อัคนีมาถึงบ้านด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แม้ภายในใจจะไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำสั่งด่วนให้กลับมาร่วมโต๊ะอาหารในค่ำกับแขกพิเศษคืนนี้
‘แขกพิเศษ’ ที่เ้าสัวบอกเขา เขาก็พอจะรู้แล้วว่าเป็ใคร
เมื่อเดินเข้ามาในห้องอาหาร หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างคุณหญิงอภิญญาก็หันมายิ้มให้เขาทันทีคือ หฤทัย และข้าง ๆ เธอคือ คุณฤบดินทร์ บิดาของเธอ
“ไฟมาถึงพอดีเลยลูก” คุณหญิงอภิญญา เอ่ยทักเมื่อเห็นลูกชายเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร
อัคนียกมือไหว้บิดามารดาก่อนจะหันไปไหว้คุณฤบดินทร์และรับไหว้หฤทัย
ชายหนุ่มนั่งลงข้างเ้าสัวอดิศวร บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยบทสนทนาเื่สัพเพเหระ คุณหญิงอภิญญาเอ่ยชมความสวยและกิริยามารยาทของหฤทัยไม่ขาดปาก ดูก็รู้ว่าเธอถูกอกถูกใจแขกพิเศษของค่ำคืนนี้มากเพียงใด
ส่วนอัคนีแม้จะไม่มีท่าทีขัดข้องออกมาให้เห็น แต่ก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นต่อการสนทนาเป็พิเศษ ตลอดเวลาที่นั่งร่วมโต๊ะ เขารักษามารยาทอย่างดี
หฤทัยรับรู้ได้ถึงความเ็าของเขา แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เธอยังคงส่งยิ้มหวานและชวนเขาคุยเป็ระยะ
หลังจากอาหารค่ำจบลง ทั้งหมดมานั่งพูดคุยกันต่อที่ห้องรับรอง
“ไฟ ลุงมีเื่อยากรบกวนสักหน่อยจะได้ไหม?” คุณฤบดินทร์ก็เปรยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม สายตามองไปยังอัคนี
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับอีกฝ่าย “เชิญพูดมาได้เลยครับ”
คุณฤบดินทร์วางแก้วชาในมือลง แล้วพูดอย่างใจเย็น “ลุงอยากให้ยัยหลินไปเรียนรู้งานที่บริษัทของคุณสักสองเดือน เพิ่งเรียนจบกลับมายังไม่มีประสบการณ์ ลุงเลยอยากให้ไปเรียนรู้งานกับคนเก่ง ๆ อย่างไฟก่อนนะ จะได้ไหม?”
อัคนีนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พ่อของเธอ หฤทัยยิ้มกว้าง
คุณหญิงอภิญญาหันไปมองบุตรชายของตัวเองด้วยสายตาคาดหวังเช่นกัน เพราะหากหญิงสาวทำให้ลูกชายพอใจก็จะเป็การดีที่จะได้เป็ฝั่งเป็ฝาไปด้วย “ไฟ พอจะช่วยสอนงานน้องได้ไหมลูก?”
