดีว่าชื่อเสียงของสตรีคนหนึ่งมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
“ขอบพระคุณเ้าค่ะพี่หญิงรอง ข้าเพิ่งมาถึงไม่นาน ลำบากพี่หญิงต้องมารอข้าแล้ว” โม่เสวี่ยถงกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เ้านี่นะ จริงๆ เลย! เอ่อ... จริงสิ วันนี้คุณหนูใหญ่ของจวนเ้าก็มาด้วยหรือ นางเป็บุตรอนุภรรยานี่ เ้าพานางมาด้วยได้อย่างไร” ลั่วิจูยิ้มร่าขณะแกล้งถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง ไม่ได้โกรธเคืองจริงๆ หลังจากจูงมือเดินได้สองก้าวก็หยุดชะงักกะทันหันที่ข้างพุ่มไม้แล้วกล่าวตำหนิเสียงเบา
“พี่หญิงใหญ่?” โม่เสวี่ยถงร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ สีหน้าราวกับแพรฟ้าไร้ตะเข็บ “ข้าไม่ได้พานางมานะ”
โม่เสวี่ยิ่มาแล้วจริงๆ ตามที่นางคาดไว้ทุกอย่าง แต่ก็ยังทำให้นางสะท้านใจอยู่ลึกๆ
“เ้าไม่ได้พามา แล้วนางเข้ามาได้อย่างไรเล่า” ลั่วิจูตกตะลึง หัวคิ้วมุ่นขมวดหันกลับไปพูดกับสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง “เมื่อครู่ที่ข้าเพิ่งเห็นคือคุณหนูใหญ่มิใช่หรือ”
เนื่องจากโม่เสวี่ยถงไม่อยู่ ฟางอี๋เหนียงจึงเป็ผู้จัดการทุกอย่างในสกุลโม่ ดังนั้นยามที่มีแขกไปใครมาผู้ที่ออกมาต้อนรับก็คือคุณหนูใหญ่โม่ผู้นี้ แม้ว่าลั่วิจูจะไม่ค่อยถูกชะตากับนาง แต่ก็พบปะอย่างเสียไม่ได้อยู่หลายครา ไม่เพียงแต่นางจะจำหน้าได้ แม้แต่สาวใช้ประจำตัวก็จำได้เช่นกัน
“ใช่แล้วเ้าค่ะ คุณหนูที่เดินไปกับคุณหนูอีกสองสามคนเมื่อครู่ก็คือคุณหนูใหญ่โม่แน่นอน” สาวใช้ตอบด้วยกิริยานอบน้อม
“เ้าดูสิ คุณหนูใหญ่บ้านเ้าก็มาโน่นแล้วมิใช่หรือ แต่น่าแปลก นางไม่ได้ตามเ้ามาจริงๆ หรือ” ลั่วิจูชี้นิ้วทำตาโต ลากเสียงสูงย้อนถามอย่างฉงนฉงาย
ดูเหมือนว่าเสียงของนางจะดังไปเกินไปจริงๆ จึงลอยเด่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนละแวกนั้น คนที่ยืนคุยอยู่ด้านข้างจำนวนมากจึงหันศีรษะไปมองพวกนางเป็ตาเดียว
เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบข้างต่างมุ่งความสนใจมาที่พวกนาง โม่เสวี่ยถงก็กระตุกชายเสื้อของลั่วิจูเบาๆ
“กลัวอันใด คุณหนูใหญ่ของบ้านเ้า ถ้าไม่ใช่เ้าพามาหรือว่าจะมีผู้อื่นพาเข้ามาเล่า แต่จะเป็ไปได้อย่างไร ใครจะพาบุตรสาวอนุภรรยาของบ้านผู้อื่นเข้ามาได้” ลั่วิจูมินำพาสิ่งใด เอื้อมมือมาจูงโม่เสวี่ยถง เพียรแต่จะให้นางพูดถึงเื่นี้ต่อไปให้ได้
บุตรสาวอนุภรรยาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผา แม้ว่าจะเป็กรณีพิเศษจริงๆ ก็ต้องเดินตามอยู่ด้านหลังบุตรสาวภรรยาเอกของบ้านตน จะไปเดินตามหลังบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลอื่นได้อย่างไร และผู้ใดจะช่วยพาบุตรอนุภรรยาของบ้านอื่นเข้ามาได้ นี่เป็เื่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ชั่วขณะนั้นผู้คนต่างหูผึ่งเงี่ยหูฟังกันเป็แถว
ยิ่งมีคนพิจารณาโม่เสวี่ยถงั้แ่หัวจรดเท้า จากบทสนทนาที่พวกนางคุยกันเมื่อครู่ก็รู้ได้ว่า คุณหนูผู้นี้คือคุณหนูสามสกุลโม่ที่ลือกันว่ามีนิสัยแปลกประหลาดชอบเก็บตัว เย่อหยิ่งจองหอง ไร้ความสามารถ หน้าตาก็ขี้ริ้วขี้เหร่ ข่าวลือไร้สาระนั่นมาจากไหนกัน หากแบบนี้เรียกว่าขี้ริ้วขี้เหร่ ที่นี่คงไม่มีใครหน้าตาดูได้อีกแล้ว
ข่าวลือนั่นหลอกลวงชัดๆ!
และหากข่าวลือเป็คำหลอกลวง แล้วผู้ใดเล่าที่เป็คนปล่อยข่าวออกมา?
