และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งปี โดยในครึ่งปีมานี้… จื่อต้าหลงเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชา ร่ำสุรา มีบางครั้งที่ออกไปรับภารกิจในสำนักกับเฉิงไฉเซียว และลวี่เหรินบ้าง ตอนนี้จื่อต้าหลงอายุได้สิบห้าปีแล้ว ร่างของเขาค่อนข้างสูง ผอม แต่ทว่ากำยำ ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าคมคาย นับว่าถูกใจสาวน้อยสาวใหญ่มากมายนัก
‘นี่ข้าก็อยู่สำนักปลาทองมาสองปีแล้วเวลาช่างผ่านไปไวยิ่งนัก!’ บัดนี้เด็กหนุ่มได้บรรลุเข้าสู่ระดับลมปราณจิตขั้นที่หนึ่งแล้ว ‘วันนี้กลับตระกูลหน่อยดีกว่า’
ณ จวนตระกูลจื่อ
ขณะนี้ ในห้องโถงของประมุข มีผู้าุโมากมายนับสิบ จื่อเทียนหลาง และจื่อฮวา ต่างก็อยู่กันพร้อมหน้า
“ท่านประมุข อีกไม่นานงานประลองยุทธรุ่นเยาว์อาณาจักรัหลับของเราก็จะมาถึงแล้ว ไม่ทราบว่า ท่านเตรียมการอะไรไว้บ้างหรือยัง?” ผู้าุโท่านนึงถาม
“แน่นอนข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว” จื่อเทียนหลางตอบอย่างสงบ
“ถ้าท่านกล่าวเช่นนั้น… พวกข้าก็เบาใจ”
หลังจากที่ทุกคนประชุมกันเสร็จต่างก็แยกย้ายกันไปทำเื่ของตัวเอง
จื่อต้าหลงกลับบ้านมาก็เห็นพวกผู้าุโกำลังทยอยออกจากที่ประชุมพอดี เห็นดังนั้นเขาจึงเข้าไปทักทายผู้คนก่อนที่จะเข้าโถงไปเพื่อพบกับท่านพ่อและท่านแม่
“ท่านพ่ออออ!! ข้ากลับมาแล้วขอรับ” จื่อต้าหลงะโั้แ่หน้าประตู
“อุ๊บ๊ะ!! ไอ้เ้านี่ กลับมาทีไรมาเงียบๆไม่ได้ทุกที ไหนรอบนี้เ้าจะเอาอะไรอีก?!” จื่อเทียนหลางกล่าวยิ้มๆ
“ท่านแม่ดูสิท่านพ่อเอาแต่กล่าวหาข้า ข้าไม่ได้จะมาขออะไรสักหน่อย แค่คิดถึงพวกท่านเท่านั้นเอง” จื่อต้าหลงกล่าวพร้อมทำหน้าหงอยๆ
“ท่านพี่ไปว่าลูกอย่างนั้นได้ยังไง ลูกอุตส่าห์ เข้าไปร่ำเรียนในสำนักปลาทอง ต้องทนลำบากมากมายแค่ไหน?!” จือฮวากล่าวอย่างเคืองๆ หลังจากนั้นจื่อเทียนหลางก็โดนจื่อฮวาเทศอยู่พักใหญ่…. ในใจพลางคิด ‘นี่ข้าแค่พูดประโยคเดียวเองนะเนี่ย’
“ไหนมาดูสิลูกแม่เป็ยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย?” จื่อฮวากล่าวพร้อมกับลุกขึ้นมาจับมือลูกชายหมุนตัวไปมา เพื่อสำรวจการเปลี่ยนแปลง
‘เหนื่อยกับผีน่ะสิ! ข้าให้คนตามดูเห็นเ้าตัวแสบ เข้าแต่โรงเตี๊ยมเมฆแดงสั่งสุรามาดื่มกับสหายแทบทุกวัน เฮ้อออ นี่ยังดีนะ ได้ยินมาว่ายังขยันฝึกเช้าเย็นอยู่บ้าง ไม่งั้นข้าคงได้แต่ดุแล้ว’ จื่อเทียนหลางคิดในใจ
“ลูกไม่เหนื่อยเลยขอรับท่านแม่ ่นี้ข้ากำลังไปได้สวยเลย อิอิ” จื่อต้าหลงกล่าว
“อายุแค่สิบห้าปี แต่กลับเข้าเป็ศิษย์หลักได้แล้ว เ้าคือความภาคภูมิใจของแม่ ถ้าพี่ใหญ่เ้ารู้ก็คงยินดีไปกับเ้าด้วย” จื่อฮวากล่าวอย่างเบิกบาน
“จริงสิ… พี่ใหญ่นางเป็อย่างไรบ้าง?” จื่อต้าหลงถาม
