สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่คาดไม่ถึงก็คือ หลิวอวิ๋นไม่เพียงแต่คืนแต้มสนับสนุนทั้งหมดที่จ่ายไปให้กับตนเองเท่านั้น แต่ยังให้แต้มสนับสนุนเพิ่มมาอีกหนึ่งร้อยแต้มอีกด้วย จากนั้นฉินอวี่ก็เดินทางออกจากหอคอยหมื่นชั้นอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ในใจของเขาก็หวนระลึกถึงเสียงสองเสียงที่เกิดขึ้นใน่เวลาที่เขากำลังก้าวข้ามระดับการฝึกฝน
อันที่จริงแล้ว ฉินอวี่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเทียนชุ่ยั้แ่เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้แล้ว เหตุที่เขายังคงพักอยู่อีกครึ่งเดือนนั้น ก็เพื่อจะค้นหาดูว่าเสียงทั้งสองที่ได้ยินนั้นมีที่มาจากที่ใดกันแน่ แต่ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา เสียงทั้งสองนั้นกลับไม่ดังขึ้นมาอีกเลย
ในขณะนั้น ฉินอวี่กำลังอยู่ใน่เวลาสำคัญ และแบกรับความทุกข์ทรมานราวกับไม่ใช่มนุษย์ การสนทนาของทั้งสองคนได้รบกวนจิตใจของฉินอวี่เป็อย่างมาก ทำให้ฉินอวี่โกรธจนหลุดสบถออกไป
แต่ในตอนนี้เมื่อเริ่มสงบลงแล้ว เขาก็นึกทบทวนถึงคำพูดของคนทั้งสองอย่างรอบคอบ ในใจของฉินอวี่ก็ไม่อาจสงบได้เป็เวลานาน พวกเขากำลังพูดถึงแดนเทียนหมัวซิงเฉิน และกำลังพูดคุยกันถึงคนอยากตายคนหนึ่ง และมีคนกลับมาเกิดใหม่อีกคนหนึ่ง ส่วนสิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อมากกว่านั้น คือพวกเขากำลังพูดถึงหนีเฟิงอยู่จริงๆ!
ฉินอวี่จดจำได้อย่างชัดเจนว่าชื่อของหนีเฟิงอยู่ในอันดับสองบนป้ายศิลาชั้นที่หนึ่งของหอตำรา
ในหอตำราชั้นที่หนึ่ง ฉินอวี่เคยได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับหนีเฟิงมาก่อน หนีเฟิงคนนี้ก็เป็คนในยุคโบราณกลาง แต่หากพูดตามเหตุผลแล้วเขาได้บรรลุเต๋าสู่สรวง์ไปนานแล้ว และไม่น่าจะอยู่ในแดนซิงเฉินมานานแล้ว
แต่ทั้งสองคนได้พูดถึงเขาขึ้นมาจริงๆ อีกทั้ง... หนีเฟิงคนนั้นก็ดูเหมือนจะยังอยู่ในแดนซิงเฉิน
ประโยคที่ว่า “เขาจะตายหรือยังไม่ตายก็ต้องอยู่ที่นี่” ทำให้ฉินอวี่ใมากยิ่งนัก
เป็เพียงประโยคง่ายๆ เช่นนี้ แต่กลับมีความหมายที่ลึกล้ำเกินกว่าความเข้าใจของฉินอวี่