ผู้คนจำนวนมากยิ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็น ฉวยโอกาสที่รอบบริเวณมีเพียงเสียงกระซิบกระซาบ เงี่ยหูฟังเสียงของลั่วิจูที่ไม่เบาสักนิด
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าเพิ่งมาจึงยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ หรือว่าพี่หญิงใหญ่จะมาจริงๆ พี่หญิงรองพาข้าไปหาพี่หญิงใหญ่หน่อยเถิด คงไม่ใช่ว่ามาหาข้าเพราะมีธุระอันใดหรอกกระมัง” รอยยิ้มที่ริมฝีปากของโม่เสวี่ยถงเต็มไปด้วยความเป็ห่วง คิ้วงามมุ่นเข้าเล็กน้อยดูแช่มช้อยปนน่าสงสาร ใครเห็นแล้วต่างรู้สึกดี แต่กลับมองออกว่านางกำลังวุ่นวายใจอย่างแท้จริง
“ช่างเถิดน้องสาว ข้าเห็นพี่สาวเ้ากำลังคุยสนุกสนานอยู่กับคุณหนูคนอื่นๆ อยู่ ไหนเลยจะมีใจมาหาเ้า เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามาร่วมงานเลี้ยง มาแล้วก็ไม่บอกเ้าสักคำ เ้าก็จริงๆ เลย ยังวิตกว่านางจะมาหาอีก ถ้านางจะมาก็คงมาตั้งนานแล้วล่ะ” ลั่วิจูรู้สึกโมโหแทนโม่เสวี่ยถง จึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “วันนี้พี่สาวเ้าแต่งตัวมาสวยพริ้ง ชุดนั้นคงจะทุ่มเทใจตัดมาเป็พิเศษ แล้วจะแค่แวะผ่านทางมาได้อย่างไร”
“แม้ว่าสองสามวันนี้พี่ใหญ่จะตัดชุดใหม่ก็จริง แต่ไม่เคยพูดว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงเลย ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะเข้าใจผิดก็ได้” โม่เสวี่ยถงผลิยิ้มอ่อนโยน แก้ตัวแทนโม่เสวี่ยิ่
“เ้านี่ก็... ขนาดนี้แล้วยังดูไม่ออกอีกหรือ แต่ช่างเถอะ! ต่อไปก็อยู่ห่างๆ นางไว้หน่อยก็แล้วกัน” ลั่วิจูรู้สึกฉุนจนอยากจะตีนางเพื่อเตือนสติสักเผียะ ท่าทางแม่ลูกคู่นั้นเห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยากครองตำแหน่งภรรยาเอกและบุตรสาวภรรยาเอกจนตัวสั่น แต่ลูกผู้น้องของตนกลับเพียรแต่จะไว้หน้าพวกนางสองแม่ลูก แล้วจะไม่ให้ตนเองรู้สึกเดือดดาลได้อย่างไร
“โอ๊ะ! ผู้นี้คือคุณหนูสามโม่ใช่หรือไม่ ไม่นึกเลยว่า...” เสียงประดิษฐ์ให้แหลมเล็กดังขึ้นพร้อมกับร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงไหมปักดิ้นทองลายบุปผาที่ยืนเบื้องหน้า น้ำเสียงเผยความยโสโอหัง หัวคิ้วเลิกขึ้นอย่างท้าทาย เอ่ยวาจาครึ่งๆ กลางๆ ชวนให้คนคิดไปได้หลายทาง
ทุกคนต่างเพ่งความสนใจมาที่พวกนาง สตรีผู้นี้ตั้งใจกล่าวเสียงดังให้คนได้ยิน ต่อให้ไม่คิดสนใจก็คงยาก
ยังไม่ทันที่โม่เสวี่ยถงจะโต้ตอบอันใด ลั่วิจูที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่พอใจเสียแล้ว “หลิงิเยี่ยน คนเขาจะคุยกันเ้าสอดปากเข้ามาทำไม ที่นี่เป็วังหลวง ไม่ใช่จวนติ้งกั๋วกงของพวกเ้า เมื่อสองสามวันก่อนเ้าก็ก่อเื่ไม่จบไม่สิ้น ยังกล้ามาสร้างความวุ่นวายในวังหลวงอีกหรือ อย่านึกว่าใครจะยอมให้เ้ารังแกไปเสียทุกคน หากมาทำตัวโอหังเช่นนี้อีก ข้าจะไปทูลฟ้องฮองเฮาให้ทรงทราบ”
“ลั่วิจู ข้าโอหังแล้วเ้าไม่หรืออย่างไร ข้าพูดกับคุณหนูสามโม่ เ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย นึกว่าตนเองเป็ใครจึงมาชี้คนโน้นว่าคนนี้ในวังหลวงได้ ชอบมายุ่งเื่ของชาวบ้านเสียจริง จะไปฟ้องฮองเฮาหรือ ข้าก็อยากไปเหมือนกัน ข้าไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะช่วยเ้า ไม่ช่วยข้า” หลิงิเยี่ยนชี้หน้าลั่วิจู กระแทกเสียงสวนกลับทันที
ดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็ไม้เบื่อไม้เมากันมานาน หลิงิเยี่ยน... ดวงตาของโม่เสวี่ยถงมีประกายฉายวูบขึ้นมา สตรีผู้นี้คือบุตรสาวภรรยาเอกจวนติ้งกั๋วกง ไฉนจึงเย่อหยิ่งจองหองขนาดนี้
จวนติ้งกั๋วกงไม่เพียงแต่เป็หนึ่งในสี่ของตระกูลบรรดาศักดิ์ชั้นกงที่เป็ผู้บุกเบิกแคว้นเท่านั้น ยังเป็สกุลทางฝ่ายมารดาของฮองเฮา อำนาจบารมีของจวนติ้งกั๋วกงจึงแข็งแกร่งกว่าจวนอื่น ดังนั้นคุณหนูผู้นี้จึงมีที่พึ่งพาบารมีใช่หรือไม่