ตู้ซิวจู๋หน้าดำทะมึนขึ้นมาทันที
หลินหวั่นชิวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาช่วยเช็ด “ขออภัยๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
ตู้ซิวจู๋จับข้อมือนาง ชะงักเพียงชั่วพริบตาก่อนจะแย่งผ้าไปเช็ดเอง
“ช่างเถิด เห็นแก่ที่เ้าเป็ผู้ชื่นชอบนิยายของข้า ข้าจะไม่ถือสาเอาความ” เขาเลิกคิ้วมองหลินหวั่นชิวอย่างเย่อหยิ่ง
หลินหวั่นชิวแย่งผ้าเช็ดหน้าตัวเองกลับมา พูดกับตู้ซิวจู๋ว่า “หลงตัวเองขนาดนี้ระวังจะโดนต่อยเข้าสักวัน!”
ตู้ซิวจู๋ไม่ค่อยยอมใจแต่ก็ไม่ได้ขยับ แค่บีบปลายนิ้วเข้าด้วยกันอย่างสบายๆ
“คิดไม่ถึงว่าเ้าคือจอมยุทธ์พเนจร ข้าคิดว่าผู้แต่งเป็ท่านลุงที่มองความระทมทุกข์บนโลกทะลุปรุโปร่งแล้วเสียอีก”
ถึงได้บอกว่าคุยในโลกออนไลน์สนุกขนาดไหนแต่ก็อย่าเจอในชีวิตจริง…
ยกตัวอย่างเช่นตู้ซิวจู๋ เขาเป็คนหน้าตาดีก็จริง แต่นี่กลับทำให้ภาพของ ‘จอมยุทธ์พเนจร’ ที่หลินหวั่นชิวจินตนาการไว้ในใจถูกทำลาย
ตู้ซิวจู๋กลอกตามองบน
เขาโยนห่อผ้าใบหนึ่งให้หลินหวั่นชิว “ผลงานใหม่ ลองบอกความเห็นมาหน่อย”
หลินหวั่นชิวเปิดห่อผ้า พบว่ามีนิยายสามเล่มอยู่ด้านใน นางหยิบออกมาอ่านสักพัก ตู้ซิวจู๋ถามอย่างประหม่า “ว่าอย่างไรเล่า?”
“ดีมาก แต่ว่า…”
“แต่ว่ากระไร?” ตู้ซิวจู๋โน้มตัวมาถามด้วยความกังวล
“แต่ไม่ถูกรสนิยมผู้อ่านในปัจจุบัน หากนำไปขายคงขายไม่ได้อยู่ดี” หลินหวั่นชิวตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่จำเจหน่อยไม่ได้หรือ?” ตู้ซิวจู๋เสียกำลังใจ
หลินหวั่นชิวตอบ “ปลากับอุ้งตีนหมีมิอาจได้มาพร้อมกัน[1] เ้าเขียนนิยายเพื่อหาเงิน เพื่อฆ่าเวลา หรือเพื่อไล่ตามอุดมการณ์ เลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
ตู้ซิวจู๋ยืมมือขึ้นมาเท้าที่แก้ม สีหน้ามีความกลัดกลุ้ม “ช่างเถิด ขายไม่ออกก็มอบเป็ของขวัญให้เ้าแล้วกัน”
หลินหวั่นชิวปลอบใจ “เ้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน ทำเป็งานอดิเรกก็ได้ อันที่จริงเ้าก็แต่งออกมาได้ไม่เลวแล้ว สำนวนดี เนื้อหาลึกซึ้ง แต่คนส่วนใหญ่ที่อ่านนิยายเป็บัณฑิตซึ่งปกติก็ลำบากกับการเรียนอยู่แล้ว อยากอ่านนิยายเบาๆ ที่ไม่ต้องใช้สมอง ความรู้สึกว่าตัวละครคือตัวเองก็สำคัญมากเช่นกัน เวลาคนเราอ่านนิยายมักรู้สึกร่วมไปกับตัวเอก ตัวเอกได้เจอบุปผางาม ได้เจอชนชั้นสูง… ประหนึ่งคนที่ได้รับประสบการณ์เหล่านี้คือตัวพวกเขาเอง สิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นในชีวิตจริงถูกทำให้เป็จริงในโลกของนิยาย เ้าว่านิยายเช่นนี้จะมีคนซื้อหรือไม่? ใต้หล้านี้มีคนสิ้นหวังที่ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยเป็กลุ่มคนส่วนใหญ่ แต่แน่นอนว่าบรรดาลูกผู้ดีมีเงินก็ชอบอ่านนิยายประเภทนี้เช่นกัน เพราะมันสละสลวย…หรืออาจจะด้วยสาเหตุอื่น เอาเป็ว่าอ่านแล้วได้ความบันเทิง เ้าเข้าใจหรือไม่?”
