ทันทีที่เลิกเรียนในตอนค่ำ เซี่ยเจิงก็โทรศัพท์ไปหาป้าหลี่ก่อนเป็อันดับแรก บอกเธอว่าไม่ต้องซื้อของอะไรเตรียมไว้เลย เดี๋ยวพวกเขาจัดการกันเองก็พอแล้ว แต่ป้าหลี่กลับบอกว่าเธอเตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ให้เซี่ยเจิงหิ้วท้องกลับมาทานก็พอ
“ถ้างั้นพวกเรายังจะไปตลาดกันอยู่ไหม? ” ชวีเสี่ยวปอที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินเสียงจากในโทรศัพท์
“ไปสิ” เซี่ยเจิงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง “ซื้ออย่างอื่นไปอีกสักหน่อย นายชอบกินอะไร? ซือจวิ้นแล้วนายล่ะ? ”
“ฉันกินได้หมดเลย !” ซือจวิ้นตอบกลับไป “มีเนื้อก็พอ !”
“ฉันก็ด้วย !” ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้นมาทั้งสองข้างอย่างเห็นด้วย
เซี่ยเจิงตบมือขึ้น พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “โอเค นายสองคนนี่เข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ยเลยจริงๆ ”
ทั้งสามคนพูดคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวพร้อมทั้งเดินออกจากประตูโรงเรียนไป เนื่องจากรีบร้อนออกมาเร็วเกินไป หน้าประตูโรงเรียนจึงมีคนยืนออกันอยู่เป็จำนวนมาก ซือจวิ้นเดินไปข้างหน้าสองก้าว เพื่อดูว่ามีรถแท็กซี่ว่างอยู่บ้างหรือเปล่า แต่เมื่อชะเง้อคอขึ้นไปเขาก็ส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจขึ้นมาทันที :
“เอ๊ะ นั่นเซี่ยเจิง(ญ)ไม่ใช่เหรอ?
………………………………
ต่อให้เซี่ยเจิง(ญ)ไม่ได้ทำตัวให้เป็จุดสนใจ ถึงอย่างไรก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน สถานที่เล็กๆ เพียงเท่านี้ไม่แปลกเลยที่จะบังเอิญเจอเข้า ทว่าน้ำเสียงนี้ของซือจวิ้นกลับฟังดูแปลกๆ ยังไงชอบกล ถึงแม้ว่าจะเห็นเซี่ยเจิง(ญ)แต่ก็ไม่จำเป็ต้องบอกให้เขาสองคนรู้เลยนี่
ชวีเสี่ยวปอมองออกไป แล้วเขาก็พบว่าตอนนี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติไป นอกจากเซี่ยเจิง(ญ)และผู้หญิงอีกคนหนึ่งแล้ว ยังมีผู้ชายอีกหลายคนยืนอยู่ด้านข้าง หนึ่งในนั้นกำลังออกแรงยัดอะไรบางอย่างเข้าไปในมือของเธอ ดูเหมือนว่าเซี่ยเจิง(ญ)จะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ด้วย
“เดินไปดูกัน” ทันใดนั้นเซี่ยเจิงที่ยืนอยู่ด้านหลังชวีเสี่ยวปอก็เอ่ยขึ้นมา
ชวีเสี่ยวปอหันกลับไป แล้วก็เห็นว่าสายตาของเซี่ยเจิงเองก็กำลังมองไปทิศทางเดียวกับเขาอยู่เช่นกัน อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล
“รออะไรอยู่ล่ะ ไปกัน !” ซือจวิ้นเดินนำหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว พลางเร่งขึ้นมาว่า : “เร็วหน่อย เหมือนว่าเธอจะเจอปัญหาเข้าแล้ว”
แล้วก็เป็อย่างที่คาดไว้ เมื่อพวกเขาสามคนเดินเข้าไปไกลก็ได้ยินชายคนหนึ่งในกลุ่มคนที่ยืนล้อมเซี่ยเจิง(ญ)เอาไว้พูดขึ้นมาว่า :
“แค่ให้เบอร์มันยากเย็นขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอเขินใช่ไหม? ไม่ต้องอายไปหรอกนะ”
คำพูดของชายคนนั้นทำให้เพื่อนของเขาหัวเราะขึ้นมายกใหญ่ ขณะเดียวกันใบหน้าของเซี่ยเจิง(ญ)เองก็แดงก่ำขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้น อีกทั้งสายตาของเธอยังเต็มไปด้วยความอับอายและความโกรธเกรี้ยวเป็อย่างมาก
“ฉันไม่เขินนะ” ชวีเสี่ยวปอเดินอ้อมไปยืนอยู่ด้านหลังของเซี่ยเจิง(ญ) “เอาเบอร์โทรฉันไปแทนไหมล่ะ? ” หยุดเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง แล้วถามไปอีกครั้งว่า : “กล้ารึเปล่า? ”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าการที่พวกเขาสามคนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่กลับเข้ามายุ่งเื่คนอื่นแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร ผู้ชายคนที่พูดขึ้นจึงผงะไปเล็กน้อย พร้อมทั้งมองชวีเสี่ยวปอั้แ่หัวจรดเท้า แล้วพูดกลับไปว่า :
“นายเป็ใคร? เกี่ยวอะไรกับนายด้วย? ”
……………………………
ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะเล็กน้อย การกระทำอันแสนจะธรรมดานี้เมื่อเขาทำขึ้นมามันกลับดูมีเสน่ห์อย่างเห็นได้ชัด
“อยากรู้ว่าฉันคือใคร? เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ [1] ฉันคือพ่อนาย”
อีกฝ่ายสบถขึ้นมาว่า “เชี่ย” คำหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า “หาเื่ใช่ไหม? !”
