มันคงเป็เื่บังเอิญที่หลังจากหลี่เฟยจากไปฉินโจ้วก็ได้รับโทรศัพท์จากหนานกงเสี่ยว เวลานี้เธออยู่บนเครื่องบินกำลังจะมาถึงเมืองก้านโจวในอีกสามชั่วโมง ฉินโจ้วไม่กล้านิ่งเฉย เมื่อเขามองดูทั้งสามคนรวมทั้งหงยี่แล้วก็พบว่ายังไม่มีใครตื่นขึ้นมา เขาคาดว่าไม่น่าจะมีใครตื่นขึ้นมาจนกว่าจะบ่ายเป็แน่เขาจึงจากไปพร้อมทิ้งโน้ตเอาไว้
ฉินโจ้วเรียกรถเพื่อไปที่สนามบิน ในเวลานี้ฉินโจ้วเพิ่งคิดได้ว่าเขาควรจะซื้อรถไว้สักคันและถ้ามีรถก็ต้องมีใบขับขี่ ซึ่งเขาเองก็ยังไม่มี การทดสอบใบขับขี่ในการขับรถยนต์นั้นค่อนข้างยากมากทีเดียวและมีกฎที่ออกมาใหม่ด้วย เขาไม่รู้ว่าจะสามารถใช้เส้นเพื่อให้หงยี่ช่วยให้ผ่านได้หรือเปล่าถึงแม้ว่าเขาจะเป็หัวหน้าใหญ่ก็ตามที
เมื่อเขามาถึงสนามบินก็พบว่าเหลืออีกไม่ถึงสิบนาที ก่อนที่เที่ยวบินของหนานกงเสี่ยวจะมาถึง
โอกาสที่เที่ยวบินจะดีเลย์นั้นค่อนข้างมีน้อยทันทีที่ใกล้จะถึงเวลา โทรศัพท์ของฉินโจ้วก็ดังขึ้น เป็หนานกงเสี่ยวที่โทรมาทันใดนั้นที่ประตูผู้โดยสารขาออกก็ปรากฏร่างของสาวงามสวมเสื้อและกระโปรงสีเขียวคล้ายกับเอลฟ์ที่ไม่ได้มาจากโลก พร้อมกับหมวกบังแดดสีขาว ผิวหน้าสวยนวลเนียนรูปร่างกะทัดรัด จะเป็ใครไปได้อีกนอกจากหนานกงเสี่ยว
ไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะเดินออกมาเป็คนแรกเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะคนตรวจตั๋วหรือเพราะคนอื่นๆ เห็นว่าเธอสวยก็เลยให้เธอออกมาก่อนดูเหมือนว่าในทะเลที่เวิ้งว้างนั้นยังมีผู้คนเมื่อถึงเวลาฉินโจ้วก็ส่งสายตามองไปที่หนานกงเสี่ยว ส่วนเธอก็จ้องมองอย่างพิจารณาอยู่ชั่วครู่ก็สรุปได้ว่าคนนี้ต้องเป็ฉินโจ้วอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าขาวนวลของหนานกงเสี่ยวก็พลันเปล่งประกายปรากฏรอยยิ้มที่สามารถทำให้พระอาทิตย์ถึงกับซีดจางก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ตรงเข้ามาหาฉินโจ้ว
ผู้คนจำนวนมากที่รอขึ้นเครื่องอยู่นั้นถูกดึงดูดด้วยความงามของหนานกงเสี่ยวโดยเฉพาะผู้ชายที่อยู่ในบริเวณนั้น ดวงตาของพวกเขาต่างจับจ้องมองเขม็งใครที่มีแฟนแล้วก็ถือว่าโชคร้ายเป็อย่างมาก เนื้อนิ่มๆ บริเวณเอวของหลายคนต่างก็มีรอยเขี้ยวช้ำไม่ก็รอยถูกข่วน