ชายหนุ่มวางแก้วในมือลงช้า ๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผมไม่มีปัญหาครับ ถ้าอยากเรียนรู้งาน ผมก็ยินดี”
หฤทัยยิ้มกว้างรีบยกมือไหว้ของคุณเขาทันที เธอคิดว่าหากได้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดอัคนีในสภาพแวดล้อมการทำงาน จะเป็โอกาสดีที่เธอจะสามารถสร้างความประทับใจให้เขาได้มากขึ้น
เช้าวันแรกที่ หฤทัย ก้าวเข้ามาทำงานในบริษัท บรรยากาศที่ปกติสงบเงียบของแผนกผู้บริหารก็ดูจะแปลกไปเล็กน้อย
หฤทัยมาในชุดทำงานที่ดูหรูหราจัดเต็ม ก่อนจะหันไปยิ้มให้กิตติกา “สวัสดีค่ะ หลินค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ”
อัคนี สั่งให้ กิตติกา จัดโต๊ะทำงานของหฤทัยเอาไว้หน้าห้องทำงานของเขา ตรงข้ามกับโต๊ะของเธอโดยตรง เพื่อให้เธอสามารถแนะนำงานให้หฤทัยได้อย่างสะดวก
“ค่ะ ดิฉันกริ่งนะคะ นี่แพนเค้กค่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยถามได้ตลอดเลยนะคะ” กิตติกาตอบรับตามมารยาท แล้วแนะนำตัวเธอเองกับผู้ช่วยเลขาอีกคนให้หฤทัยทราบ กิตติกาอธิบายสิ่งที่ควรทราบให้หญิงสาวรับรู้
ฟังเสร็จหฤทัยวางกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในห้องของอัคนี ทำเอากิตติกาและพิศมัยมองตามด้วยความงุนงง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน
แล้ววันนี้ทั้งวัน หฤทัยเอาแต่เดินเข้าเดินออกห้องของอัคนีอยู่ตลอด เธอบอกว่าเข้าไปสอบถามเื่งานกับเขาโดยตรงเพราะเธอต้องมาเรียนรู้งานด้านการบริหาร
พิศมัยซึ่งสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ มาทั้งวัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เดินมาหยุดข้างโต๊ะของกิตติกาแล้วก้มลงมากระซิบ
“พี่กริ่ง ๆ”
“ว่าไงจ๊ะ” กิตติกาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“แพนว่ามันแปลก ๆ ยังไงชอบกลนะคะ เดินเข้าห้องบอสทั้งวันเลย” พิศมัยพยักพเยิดไปทางหฤทัย ที่เพิ่งเดินเข้าไปห้องของอัคนีเป็รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
กิตติกาพ่นเสียงหัวเราะออกทางจมูกกับคำบอกเล่าของพิศมัย
“บอสก็บอกแล้วไงว่าเขามาเรียนรู้งาน”
“ไม่เห็นมาถามพี่กริ่งสักคำเลยค่ะ”
“เขามาเรียนเป็ผู้บริหารนี่จ๊ะ ไม่ได้มาเรียนเป็เลขา”
“ก็จริงค่ะ แต่ว่า..”
“ไม่เอา ๆ” กิตติกาเตือนเสียงเบา พิศมัยคว่ำปากทันทีเมื่อถูกห้าม ใช่ว่ากิตติกาจะไม่รู้เป็ผู้หญิงทำไมจะมองไม่ออกว่าสิ่งที่หฤทัยทำนั้น้าอะไร
หฤทัยมาเรียนรู้งานได้สองอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็ชิ้นเป็อันมากนัก เพราะมัวแต่เข้าไปออดอ้อนให้อัคนีสอนงาน และขอตามติดเขาไปในที่ต่าง ๆ แถมยังคอยดักเวลาที่กิตติกาจะเอาเอกสารเข้าไปให้อัคนีเซ็นไว้ก่อน เพื่อที่เธอจะได้เข้าไปยื่นเองแทนทุกครั้ง
-บริษัท Akarin Group-
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเบา ๆ “ได้ยินข่าวกันหรือยัง? เื่ท่านประธานกับเลขาน่ะ”
“อะไรนะ? เื่อะไร?”