“พี่ใหญ่เ้าน่ะรึ? นางออกไปท่องยุทธภพ หลายปีแล้ว นานๆจะส่งจดหมายมาว่าสบายดี ระดับพลังของนางเองก็สูงขึ้นเยอะ ข้าเองก็ไม่ได้กังวลอะไรนักในส่วนนี้” จื่อเทียนหลางตอบแทน
“ข้าเองก็อยากลองไปท่องยุทธภพบ้างเหมือนกัน” จื่อต้าหลงกล่าวอย่างมุ่งมั่น
“เ้าเองก็ด้วยรึ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!! ดูเหมืิอนทายาทตระกูลจื่อจะอยู่ไม่นิ่งสักคนเลยนะ” จื่อเทียนหลางกล่าว ในสมัยก่อนเขาเองก็ชอบท่องยุทธภพเช่นเดียวกัน จนได้มาเจอ จื่อฮวา เขาจึงแต่งนางเข้าตระกูล และรับหน้าที่ประมุขดูแลตระกูลต่อไป ตระกูลจื่อนั้นทำหน้าที่รับคุ้มภัยให้แก่ผู้ว่าจ้างต่างๆที่้าใช้บริการ โด่งดังทั้งในเมืองและนอกเมือง แถมยังมีสาขาที่เมืองๆอื่นๆอีกนับสิบเมือง ถือว่าตระกูลนี้เป็สำนักคุ้มภัยยังได้เลย
คนในตระกูลจื่อต่างขยันขันแข็งฝึกวิชา โดยส่วนมากก็ผ่านการฝึกจากสำนักปลาทองแทบทั้งสิ้น ทุกปีสำนักปลาทองจะปั้นศิษย์ระดับสูงออกมาได้เสมอ ด้วยทั้งเคล็ดวิชา หอตำรา ยา อาวุธ คู่ซ้อม การแข่งขันในหมู่ศิษย์ต่างก็มีให้พร้อมสรรพ ทำให้ฝีมือพัฒนาไปได้ไวมาก
ั้แ่ระดับพลังฝีมือของจื่อต้าหลงบรรลุปราณจิต ตราัม่วงก็เริ่มดูดซับพลังได้น้อยลงส่วนนึง ทำให้เขาต้องหมั่นฝึกฝึนพลังปราณมากกว่าเดิม จึงจะบรรลุขั้นต่อไปได้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอตัวไปหาท่านย่าก่อนนะขอรับ” จื่อต้าหลงกล่าวพร้อมกับคารวะ
“ไปเถอะ” จื่อเทียนหลางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
ณ จวนของจื่อเหมย
จื่อต้าหลงเข้าไปก็เห็นหญิงชรานั่งจิบชาอยู่อย่างสงบ…
“ท่านย่าจ๋าาา ข้ามาหาท่านแล้ว” จื่อต้าหลงกล่าวน้ำเสียงคิดถึง
“เป็อย่างไรบ้าง? ย่าได้ข่าวว่าเ้าตั้งใจฝึกเต็มที่ เ้าคือคนแรกเลยที่ได้เข้าเป็ศิษย์หลักในวัยสิบห้าปี เ้าทำให้ย่าภูมิใจแล้ว” หญิงชรากล่าวด้วยร้อยยิ้ม
“ใช่แล้วขอรับ หลานตั้งใจฝึกมากเลยยย” จื่อต้าหลงกล่าวเสียงอ้อน
“ฮ่า ฮ่า! เอาล่ะๆ ฝ่ามือัม่วงเ้าฝึกไปถึงขั้นไหนแล้ว” ท่านย่าถามยิ้มๆ
“เรียนท่านย่า ข้าฝึก ัม่วงทะยานฟ้าไปถึงขั้นสี่แล้ว” จื่อต้าหลงบอกกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“ยอดเยี่ยมนัก!! ขนาดผู้าุโในตระกูลยังมีน้อยนักที่ฝึกได้ถึงขั้นนี้ หลานย่าเก่งกาจจริงๆ ได้เวลาที่ข้าจะสอน ท่าต่อไปให้เ้าแล้ว ท่าต่อไปเป็ท่าป้องกัน เรียกว่า ปราการัม่วง เอาล่ะ ตั้งใจดูให้ดี” ท่านย่ากล่าวพร้อมกับ ลุกขึ้นจากโต๊ะหินอ่อน แล้วเดินไปที่ลานกว้าง
หญิงชราขับเคลื่อนพลังของกระบวนท่าปราการัม่วง คลื่นพลังปราณสีม่วงไหลทะลักออกมาจากรอบกาย ก่อเป็รูปกำแพงที่มีัสีม่วงพันรอบกาย ปราการนี้ดูไปแล้วยิ่งใหญ่และมั่นคงนัก! หญิงชราบอกให้จื่อต้าหลงลองโจมดีดู เด็กหนุ่มโคจรลมปราณจากนั้นจึงซัดฝ่ามือัม่วงทะยานฟ้าขั้นสี่ไปโดยใช้พลังแปดส่วน!