ฉินโจ้วก็ยิ้มออกมาเช่นกันแต่เป็รอยยิ้มที่ภาคภูมิใจยิ่งกว่า มีคนกล่าวไว้ว่า ผู้หญิงนั้นเป็หน้าเป็ตาของผู้ชายเช่นกันซึ่งหน้าของฉินโจ้วในตอนนี้ก็บานใช่ย่อย สังเกตได้จากสายตาอิจฉาของผู้ชายที่อยู่ในบริเวณนั้นเมื่อมองดูหนานกงเสี่ยวอย่างใกล้ชิด เป็ธรรมดาที่เขาจะต้องอ้าแขนเพื่อรอเพื่อเตรียมมอบกอดอันแสนอบอุ่นให้ ในเวลานั้นเองก็มีชายหนุ่มรูปร่างอ้วนโผล่พรวดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะแทรกกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อเขารีบยิงคำถามใส่หนานกงเสี่ยวด้วยสำเนียงที่ไม่ใช่ภาษาจีนกลาง
"สาวน้อยผมเป็แมวมองจากบริษัทเทียนซิงเอนเตอร์เทนเมนท์ผมคิดว่าคุณสวยอย่างเป็ธรรมชาติและมีความสามารถที่จะเป็ดาราได้ไม่ทราบว่าคุณสนใจที่จะเป็นักแสดงไหม รับรองว่าจะทำให้คุณโด่งดังรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ด้วยผิวพรรณและใบหน้าของคุณ เพียงแค่แต่งแต้มอีกเล็กน้อยไม่มีปัญหาเลยที่จะโด่งดังขึ้นในระดับเอเชีย เชื่อผมนะ ผมมีความสามารถ อย่างตอนนี้ราชินี์แห่งเอเชีย''กุ่ยกุ่ย'' และ ''เฟยเฟย''ต่างก็มีรายได้ปีหนึ่งเกิน 10 ล้านไปแล้ว ลองนึกดูเมื่อตอนที่พวกเธอยังไม่โด่งดังคนหนึ่งเป็เพียงพนักงานตัวเล็กๆ ของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า อีกคนเป็พนักงานเสิร์ฟในซูเปอร์มาร์เกตดังนั้นทุกคนมีโอกาสที่จะเป็ดาราได้ สิ่งที่พวกเขาขาดก็คือ ผู้นำที่ดีดังนั้นผม..."
หนานกงเสี่ยวและฉินโจ้วต่างตกอกใชายคนนั้นทำงานเป็แมวมองมานาน ถ้าบอกว่าเป็นักสืบก็ยังเชื่อเลย ฉินโจ้วจึงเตะชายอ้วนกระเด็นออกไป โทษฐานที่มาขัดจังหวะการกอดอันอบอุ่นของเขาฉินโจ้วจึงทำได้แค่เพียงจับมือ ก่อนจะถามว่า "นั่งเครื่องมาเหนื่อยไหม?"
"ไม่เหนื่อยเลย ฉันนั่งหลับมาบนเครื่องน่ะ"หนานกงเสี่ยวส่ายหน้าในขณะแลบลิ้นสีชมพูออกมาหยอกเย้าเล่น "ฉันมีความสุขมากที่ได้เจอเธอน้ำเสียงบ่งบอกถึงความรู้สึกโล่งใจ"
สนามบินที่เต็มไปด้วยสายตาของผู้คนมากมายไม่เหมาะที่จะเป็สถานที่สำหรับระลึกถึงความหลัง ฉินโจ้วจึงคว้ากระเป๋าเดินทางจากมือของหนานกงเสี่ยวมาอย่างนุ่มนวลก่อนจะพูดขึ้นว่า "ป่ะ...ไปกลับบ้านกัน"
หนานกงเสี่ยวพยักหน้าทั้งสองก็รีบเดินฝ่าฝูงชนออกไปและตรงไปยังรถแท็กซี่ ด้านหลังของเขานั้นชายหนุ่มร่างอ้วนที่เป็แมวมองยังคงะโตามมาว่า"จริงๆ นะ เชื่อผมสิ คุณมีความสามารถที่จะเป็ดาราได้จริงๆ คุณมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนถ้าคุณไม่ได้อยู่ในวงการแสดง ก็ถือว่าเสียเปล่าแล้ว อย่าไป อย่าเดินเร็วสิ...น้องสาว น้องสาว... ไม่ทราบว่าบอกชื่อของเธอได้ไหม? ถึงแม้ว่าจะไม่สนใจตอนนี้ฉันจะติดต่อเธอในเวลาอื่นถ้าหากว่าเธอเกิดสนใจขึ้นมา..." น้องสาว..."
"แท็กซี่... ไปหมู่บ้านชานฉุ่ยิ ขอบคุณครับ" ฉินโจ้ว บอกคนขับรถหลังจากที่ทั้งสองขึ้นรถและปิดประตู ทั้งโลกก็กลายเป็สงบเงียบ
จากสนามบินมาที่หมู่บ้านชานฉุ่ยินั้นไม่ไกลใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ฉินโจ้วจ่ายเงินก่อนที่จะก้าวลงจากรถ เมื่อมองไปยังคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่มีอยู่เป็จำนวนมากเขาถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
เขาได้ยินแค่เพียงว่าชูหลิงนั้นซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่งที่มีชื่อในหมู่บ้านชานฉุ่ยิแต่เขาเองยังไม่เคยมาที่นี่เลย คิดว่ามันก็แค่คฤหาสน์ปกติแล้วจำนวนของคฤหาสน์ก็ไม่น่าจะมีมากมายนัก อาศัยเคาะประตู ถามทางเอาเดี๋ยวก็หาเจอ แต่แล้วเขาก็รู้ว่าความคิดนี้ผิดหลังจากที่มาถึง เพราะเขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะผ่านประตูเพื่อเข้าไปพูดคุยได้เลยพนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านมองฉินโจ้วไม่ต่างจากขโมยมันไม่ใช่สถานที่สำหรับคนทั่วไปที่จะอาศัยอยู่ที่นี่มันค่อนข้างเชื่อได้ยากว่าอย่างฉินโจ้วนั้นมีฐานะร่ำรวย ที่สำคัญก็คือ ฉินโจ้วดูธรรมดาเกินไปถ้าไม่ติดว่าหนานกงเสี่ยวนั้นดูดีเป็พิเศษ และด้วยท่าทางที่ลับๆ ล่อๆ ของฉินโจ้วเกรงว่าเขาคงจะถูกไล่ออกไปเสียก่อน
สุดท้ายฉินโจ้วก็ต้องโทรหาหวังโหรวเนื่องจากชูหลิงนั้นพูดมากเกินไปความคิดแรกของฉินโจ้วย่อมต้องเป็อาจารย์หวังที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมเวลาที่เขามีปัญหายุ่งยากเขาก็มักจะไปหาเธอ
หวังโหรวออกมาอย่างรวดเร็วเธอแต่งชุดสุภาพเรียบร้อย มองดูเหมือนผู้หญิงที่ทำงานเก่ง เธอมองไปที่ฉินโจ้วที่เหมือนจะรู้สึกผิดเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้กลับบ้านทั้งคืนแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็เื่ที่ผิดแต่อย่างใด หวังโหรวเองก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะหันมาหาหนานกงเสี่ยว ยิ้มให้และกล่าวว่า "ฉันชื่อหวังโหรวเธอต้องเป็น้องเสี่ยวเกอ สวยไม่มีที่ติจริงๆไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉินโจ้วพูดถึงเธอให้ฟังอยู่บ่อยๆ ดีใจที่เธอมา"
"สวัสดีค่ะพี่โหรว คุณสวยมากเลย" ใบหน้าของหนานกงเสี่ยวเขินอายเล็กน้อย ระหว่างทางฉินโจ้วได้ตกลงกับหวัง โหรวและชูหลิงว่าอย่าทำเื่เสียมารยาทในระหว่างที่พบกัน
"น้องเสี่ยวเกอก็พูดเกินไปฉันน่ะแก่แล้วนะ รอสักครู่นะ ฉันจะให้บัตรผ่านเธอ" หวังโหรวพูดขึ้น เพราะเป็ที่พักระยะยาวจึงจำเป็ต้องมีบัตรผ่าน
เนื่องจากเป็คฤหาสน์ในเมืองก้านโจวที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดการทำงานจึงมีประสิทธิภาพมาก ใช้เวลาราวห้านาที หวังโหรวก็ได้รับบัตรผ่านมาสองใบรูปถ่ายถูกทำขึ้นเดี๋ยวนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลนั้นอาจเป็เพราะเสน่ห์ที่น่าทึ่งของหวังโหรวก็เป็ได้