“มีคนบอกว่า คุณหลินที่มาทำงานชั้นบนนะจริง ๆ แล้วเป็ว่าที่คู่หมั้นของท่านประธานนะ แต่พอมาทำงาน ก็มารู้ความจริงที่ว่าบอสกับเลขาแอบกินกันเลยทำให้เสียอกเสียใจยกใหญ่เลย”
“จริงเหรอ? แต่ท่านประธานนี่นะ จะกินเลขา”
“สวยขนาดนั้น ก็ไม่แปลกหรอก”
“แต่สงสารคุณหลินเนาะ”
“พวกคุณรู้เื่นี้ได้ยังไงคะ” หฤทัยทำหน้าเศร้า ๆ น้ำตาปริมอยู่ขอบตา “ฉันไม่เคยบอกใครเลยนะคะ ว่าฉันเป็คู่หมั้นกับพี่ไฟ” อยู่ดี ๆ หฤทัยก็พูดขึ้นมาโดยที่ทุกคนไม่ทันได้มองว่าเธอเข้ามาในห้องนี้ั้แ่เมื่อไหร่
ที่ทุกคนรู้จักหฤทัยเพราะปกติหญิงสาวก็มักจะมาพูดคุยกับแผนกต่าง ๆ แล้วก็แนะนำตัวว่ามาเรียนรู้งานอยู่ชั้นของผู้บริหาร
ทุกคนในห้องทำสีหน้าอึ้งไปตามกัน ไม่คิดว่าเื่ที่คุยกันนั้นหฤทัยจะมาได้ยินเข้า ไหนจะสีหน้าท่าทางของเธอ ยิ่งทำให้คนในห้องต่างพากันสงสารหญิงสาวที่เข้ามารับรู้ว่าคู่หมั้นตัวเองแอบคบกับเลขาอยู่ลับ ๆ
“ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำตัวแบบนี้”
“สวยขนาดนั้น ยั่วนิดยั่วหน่อยเป็ใครก็หลงไหมล่ะ”
“นี่” เพื่ออีกคนสะกิดให้หยุดพูด แล้วมองไปที่หฤทัยที่ทำสีหน้าเศร้าน่าสงสารมากกว่าเดิม
“ได้ตำแหน่งนั้นมาเพราะเต้าไต่รึเปล่านะ” อีกคนก็พูดขึ้นอย่างดูถูก
“อาจจะเป็เื่เข้าใจผิดกันก็ได้นะคะ”
“คุณหลิน คนเมาท์กันไปทั่วไม่น่าจะเข้าใจผิดนะคะ”
“เดี๋ยวพอคุณหลินแต่งงานกับท่านประธาน ยัยนั่นยังจะมีหน้าอยู่ทำงานเป็เลขาต่ออีกเหรอ”
“ก็ไม่แน่หรอก ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัว หน้าด้านจะตาย”
พิศมัยเดินเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี สีหน้าของเธอตึงขึ้นทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ทุกคนกำลังพูดถึง
พิศมัยบอกเสียงเย็น “ขอโทษนะ พวกคุณพูดถึงคนอื่นเสีย ๆ หาย ๆ แบบนี้ได้เหรอ?”
ทุกคนสะดุ้ง เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่ใครสักคนจะพูดขึ้นเบาๆ “เราก็แค่ได้ยินมา ก็แค่นั้น”
พิศมัยถามเสียงแข็งขึ้น “แล้วพวกคุณได้ยินจากใคร? หรือว่าฟังมาแล้วก็เชื่อเลยโดยไม่มีหลักฐาน?” พิศมัยจ้องหฤทัยนิ่งๆ “หรือว่าคุณเป็คนปล่อยข่าวกันแน่”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที
แต่หฤทัยเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังมีสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนเดิม “ฉันไม่จำเป็ต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ เพราะความจริงมันก็เห็นกันอยู่แล้ว”
พิศมัยกำมือแน่นอย่างอดกลั้น เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่เื่จริง แต่จะทำยังไงให้ข่าวลือนี้หยุดก่อนที่มันจะไปถึงหูของอัคนีและทำให้กิตติกาเดือดร้อน ?
พิศมัยรีบเดินหน้าตั้งเข้ามาหากิตติกา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“พี่กริ่ง! ได้ยินข่าวหรือยังคะ?”