“เชย!” ตู้ซิวจู๋บ่น “แต่ความคิดอ่านของเ้าค่อนข้างลึกซึ้ง”
“ให้คำแนะนำหน่อยสิ ข้าเองก็อยากหาเงิน อยากดัง” ตู้ซิวจู๋พูด “เ้าดูสิ วันนี้ข้าถึงกับใส่ชุดสีแดงเพื่อให้ตัวเองดังเลยนะ” (หง(红)นอกจากจะแปลว่าสีแดงแล้วยังมีความหมายว่า โด่งดัง)
“เ้ายังขาดแคลนเงินอีกหรือ?” หลินหวั่นชิวถูกเขาหยอกจนหัวเราะ
“ขาดแคลนสิ…เหตุใดจะไม่ขาดแคลน? ขนาดฮ่องเต้ก็ยังขาดแคลน มีผู้ใดไม่ชอบเงินบ้างเล่า!” ตู้ซิวจู๋พูดด้วยสีหน้าเกินจริง
หลินหวั่นชิวไตร่ตรองดูแล้วเกิดความคิด “เอาเช่นนี้ อีกสองวันข้าจะเขียนโครงเื่มาให้เ้าเอาไปเขียนต่อ จากนั้นพวกเราทำแบบมีภาพประกอบไปขายในร้านหนังสือดีหรือไม่? หากขายดีก็เขียนต่อไปเรื่อยๆ ขายไม่ดีก็เลิกเขียน เ้าว่าอย่างไร?”
“เอาสิ!” ตู้ซิวจู๋มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ไม่ต้องรออีกสองวันหรอก ทำวันนี้นี่แหละ ข้าจะให้คนนำหมึกพู่กันมาเขียนเดี๋ยวนี้”
หลินหวั่นชิวทำตาเขม็งใส่เขา “ต้องคิดให้ละเอียดก่อน คิดอยากมีแล้วจะมีเลยหรือไร? ข้าต้องกลับไปคิดก่อน!”