“เฮ้——จะปัดความผิดหรือไง” ซือจวิ้นพูดแทรกขึ้นมา “อยากเต๊าะสาวโรงเรียนเรา ไม่มีทางซะหรอก ไปส่งกระจกชะโงกดูเงาตัวเองก่อนเถอะไป !”
เซี่ยเจิงที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เมื่อเทียบกับความอวดดีของชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นแล้ว เซี่ยเจิงกลับไม่ได้รู้สึกสนใจพวกไก่อ่อนผอมแห้งแรงน้อยอย่างกับกิ่งไม้แห้งตรงหน้านี้เลยสักนิด แม้แต่แรงต่อสู่ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำไป ตรงกันข้ามเซี่ยเจิงกลับชอบดูชวีเสี่ยวปอในตอนนี้มากกว่า มันช่างเหมือนกับตอนที่ตัวเองเพิ่งจะเจอเขาครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้นเลย
เขาที่มีความดื้อรั้นไม่ยอมคน ทั้งยังไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน เซี่ยเจิงชอบเขาที่เป็แบบนี้มากจริงๆ
.............................
เชิงอรรถ
[1] เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ (行不更名坐不改姓) หมายถึง ภาคภูมิใจในตัวเอง กล้าเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองอย่างองอาจ
…………………….
อะไรคือเต๊าะไม่เต๊าะ
ชวีเสี่ยวปอสะกิดเอวของซือจวิ้น เพื่อเตือนให้เขาระวังคำพูดหน่อย ถึงแม้ว่าจะหวังดี แต่เมื่อหญิงสาวได้ยินก็อาจจะทำรู้สึกเสียใจได้ ขณะที่กำลังร้อนใจอยู่นั้นเขาก็แอบสังเกตสีหน้าของเซี่ยเจิง(ญ)ไปด้วย แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่รู้เลยว่าการกระทำอันเล็กน้อยนี้ของเขาล้วนอยู่ในสายตาของเซี่ยเจิง(ช)ทั้งหมด
โชคดีที่เซี่ยเจิง(ญ)ยังคงกัดริมฝีปากด้วยใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอด อีกทั้งไม่ได้สนใจคำพูดของซือจวิ้นเลยแม้แต่น้อย
อีกฝ่ายมีทั้งหมดห้าคน พวกนั้นอาจจะอาศัยจำนวนคนของตัวเองที่มีเยอะกว่า เพราะถึงแม้ว่าเมื่อยืนเทียบกันแล้วเขาสามคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะสูงกว่าพวกนั้นทั้งหมด แต่คนพวกนั้นก็ยังคงวางมาดเย่อหยิ่งอวดเก่งเอาไว้อยู่
“ก็จีบจริงจังน่ะสิ ใช่ไหม? ” อีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เขาคนนี้ออกเสียงพูดไม่ชัด ราวกับมีลูกวอลนัทอัดแน่นอยู่ในปากอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งตอนพูดยังพ่นน้ำลายออกมาอยู่ตลอด ชวีเสี่ยวปอจึงต้องถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งด้วยความรังเกียจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะพ่นน้ำลายมาโดนตัวเอง
ไม่รู้ว่าการถอยไปด้านหลังของชวีเสี่ยวปอในครั้งนี้ทำให้เ้าเครื่องพ่นน้ำเข้าใจผิดไปหรือเปล่า แม้แต่เสียงพูดของเขาก็ะโขึ้นมาดังกว่าเมื่อครู่นี้มาก ทั้งยังชี้นิ้วออกมาด้วย :
“รีบไปซะ นี่มันไม่ใช่เื่ของพวกนาย !”
ทั้งสามคนล้วนไม่มีใครฟังคำพูดเขาเลยสักคน ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ตรงนั้น ส่วนเ้าเครื่องพ่นน้ำก็รู้สึกว่าคำขู่ของตัวเองไม่ได้ผล ทันใดนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา :
“ฉันว่า พวกนายสามคนมีใครชอบเธอใช่หรือเปล่า? พูดออกมาเถอะพวกเราจะได้แข่งกันอย่างเป็ธรรม ลูกผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ต้องอายไปหรอกน่า”
ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจยาวออกมาทันที
ไม่ใช่เพราะถูกพูดแทงใจดำอะไร ถ้าหากเป็เมื่อก่อน ไม่แน่ชวีเสี่ยวปออาจตอบออกไปว่า : “นายพูดถูกแล้วละ” แต่ตอนนี้ชวีเสี่ยวปอกลับพูดได้เพียงแค่ว่า : “บ้านแกสิ !”
ทันทีที่พูดจบ เ้าเครื่องพ่นน้ำก็ยังอยากจะด่ากลับ แต่ในตอนนั้นเองเซี่ยเจิง(ช)ก็คว้านิ้วมือที่ไม่ยอมดึงกลับไปของเขาเอาไว้ ก่อนที่จะหักออกไปด้านข้างอย่างเต็มแรง——
ขณะเดียวกันชวีเสี่ยวปอก็ได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นมา
…………………………
ในตอนที่เซี่ยเจิงปล่อยมือ เ้าเครื่องพ่นน้ำก็กุมมือตัวเองไว้แล้วกัดฟันขึ้นมาด้วยความโมโหพร้อมทั้งถอยห่างออกไปอยู่หลายเมตร
เดิมทีชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่ได้อยากมีเื่ชกต่อยกันที่หน้าประตูโรงเรียนสักเท่าไหร่ พูดไกล่เกลี่ยกันน่าจะเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ดูท่าแล้วเซี่ยเจิงกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ถูกต้อง การจัดการกับพวกอันธพาลแบบนี้ก็ต้องใช้ไม้แข็งเท่านั้น หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นจึงเข้าไปร่วมมะรุมมะตุ้มด้วยในทันที ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจึงดูวุ่นวายเป็อย่างมาก
จนกระทั่งมีคนะโขึ้นมาว่า “พวกเธอทำอะไรกัน !” ชวีเสี่ยวปอถูกตีเข้าที่หลังสองครั้ง เขาที่รู้สึกว่าการตีสองครั้งนี้ค่อนข้างต่างออกไปจึงรู้สึกตัวขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งหันศีรษะไปสบสายตากับโหยวเจีย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ !” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ อีกฝ่ายจึงรีบวิ่งหน้าตั้งออกไป ขณะเดียวกันเ้าเครื่องพ่นน้ำก็สบถด่าออกมาด้วย ชวีเสี่ยวปออยากจะไล่ตามไปเตะก้นเขาทีหนึ่ง แต่ภายใต้การจับจ้องของโหยวเจีย ชวีเสี่ยวปอจึงไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
บริเวณโดยรอบมีนักเรียนมามุงกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ โหยวเจียจึงโบกไม้โบกมือออกไป : “ดูอะไรกัน? เลิกเรียนแล้วไม่รีบกลับบ้านมายืนดูอะไรกันฮะ? แยกย้ายกันไปได้แล้ว !”
ชวีเสี่ยวปอใช้่เวลานี้ส่งสายตาไปมองเซี่ยเจิง(ช) อีกทั้งยังสื่อความหมายออกมาชัดเจนมากว่า : “จะโกหกยังไงดี? ” ต้องหาเหตุผลแก้ตัวกับโหยวเจียไปก่อน
เซี่ยเจิงยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป โหยวเจียก็เดินตรงเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าพวกเขาทั้งสามคน พลางมองพวกเขาแต่ละคนั้แ่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม : “ใช้ได้ที่ไหนกันฮะพวกเธอเนี่ย! นี่มันหน้าประตูโรงเรียนนะ! ออกมาทำเื่ขายหน้าถึงตรงนี้เลย! ดีนะที่ครูเป็คนเห็นน่ะ ถ้าเปลี่ยนเป็ครูคนอื่นพรุ่งนี้พวกเธอได้โดนไล่ออกแน่! ”
ทั้งสามคนมองสลับมองกันไปมองกันมา ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน
“เซี่ยเจิง” โหยวเจียเลือกคนที่เธอคิดว่าเขาจะไม่พูดโกหกมากที่สุด “เธอพูดมา นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้น? ”
เซี่ยเจิงก้าวออกมายืนด้านหน้ากำลังจะเอ่ยปากพูด ในตอนนั้นเองโหยวเจียก็ได้ยินเสียงพูดที่ค่อนข้างเหนียมอายดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา :
“คุณครูคะ เื่นี้เดี๋ยวหนูเล่าเองค่ะ”