กิตติกาพยักหน้า “ได้ยินแล้วจ้ะ”
“เื่นี้มันมาจากใครกันนะ น่าโมโหจริง ๆ แต่พี่กริ่งไม่ต้องสนใจนะคะ พวกนั้นมีปากก็พูดไปเรื่อย” พิศมัยพยายามพูดให้เธอคลายกังวล
กิตติกายิ้มบาง ๆ “จ๊ะ ขอบคุณมากนะแพน”
พิศมัยมองเธออย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะถอนหายใจ “พี่กริ่งจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอคะ”
“เดี๋ยวก็เลิกเมาท์กันไปเองแหละ” กิตติกาไม่เห็นความจำเป็ที่จะต้องอธิบายหรือพูดอะไรเกี่ยวกับเื่นี้ เพราะความจริงระหว่างเธอกับอัคนี มันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้ใครเข้าใจ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าอยู่ดี ๆ ทำไมถึงมีข่าวเกี่ยวกับเธอในบริษัทได้ ทั้งที่มั่นใจว่าภายในบริษัทเธอและอัคนีไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามเลยสักครั้ง
“คุณหญิงป้าสวัสดีค่ะ” หฤทัยที่เหลือบไปเห็นคุณหญิงอภิญญารีบวิ่งออกมารับทันที
“จ๊ะ” คุณหญิงอภิญญายิ้มทักทายหญิงสาว
กิตติกาและพิสมัยลุกขึ้นยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณท่าน”
“สวัสดีหนูกริ่ง ท่านเทิ่นอะไร บอกให้เรียกป้าไงจ๊ะ แล้วนี่ผู้ช่วยคนใหม่หนูเหรอจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ”
“หนูชื่อพิสมัย ชื่อเล่นแพนเค้กค่ะคุณท่าน”
“เรียกฉันคุณป้าเหมือนหนูกริ่งเถอะจ้ะ”
“ค่ะ”
“นี่ตาไฟอยู่ข้างในไหมจ๊ะ”
“อยู่ค่ะ เดี๋ยวหนูพาเข้าไปนะคะ” หฤทัยเสนอตัวทันที
“ขอบใจจ้ะ”
คล้อยหลังเมื่อคุณหญิงอภิญญาเข้าไปในห้องแล้วกิตติกาก็บอกให้พิศมัยวอหาแม่บ้านเพื่อเตรียมเครื่องดื่มกับของว่าง ไม่นานแม่บ้านก็ยกถาดที่มีน้ำส้มกับคุ๊กกี้เข้าไปในห้องของอัคนี
ภายในห้องทำงานของอัคนี หฤทัยชวนคุยนั่นนี่โดยไม่สนใจว่านี่เป็เวลางานของเธอ คุณหญิงอภิญญาปรายตามองอัคนี แล้วมองไปที่หญิงสาวที่ถือวิสาสะอยู่ในห้องนี้ด้วย
“หนูหลิน” เสียงเรียบของคุณหญิงเอ่ยขึ้น หญิงสาวหันไปทางคุณหญิงอภิญญาก่อนจะส่งยิ้มหวาน “ไปทำงานเถอะลูก ไม่ต้องมาอยู่เป็เพื่อนป้าหรอก”
แม้คำพูดจะอ่อนโยน แต่ความหมายแฝงนั้นชัดเจน หฤทัยเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไป “ค่ะ คุณหญิงป้า” เธอลุกขึ้นยืน หมุนตัวออกจากห้องไป แม้ในใจจะรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อเหลือเพียงแม่ลูกอยู่ในห้อง คุณหญิงอภิญญาจึงหันกลับมามองอัคนีอย่างพินิจพิเคราะห์
“่นี้บริษัทดูคึกคักดีนะตาไฟ เหมือนแม่จะได้ยินคนเขาพูดกันเื่แกด้วย”
อัคนีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวพิงโซฟาอย่างไม่ยี่หระ “แม่รู้เื่ด้วยเหรอครับ? คุณแม่อยู่แต่บ้านได้ยินเื่ในบริษัทได้ไงครับเนี่ย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก แม่รู้ทุกเื่แหละ แต่แม่แค่อยากรู้ว่าข่าวลือนั่นจริงแค่ไหนต่างหาก”
อัคนีทิ้ง่อยู่สักพักไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ราวกับให้คำตอบไปในตัว ท่าทางแบบนั้นทำให้คุณหญิงอภิญญานึกหมั่นไส้ ก่อนจะลุกขึ้นยืน พร้อมกับเปลี่ยนเื่กะทันหัน
“เอาเถอะ ถ้าลูกไม่พูด แม่ก็จะไม่เซ้าซี้ เดี๋ยวแม่จะไปชวนหนูกริ่งไปกินข้าวด้วยดีกว่า นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย” คุณหญิงอภิญญาบอกพร้อมยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู
“คุณแม่!!”