"ไปกัน...สาวน้อย" หวังโหรวจูงมือหนานกงเสี่ยวก่อนจะเดินนำหน้าไปฉินโจ้วได้แต่เดินตามอย่างสงบเสงี่ยม ใครใช้ให้เขาไม่รู้ทางกันเล่า เมื่อเขากลับมาที่บ้านของตนเองแต่กลับต้องให้คนอื่นนำทางให้ ดูท่าคงจะมีแต่ฉินโจ้วเพียงคนเดียวกระมัง
ชูหลิงก็อยู่ที่บ้านด้วยในเวลานี้เธอย้ายมาั้แ่เมื่อวาน วันนี้เธอเองก็ยังคงยุ่งอยู่กับเื่เฟอร์นิเจอร์และของใช้อื่นๆที่จำเป็ในแต่ละวัน มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็ของที่ไม่ค่อยได้ใช้งานใน่นี้เธอจึงยังไม่ค่อยกังวลเท่าไร ไว้จะใช้ก็ค่อยออกไปซื้ออีกรอบหลังจากที่ยุ่งตลอดใน่เช้า ทำให้วันนี้ชูหลิงจึงยังไม่ได้ย้ายของอะไรเพิ่มเติม
หลังจากที่ทั้งสามกลับมาหวังโหรวก็แนะนำหนานกงเสี่ยวและชูหลิงให้รู้จักกันแต่ละคนต่างก็ประหลาดใจในความสวยงามของกันและกันระดับความสวยนั้นแทบจะไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ หลังจากที่พวกเธอต่างทักทายกันเล็กน้อยอย่างสุภาพก็ถือว่าเป็คนรู้จักกันแล้ว สำหรับความคุ้นเคยนั้นคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
ชูหลิงไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาั้แ่หนานกงเสี่ยวมาถึงเธอไม่มีสีหน้าที่ผิดปกติเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิมีเพียงแต่ฉินโจ้วที่คุ้นเคยกับเธอเป็อย่างดี และรับรู้ได้ถึงรังสีความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ในคำพูดที่ดูไร้พิษสงทำให้เขารู้สึกหวาดวิตกและกระสับกระส่าย
หลังจากที่พาหนานกงเสี่ยวเยี่ยมชมภายในบ้านแล้วในส่วนพื้นที่รอบนอกนั้น เนื่องจากมีขนาดใหญ่มากจึงจะพาชมในวันพรุ่งนี้ ชูหลิงพาหนานกงเสี่ยวลงมาที่ชั้นล่างก่อนจะยิ้มให้กับฉินโจ้ว และพูดว่า "นายคนี้เีนายอยู่ในชุดนี้ั้แ่เมื่อคืนวาน จนถึงตอนนี้ไม่คิดที่จะเปลี่ยนชุดบ้างหรือ”
ใจของฉินโจ้วถึงกับเต้นรัว ในที่สุดเขาก็คิดได้แล้วว่าต้องมีบางสิ่งที่ผิดปกติบนเสื้อผ้าของเขากลิ่นของเหล้าบนร่างกายนั้นเขาไม่กลัวแต่ปัญหาน่าจะเป็กลิ่นน้ำหอมที่หลงเหลืออยู่ของหลี่เฟยต่างหาก เขาจำได้ว่าเพิ่งจะอยู่ในรถคันเดียวกับหนานกงเสี่ยวไม่รู้ว่าเธอจะได้กลิ่นหรือเปล่า มันค่อนข้างยากถ้าเธอไม่พูดขึ้นมาถ้ามีอะไรเธอก็คงพูดแล้ว ถึงเวลานี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “หลังจากนี้ที่นี่ก็เหมือนเป็บ้านของเธอ วันนี้อากาศร้อนจนเหงื่อออกชุ่มไปหมด คุณพูดคุยกันไปก่อนผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ"
เพื่อที่จะกำจัดหลักฐานจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องชิ่งออกมาเสียก่อน