หนีเฟิงตายหรือยังไม่ตายก็ต้องอยู่ที่นี่ นี่หมายความว่าในโลกของทั้งสองคนนั้น หนีเฟิงเป็เพียงร่างแยกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ร่างแยกนี้ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับร่างหลักหรือ? นี่เป็สิ่งที่เกินกว่าความรู้ของฉินอวี่
โดยทั่วไปแล้วเมื่อได้ฝึกฝนจนบรรลุถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกตนจะสามารถหลอมร่างแยกของตนเองออกมาได้ ร่างแยกจะมีความคิดที่เป็อิสระ แต่จะเชื่อมต่อไว้กับร่างหลัก กล่าวคือ ร่างแยกตาย ร่างหลักาเ็ ร่างหลักตาย ร่างแยกสูญสลาย
แต่คำพูดของทั้งสองคนนี้กลับล้มล้างคำพูดที่ว่า เมื่อร่างหลักตายไป ร่างแยกต้องสูญสลายไปโดยสิ้นเชิง
“ดูเหมือนว่า ในโลกใบนี้จะมีอีกหลายสิ่งที่รอให้ข้าได้สำรวจ แต่ความรู้และประสบการณ์ส่วนใหญ่ของข้านั้นล้วนแต่หยุดอยู่ในตำราโบราณทั้งสิ้น” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง
ด้วยความสงสัยที่มี ฉินอวี่จึงเดินตรงไปยังหอตำรา เพื่อลองดูว่าพอจะหาเบาะแสของ “สถานที่แห่งนั้น” ซึ่งทั้งสองคนพูดถึงได้บ้างหรือไม่
เมื่อฉินอวี่มาถึงหอตำรา เขากลับพบกับลี่อวิ๋นกำลังยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่ตรงประตูหอตำรา เนื่องจากการทดสอบผู้ดูแลได้ผ่านพ้นไปแล้ว ศิษย์ของหอตำราก็ลดน้อยลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งในฐานะผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย เขาย่อมโล่งใจเป็ธรรมดา
“ผู้ดูแลลี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” ฉินอวี่เดินเข้าไป แม้เขาจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจกลับรู้สึกผิดต่อลี่อวิ๋นอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไร ตนเองก็ทิ้งเื่ต่างๆ ทั้งหมดในฐานะของผู้ดูแลไว้ให้กับลี่อวิ๋น
“ไม่มีอะไรหรอก และไม่รู้ว่าใครกันที่ไม่มีตา ไปยั่วยุศิษย์หลานชายของผู้นำศิษย์รุ่นสามนะสิ” ลี่อวิ๋นกล่าวอย่างสะท้อนปัญหาออกมา พูดจบเขาก็หันศีรษะกลับมาทันที และเมื่อพบกับฉินอวี่ เขาก็ใ และพูดต่ออย่างขมขื่น “ในที่สุดเ้าก็กลับมาแล้ว”
ฉินอวี่กระแอมขึ้นสองหน ก่อนจะพูดออกไป “การคัดเลือกศิษย์กำลังใกล้เข้ามา ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก หลายเดือนมานี้จึงรบกวนผู้ดูแลลี่แล้ว” พูดจบ ฉินอวี่ก็รีบเปลี่ยนประเด็น “จริงสิ ผู้นำที่ท่านพูดถึงคืออะไรหรือ?”
“ผู้นำก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของศิษย์แต่ละรุ่น เช่นเดียวกับการคัดเลือกศิษย์ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ในอีกหนึ่งปีกว่าๆ ก็จะทำการคัดเลือกผู้นำของศิษย์รุ่นห้า” ลี่อวิ๋นพูดพลางมองดูฉินอวี่อย่างซับซ้อน ในใจของเขารู้สึกอยากรู้เื่เกี่ยวกับฉินอวี่อย่างยิ่ง ไม่ได้จุดตะเกียงกรรม แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็ที่สนใจของประมุขหอตำรา
ฉินอวี่พยักหน้า เขาไม่ค่อยให้ความสนใจกับตำแหน่งผู้นำนี้เท่าใดนัก เป้าหมายของเขาคือการเข้าไปยังหอบรรพชน เพื่อจะดูสิ่งที่หวังชิงได้ทิ้งเอาไว้ ทั้งหมดทั้งสิ้นก็มีเพียงเท่านี้
ในชาติที่ผ่านมาฉินอวี่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในสำนักเทียนฉี ในชีวิตใหม่นี้ ฉินอวี่จึง้าเดินทางไปตามแดนซิงเฉินต่างๆ ไปยังสำนักโบราณซิงเฉิน เพื่อชื่นชมสำนักโบราณซิงเฉินที่เสี่ยเอ๋อได้สร้างเอาไว้ เพื่อจะมองดูสะพานเซียนซิงเฉินที่เสี่ยเอ๋อและโจวเสวี่ยฉิงได้ร่วมกันสร้างไว้
“อ้อ ขอบพระคุณผู้ดูแลลี่ที่ชี้แนะ ข้าขอตัวไปจัดการเื่ในหอตำราก่อน ก่อนการคัดเลือกศิษย์ ข้าขอรบกวนผู้ดูแลลี่อีกครั้ง” ฉินอวี่พูดจบก็เดินตรงเข้าไปในหอตำรา โดยไม่ทันให้ผู้ดูแลลี่ได้ตอบกลับ เพราะกลัวว่าลี่อวิ๋นจะปฏิเสธ
ลี่อวิ๋นจ้องมองแผ่นหลังของฉินอวี่ และส่ายหน้าอย่างจนใจ ผู้แข็งแกร่งอย่างท่านประมุข สนใจเขาได้อย่างไรกัน?
หลังจากเข้ามายังหอตำรา ฉินอวี่ก็หยิบป้ายคำสั่งผู้ดูแลขึ้นมา เดินตรงเข้าไปยังชั้นที่สอง และใช้เวลาอยู่ในนั้นกว่าครึ่งวัน จนฉินอวี่อ่านตำราทุกเล่มในชั้นที่สองจนหมด และเก็บทุกอย่างเข้าที่ ก่อนจะเดินตรงไปยังชั้นที่สาม
มีศิษย์รุ่นที่สี่จำนวนไม่มากในชั้นที่สาม ซึ่งนับดูแล้วมีอยู่เพียงไม่กี่คน และตอนนี้ฉินอวี่ก็ยังคงเริ่มอ่านั้แ่เล่มที่หนึ่ง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉินอวี่ก็พลิกอ่านตำราเกี่ยวกับเพลิงวิเศษของฟ้าดินอย่างละเอียด สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่แปลกใจ คือในตำราเล่มนี้มีบันทึกถึงเพลิงแอ่งธรณี แต่หลังจากอ่านดูอย่างละเอียด ฉินอวี่ก็ต้องสงสัย เพราะเพลิงแอ่งธรณีที่อยู่ในร่างกายของตนเองและเพลิงแอ่งธรณีที่บันทึกไว้มีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกัน
ตามที่เขียนเอาไว้ในตำรา เพลิงแอ่งธรณีมีความเป็พิษอยู่ระดับหนึ่ง เปลวเพลิงมีสีเขียวเข้ม และเป็หนึ่งในเพลิงธรณีระดับต่ำที่สุด
แม้ว่าเพลิงแอ่งธรณีที่อยู่ในร่างกายของตนเองจะดูเหมือนมีเปลวเพลิงที่มืดมัว แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามันมีสีเทา พูดได้ว่ามีสีที่เข้มกว่าสีของเพลิงอากาศธาตุของผู้าุโเลี่ย แม้ว่ามองดูแล้วอาจจะไม่ต่างจากสีเขียวเข้มมากนัก แต่หากสังเกตให้ละเอียดกว่านั้นจะมองเห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ พิษของเพลิงแอ่งธรณีของตนเอง มีพิษมากกว่าเพลิงแอ่งธรณีที่บันทึกไว้ในตำราอย่างแน่นอน
“หรือมันจะไม่ใช่เพลิงแอ่งธรณี? แล้วมันคือเพลิงชนิดใดกัน?” ฉินอวี่นึกสงสัยอยู่ในใจ เขาจำได้ว่าผู้าุโเลี่ยเคยกล่าวว่าเพลิงแอ่งธรณีของเขายังไม่ใช่เพลิงแอ่งธรณีที่แท้จริง สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ยิ่งสงสัยมากขึ้นทันที
“อ่านจบหรือยัง?” ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงอันเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เป็เสียงที่คุ้นยิ่งนัก” ฉินอวี่หันกลับไป ทันทีที่ได้เห็นศิษย์ในชุดคลุมดำสวมหน้ากากที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาก็เต้นระรัว คนผู้นี้คือคนที่ซื้อโอสถเพลิงอัคคีไปในตอนนั้น
ศิษย์สวมหน้ากากคนนี้มองฉินอวี่อย่างหมดความอดทน เขายืนรออยู่ตรงนี้เป็เวลานานมากแล้ว จนเริ่มมีความไม่พอใจอยู่พักใหญ่ แต่ในทันทีที่ฉินอวี่หันหน้ามา ดวงตาของศิษย์สวมหน้ากากคนนี้ก็เบิกกว้างทันที จ้องตรงไปยังฉินอวี่ด้วยความแปลกใจ
เป็เพราะทั้งคู่ต่างสวมหน้ากากและคลุมชุดดำ ดังนั้นจึงสามารถััได้เพียงความผันผวนผ่านทางดวงตา เมื่อสังเกตเห็นว่าศิษย์คนนี้มีความแปลกใจ ฉินอวี่ก็ยิ่งแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น เสียงของฉินอวี่ก็เปลี่ยนเป็คนแก่ขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดไปอย่างเ็า “มีอะไรหรือ?”
ศิษย์ที่สวมหน้ากากยิ่งสงสัยมากขึ้นเช่นกัน เป็เพราะคลุมชุดดำและสวมหน้ากาก ทั้งยังปกปิดพลังปราณของตนเอง ดังนั้น เขาจึงสามารถตัดสินได้เพียงผ่านสายตาและเสียงพูดเท่านั้น ดวงตาของฉินอวี่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย แต่เสียงที่ได้ยินกลับไม่คล้ายคลึง หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ศิษย์สวมหน้ากากคนนี้ก็พูดขึ้น “เ้าเองหรือ? เ้าคนโก่งราคา?”
ฉินอวี่เยาะเย้ยอยู่ในใจ และคิดว่านี่คงเป็การทดสอบเพื่อให้แน่ใจ? และยังไม่รู้เช่นกันว่าคนผู้นี้เข้ามายังชั้นที่สามได้อย่างไร หรือจะเป็ไปได้หรือไม่ว่า นี่คือศิษย์รุ่นสี่ของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง? ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็เหลือบมองศิษย์คนนั้นอย่างเ็า จากนั้นจึงหยิบตำราเล่มต่อไปขึ้นมาอ่าน
เมื่อเห็นฉินอวี่ทำเป็ไม่ได้ยิน ศิษย์ที่สวมหน้ากากคนนี้ก็ตะคอกขึ้นเสียงดัง “หยิบป้ายคำสั่งของเ้าออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น เ้าก็อย่าคิดว่าวันนี้จะได้ออกไปจากหอตำรา”
“โอหังยิ่งนัก” ฉินอวี่อุทานขึ้นในใจอย่างเ็า และหันศีรษะกลับไปมองศิษย์ที่สวมหน้ากาก ดวงตาลุกเป็ไฟ และพูดออกด้วยเสียงที่แก่ชรา “ไปให้พ้น!”
ศิษย์ที่สวมหน้ากากรู้สึกใยิ่งนัก และยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ หลายวันมานี้เขาตามหาตัวฉินอวี่มาโดยตลอด แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าหลังจากตามหาตัวผู้ดูแลทั้งหมดในสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ก็ยังไม่พบตัวฉินอวี่ สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ที่สวมหน้ากากรำคาญใจเป็อย่างยิ่ง
ศิษย์ที่สวมหน้ากากไม่ได้สนใจเื่ของแต้มสนับสนุน แต่ในใจของเขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาถูกมองว่าทำร้ายโกงคนมาตลอด แต่กลับไม่มีผู้ใดที่กล้าจะทำอะไรเขา
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีสายตาของศิษย์รุ่นสี่จากรอบด้านกำลังจ้องมองมา ในใจของศิษย์สวมหน้ากากจึงไม่อาจแสดงความโกรธออกมาได้ ศิษย์รุ่นสี่คนหนึ่งกล้าดีอย่างไรมาไล่เขา “ไปให้พ้น”? แม้ว่าฉินอวี่จะไม่ใช่คนที่ทำอะไรเขา แต่ศิษย์สวมหน้ากากคนนี้คงไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่นอน เขามองดูฉินอวี่อย่างเ็า และพูดออกมา “เยี่ยมมาก ข้าจะลองดูว่าวันนี้ใครคือคนที่ต้องไสหัวออกไป!” เมื่อศิษย์สวมหน้ากากพูดจบ มือขวาของเขาก็ปรากฏเปลวเพลิงคว้าไปทางฉินอวี่
ฉินอวี่หันตัวกลับอย่างรวดเร็ว ป้ายคำสั่งสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา และยื่นไปทางศิษย์สวมหน้ากาก
ศิษย์สวมหน้ากากหรี่ตามองป้ายคำสั่งสีม่วง และใขึ้นทันที เมื่อได้เห็นตัวอักษร “ถิง” บนป้ายคำสั่ง ดวงตาของเขาก็แทบจะทะลักออกมา และรีบเก็บเปลวเพลิงในทันที
“ภายในสามลมหายใจ เ้าต้องหายไปจากที่นี่” ฉินอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แก่ชรา เลียนแบบน้ำเสียงของอาจารย์หวงถิง
ศิษย์สวมหน้ากากสั่นสะท้านไปทั้งตัว ความเย่อหยิ่งเ่าั้หายไปทันที น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ “ท่านปู่... ท่านปู่ถิง... ถังอีิ... ไม่ทราบว่าเป็ท่าน” พูดจบ ศิษย์สวมหน้ากากคนนี้ก็รีบหันหลังวิ่งออกไป และหายวับไปในพริบตา
เมื่อมองไปยังเื้ัของถังอีิศิษย์ที่สวมหน้ากากคนนั้น ฉินอวี่ก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันขึ้นมาในใจ คนผู้นี้เย่อหยิ่งอย่างมาก หากไม่ขู่เขาไว้เสียบ้าง เขาก็อาจคิดว่าสำนักยุทธ์ว่านจ้งเป็บ้านของตนเอง เพียงแต่ เมื่อเขาเรียก “ท่านปู่ถิง” ขึ้นมา ทำให้ฉินอวี่ประหลาดใจยิ่งนัก ดูเหมือนว่า ปู่ของถังอีิผู้นี้ อาจจะเป็ผู้าุโคนใดคนหนึ่ง แต่ฉินอวี่ก็ไม่คิดอะไรมากมาย และหยิบตำราขึ้นมาอ่านต่อไป
เวลาบีบคั้นเข้ามาแล้ว เมื่ออ่านตำราในระดับชั้นก่อนชั้นที่ห้าจนหมดแล้ว ฉินอวี่ยังต้องทำการศึกษาหอกศึกเป็สิ่งต่อไป
ศิษย์ที่อยู่โดยรอบต่างหวาดกลัวยิ่งนัก ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้าุโหวงถิงจะมายังชั้นที่สามจริงๆ และในตอนนี้ จึงไม่มีผู้ใดกล้าแม้จะหายใจแรง เพราะต่างเกรงกลัว “หวงถิง” จนในตอนนี้มีศิษย์บางคนถึงกับค่อยๆ ออกไปจากหอตำราชั้นที่สามอย่างเงียบๆ