“เรียกทำไมจ๊ะ ลูกชาย”
“กริ่งเขางานยุ่งนะครับ”
“ยุ่งขนาดไหนก็ต้องกินข้าว แล้วแกเป็เ้านายแบบไหนจะไม่ให้ลูกน้องไปกินข้าวเหรอ”
“แม่ครับ แม่” อัคนีเรียกแต่ก็ไม่สามารถหยุดผู้เป็แม่ได้
“อะไร ตาไฟ”
สองแม่ลูกขัดกันไปขัดกันมา จนมาถึงหน้าโต๊ะของกิตติกา ที่ทำหน้างุนงงกับท่าทางของสองแม่ลูก
“หนูกริ่งจ๊ะ ป้าอยากชวนหนูไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ไม่ได้เจอตั้งนานป้ามีเื่อยากคุยกับหนูเยอะแยะไปหมด ไปทานข้าวเป็เพื่อนป้าหน่อยนะ”
“เอ่อ..ได้ค่ะ” เธอมองอัคนีสลับกับคุณหญิงอภิญญา แต่ก็ตอบตกลงไป เพราะผู้ใหญ่อุตส่าห์ชวนทั้งที
“งั้นผมไปด้วยครับ”
“แกจะไปทำไมตาไฟ แม่อยากไปกับหนูกริ่งสองคน”
“ผมหิวข้าวพอดีครับ”
คุณหญิงอภิญญาปรายตามองลูกชายตัวดีด้วยหางตา ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้หญิงสาวตรงหน้า
“หนูกริ่งไม่มีงานอะไรด่วนใช่ไหมจ๊ะ”
“ไม่มีค่ะ”
“ดีจ๊ะ งั้นเราไปกันเลยดีกว่า”
หฤทัยที่เห็นเหตุการณ์ ดูเหมือนจะไม่พอใจเพราะไม่ได้ถูกชวนให้ไปด้วย ริมฝีปากของหญิงสาวเม้มเข้าหากันแน่น แต่พอมาคิดอีกที คุณหญิงอภิญญาอาจจะไปพูดกับกิตติกาให้เลิกยุ่งกับอัคนีก็เป็ได้ ความคิดนี้ทำให้หฤทัยยิ้มออกมาอย่างพอใจ
ภายในร้านอาหารคุณหญิงอภิญญานั่งข้างกิตติกา ปล่อยให้อัคนีนั่งฝั่งตรงข้ามคนเดียว
“เป็ไงบ้างจ๊ะหนูกริ่ง ทำงานกับตาไฟ” กิตติกายิ้มตอบ “ถ้าถูกแกล้งหนูมาบอกป้าได้เลยนะจ๊ะ ”
“แม่ครับ ผมจะไปแกล้งเค้าทำไมละครับ”
“ใครจะรู้ ลูกเองก็นิสัยไม่ดีอยู่ด้วย ว่าแต่ตาไฟเคยพาหนูกริ่งมาร้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ?” คุณหญิงเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยนัยบางอย่าง
กิตติกาชะงักไปชั่วครู่ก่อนตอบ “ครั้งนี้ครั้งแรกค่ะ”
“ไม่ได้เื่เลยตาไฟ ร้านนี้อาหารอร่อยมากเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวป้าสั่งของอร่อย ๆ มาให้หนูทาน” คุณหญิงอภิญญาต่อว่าลูกชาย แต่ประโยคหลังหันมาพูดกับหญิงสาวเสียงหวาน
อัคนีที่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ผมหัวเน่าแล้วเหรอครับ”
“พูดอะไรแบบนั้นละลูกคนนี้นี่” คุณหญิงใช้ดวงตาคมกริบตวัดไปทางลูกชาย
พูดคุยหยอกล้อกันสักพักอาหารที่สั่งก็มาวางเรียงรายเต็มโต๊ะ คุณหญิงอภิญญาตักนั่นนี่ไปให้กิตติกาที่จานเต็มไปหมด จนอัคนีมองผู้เป็แม่ด้วยความแปลกใจ
“่นี้งานยุ่งไหมจ๊ะหนูกริ่ง”
“ไม่ยุ่งเท่าไหร่ค่ะ”
“เหรอจะ ถ้าว่าง ๆ แวะไปทานข้าวเย็นกับป้าที่บ้านหน่อยสิจ๊ะ ป้าจะโชว์ฝีมือทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทาน”
“ค่ะคุณป้า”
“ว่าแต่หนูชอบทานอะไรเป็พิเศษจ๊ะ”
“หนูทานเกือบทุกอย่างเลยค่ะ”
“ดีจัง แต่ว่าหนูกริ่งต้องระวังนะลูก ต้องเลือกบ้าง ไม่งั้นมันจะเสาะท้องเอาได้” ว่าแล้วก็หันไปทางชายหนุ่มที่เหลือบมามองพอดี
อัคนีรู้สึกทะแม่ง ๆ กับคำพูดของคุณหญิงอภิญญา แต่ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้เหมือนพูดอะไรไปจะเข้าตัวเปล่า ๆ
“แล้วก็ถ้ามีปัญหาหรือได้ยินอะไรมาแล้วไม่สบายใจ หนูมาบอกป้าได้ คิดซะว่าป้าเป็แม่ของหนูอีกคนนะจ๊ะ”
“ขอบคุณคุณป้ามากนะคะ” กิตติกายกมือไหว้คุณหญิงอภิญญาที่มอบความเมตตาให้
“จ๊ะ แล้วก็...ป้าได้ยินข่าวลือในบริษัทมา หนูโอเคไหมลูก” คุณหญิงอภิญญาเตะที่ไหล่ของหญิงสาว
กิตติกานั่งตัวตรง พยายามควบคุมสีหน้าตัวเองไม่ให้แสดงพิรุธ เธอหันไปสบตาอัคนีแวบหนึ่ง เขายังคงสีหน้าเรียบเฉย
“หนูไม่เป็ไรค่ะ”
“ว่าแต่หนูมีคนคุยบ้างรึยังจ๊ะ”
“เออ..หนูยังไม่ได้คิดเื่นี้ค่ะ”
“เหรอจ๊ะ...ไม่เป็ไร ๆ ป้ารู้จักผู้ชายวัยพอ ๆ กับหนูอยู่หลายคน พวกลูกเพื่อน ๆ กันนี่แหละจ๊ะ เดี๋ยวป้าแนะนำให้หนูรู้จัก ป้ารับรองว่าเป็คนดี มีมารยาท แล้วก็เป็สุภาพบุรุษแน่นอนจ๊ะ”
“แม่ครับ” อัคนีพูดเสียงเรียบส่งแววตาติดบึ้งตึงไปให้มารดา
“ว่าไงจ๊ะตาไฟ” คุณหญิงอภิญญาหัวเราะเบา ๆ
“ก็ถ้าข่าวลือไม่เป็ความจริง แม่นี่แหละจะหาผู้ชายดี ๆ มาให้หนูกริ่ง เพื่อสยบข่าวลือซะเลย หนูกริ่งจะได้ไม่เสียชื่อเสียง”
เธอหยุดเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางกิตติกาแล้วบอก “ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ” พร้อมรอยยิ้มเอ็นดูแต่สายตากลับเต็มไปด้วยแววของความซุกซนที่กิตติกาเห็นอยู่บ่อยครั้งจากลูกชายของท่าน
อัคนีเอนตัวพิงเก้าอี้ ถอนหายใจไม่เข้าใจว่าแม่เขา้าอะไรถึงกับต้องหาผู้ชายมาให้ผู้หญิงของเขา สายตาคมมองกิตติกาด้วยสายตาเคืองอยู่เนื่อง ๆ ที่ไม่ยอมปฏิเสธแม่เขาไป
หลังจากมื้ออาหารกิตติกาก็ถูกอัคนีงอนอย่างไม่รู้ตัว กลับมาถึงห้องชายหนุ่มนั่งหน้างอเป็ปลาทูไม่ยอมพูดยอมจากับเธอ
กิตติกาอมยิ้มมองชายหนุ่มที่ตอนนี้ทำตัวเหมือนเด็กก็ไม่ปาน เธอเลยปล่อยให้เขานั่งสงบสติอารมณ์ อยู่คนเดียวในห้องรับแขก ตัวเองก็ขึ้นไป้าเพื่ออาบน้ำ
จนเธออาบน้ำเสร็จออกมาก็ยังไม่เห็นเงาของร่างหนาในห้อง จึงเดินลงมาดูเห็นว่าเขานอนเหยียดยาวอยู่ตรงโซฟา
หญิงสาวเดินเข้าไปหาเขา นั่งลงโซฟาตัวเดียวที่อยู่อีกฝากมองจ้องเขาด้วยสีหน้าอมยิ้ม
อัคนีนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น แสดงออกชัดเจนว่าเขากำลังงอน
“วันนี้คุณจะนอนที่โซฟาเหรอคะ?” กิตติกาถามด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อ
อัคนีหันหน้าหนี ไม่พูดไม่จา กดรีโมตเลื่อนไปเรื่อย ๆ ไม่ถูกใจสักช่อง กิตติกาลุกขึ้นนั่งลงตรงพื้นที่ว่างที่เหลือบนโซฟาที่เขานอน เอื้อมมือไปลูบที่ติ่งหูเขาเบา ๆ “งอนเื่อะไรคะ?”
อัคนียังคงเงียบ กิตติกาเลยโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าหล่อของคนขี้งอน “ถ้าคุณไม่พูด ฉันก็ไม่รู้นะคะ”
อัคนีเม้มปากยังไม่ยอมพูดกับเธอ
“ถ้าไม่ยอมบอก ฉันกลับห้องฉันละกัน จะได้ไม่อยู่ขวางตาคุณ”
“เดี๋ยว!!” เขาลุกขึ้นคว้าเธอให้ลงมานั่งที่ตักแล้วล็อกเอวเธอด้วยสองแขน “ไม่ให้ไปไหน”
“หายงอนแล้วเหรอ”
“ยัง”
“แล้วตอนนี้จะบอกได้รึยังคะว่างอนเื่อะไร”
“คุณไม่ยอมบอกแม่ผม ว่าคุณมีคนคุยแล้ว”
“ก็ฉันยังไม่มีจะให้ตอบแบบนั้นได้ไงละคะ”
“กริ่ง!! แล้วผมละ”
“เรายังไม่ได้เป็อะไรกันสักหน่อย”
“อยู่ด้วยกันขนาดนี้คุณยังบอกว่าไม่ได้เป็อะไรกันอีกเหรอ”
“ใช่ค่ะ ก็เรายังไม่ได้เป็อะไรกันจริง ๆ นี่”
อัคนีหงายหลังลงไปพิงโซฟาท่าทางหมดแรง ก่อนจะบอกเสียงเบา “เราเป็มากกว่านั้นไปแล้วนะ”
“ฉันไม่เห็นรู้เลย”
“กริ่ง งั้นคุณควรจะรู้ได้แล้วว่าเราสองคนเป็มากกว่าคนคุยหรืออะไรทั้งนั้น จะบอกว่าเป็ผัวเมียยังได้เลย”
“ขี้ตู่ เป็ั้แ่เมื่อไหร่กัน”
“ก็ั้แ่วันแรกที่เรานอนด้วยกันแล้วไง”
“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราพอใจกันแบบนั้น ไม่ได้ผูกมัด”
“โธ่...คุณลืมเื่นั้นไปได้แล้วนะ ตอนนี้มันเกินกว่านั้นไปเยอะแล้ว ว่าไงครับ”
“แต่คุณมีว่าที่คู่หมั้นแล้วนะคะ”
“ผมไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมมีแค่คุณคนเดียว”
“ฉันจะเชื่อคำพูดคุยได้ไงละคะ”
“ผมจะทำให้คุณเชื่อเอง” จบคำก็ลุกขึ้นพาเธอเดินขึ้นไปบนห้องนอน
ทำไมเขาจะต้องยืนยันด้วยวิธีนี้ด้วย แล้วภาพเหตุการณ์มันดูคุ้น ๆ จังเลย เธอต้องเจอกับเื่ราวเดิม ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในห้องน้ำ แล้วห้องนอนแบบวันนั้นอีกงั้นเหรอ รนหาที่ชัด ๆ เลยกริ่งเอ๊ย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้