เปรี้ยงง!!
วิชาโจมตีที่เขามั่นใจกลับไม่ะเืปราการัม่วงเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มถึงกับอึ้ง สุดยอด! วิชาป้องกันช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
“ท่านย่าจ๋า ท่าปราการัม่วงแข็งแกร่งสุดๆไปเลย ท่านรีบสอนให้ข้าเถอะ” หลังจากที่ได้รู้ความร้ายกาจของมันแล้ว จื่อต้าหลงก็อยากเรียนท่านี้มาก จื่อเหมยสอนเขาอย่างช้าๆ “อันดับแรกเ้าโคจรพลังตามที่ย่าสอนก่อน….”
หลังจากลองทำตามที่จื่อเหมยบอก จื่อต้าหลงก็สามารถกางปราการัม่วงขึ้นมาได้ ปราการัม่วงกางออกรอบกายเขา อย่างมั่นคง แม้ขนาดจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าของหญิงชรา แต่ทว่าเขาก็กางไปได้หลายเมตรรอบตัวแล้ว จื่อเหมยที่เป็คนสอนถึงกับตกตะลึงใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม กลับสามารถกางปราการัม่วงออกมาได้แล้ว ดูเหมือนทายาทรุ่นนี้ของตระกูลจื่อกลับมีพร์มากถึงเพียงนี้หากให้เวลาสักหน่อย อนาคตเขาคงไปได้ไกลมาก หลังจากที่ฝึกฝนอยู่ที่จวนของหญิงชราอยู่ครึ่งวัน จื่อต้าหลงก็บรรลุปราการัม่วงขั้นที่สอง! นี่ยิ่งทำให้หญิงชราตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!!
หลังฝึกเสร็จเด็กหนุ่มก็นั่งคุยสัพเพเหระกับจื่อเหมยไปเรื่อยตามประสาย่าหลานที่ไม่ได้คุยกันนาน…. เวลาไหลผ่านจนตกเย็น เขาก็ขอตัวลาท่านย่ากลับ เพราะว่าเขามีนัด
จื่อต้าหลงเมื่อออกจากจวนท่าย่าเสร็จ เขาก็ไปหยุดอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆแดง ตำแหน่งเดิม ริมระเบียง
“เ้ามาสายนะ…” ลวี่เหรินกล่าว
“พอดีข้าไปเยี่ยมท่านย่าด้วยน่ะเลยเพลินไปหน่อย” จื่อต้าหลงตอบ
“มาๆๆ นั่งลงได้แล้ว ข้ากับลวี่เหรินนั่งรอเ้ามาครู่ใหญ่แล้ว” เฉิงไฉเซียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
่ที่ผ่านมานี้ ทั้งสามหนุ่มต่างสนิทกันมากขึ้น ทั้งฝึกวิชา กินอาหาร ชมการร่ายรำ ดื่มสุรา และไล่ทำภารกิจ ระดับพลังของเฉิงไฉเซียวไปถึงระดับปราณก่อเกิดขั้นแปดแล้ว ส่วนลวี่เหรินก็ไปอยู่ที่ขั้นเก้า นี่บ่งบอกเลยได้ว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้หยุดพัฒนา แม้จะดื่มเหล้าแทบทุกวัน พวกเขาเองก็ต่างขยันฝึกวิชา
“พวกเ้าคิดอย่างไรกับการประลองรุ่นเยาว์อาณาจักรลี่?” ลวี่เหรินเอ่ยถาม