“เอาเถิด ตกลงตามนี้ หากไม่มีกระไรแล้วข้าขอตัวก่อน งานยุ่ง!” หลินหวั่นชิวพูดจบก็ลุกขึ้น
“กินข้าวด้วยกันก่อนหรือไม่?” ตู้ซิวจู๋ถาม
หลินหวั่นชิวส่ายหน้า “ไว้นิยายขายดีค่อยว่ากันเถิด พอแล้ว แยกย้ายกันไปทำงาน ข้ากลับล่ะ”
“ถึงเวลาแล้วแบ่งเงินอย่างไร?” ตู้ซิวจู๋ถาม
หลินหวั่นชิวตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องแบ่งเงิน รายได้ทั้งหมดเป็ของเ้า แต่ข้าจะหาคนมาวาดภาพต้นแบบตัวละครแล้วเ้าค่อยหาคนมาวาดตามเอง ถึงเวลาเ้าให้ค่าแรงพวกเขาเป็พอ”
เช่นนี้จะได้ตอบแทนน้ำใจที่ตู้ซิวจู๋ช่วยชีวิตนางเช่นกัน
“เ้าคงไม่ได้ไม่คิดเงินเพราะหลงใหลในความงามของข้ากระมัง?” ตู้ซิวจู๋ลุกขึ้นเดินมาก้มหน้ามาถามข้างหลินหวั่นชิว
หลินหวั่นชิวเล่นตามน้ำกับเขา “อื้ม ข้าหลงเ้าแล้ว หลงจนหน้ามืดตัวมัว แม้แต่เงินก็ไม่เอา พอได้แล้ว เ้าไม่ต้องส่งข้าแล้ว เ้าสะดุดตาเสียขนาดนี้ ข้าไม่อยากสร้างศัตรูเอาตัวเองไปล่อให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งถนนเกลียดตัวเองนะ”
หลินหวั่นชิวพูดจบก็คว้าห่อผ้าที่ใส่นิยายเร่งฝีเท้าจากไป ตู้ซิวจู๋ยืนอยู่ด้านหลัง เขาอยากตามไป ทว่าสุดท้ายก็ก้าวขาไม่ออก
“ทังหยวน พาเถ้าแก่หลินกลับไป” เขาสั่งทังหยวน เดินกลับเข้าห้องส่วนตัว
ทังหยวนไล่ตามหลินหวั่นชิวไป หลินหวั่นชิวไม่ได้ปฏิเสธเขา ยอมให้เขาพาตัวเองไปส่ง
ทังหยวนไม่ใช่ตู้ซิวจู๋ ตู้ซิวจู๋แต่งตัวดูดีเกินไป หากเพื่อนบ้านเห็นเข้าต้องเอาไปนินทาเป็แน่ นางไม่ได้กลัวถูกนินทา แต่ถ้าเลี่ยงปัญหาได้ก็เลี่ยงไว้ก่อนเสียดีกว่า
ที่สำคัญคือ ชายฉกรรจ์ที่บ้านขี้หึงระดับไหน้ำส้ม
นี่ต่างหากสิ่งสำคัญที่สุด
ไม่เคยคิดว่าทำเช่นนี้จะทำให้ผู้ใดเสียใจขนาดไหน
กลางดึก เจียงหงหย่วนออกจากบ่อน บอกลาลูกมือเสร็จก็มุ่งกลับบ้านเพียงลำพัง
บนถนนไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว ลมหนาวพัดโรยริน ส่งเสียงหวีดหวิวชวนขนลุก
ทันใดนั้น เจียงหงหย่วนหยุดฝีเท้า
“ผู้ใดกัน?” เขาถามเสียงทุ้ม
ลมหนาวพัดให้ใบไม้บนพื้นลอยวน สายลมส่งเสียงอื้ออึงราวกับมีใครกำลังร้องไห้
เจียงหงหย่วนก้าวเท้าด้วยความระมัดระวัง วางมือข้างหนึ่งบนเอว
ไม่มีผู้ใดตอบเขา เงาดำร่างหนึ่งกระโจนออกจากเงามืดอย่างฉับพลัน กวัดแกว่งประกายกระบี่มาทางเขาด้วยความรวดเร็ว ไม่รอให้เจียงหงหย่วนตั้งตัวแม้แต่น้อย
คนผู้นี้…อยู่คนละระดับกับพวกคนชุดดำที่เขาเจอก่อนหน้านี้ คนผู้นี้เป็ยอดฝีมือ
เจียงหงหย่วนประหม่าขึ้นมาทันที
เชิงอรรถ
[1] ปลากับอุ้งตีนหมีมิอาจได้มาพร้อมกัน(鱼与熊掌不可兼得) ใช้เน้นย้ำว่าเมื่อไม่สามารถได้ของสองอย่างมาพร้อมกัน เราควรจะเลือกสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเรา