ค่ำคืนนี้ เป็คืนที่โหยวเสี่ยวโม่นอนไม่หลับเลยั้แ่มายังโลกนี้
วันต่อมา ภายใต้การกดขี่ของหลิงเซียว เขาถูกบีบให้มายังจุดรวมพลพร้อมกัน เพราะคำพูดเมื่อวานทำเขาขวัญกระเจิง ทำให้ไม่กล้าต่อต้าน จวบจนตอนที่เขาปรากฏตัวพร้อมกับหลิงเซียวนั่นเอง เื่ราวก็ใหญ่โตขึ้น
จากที่เคยไร้ตัวตนเปลี่ยนเป็เป้าสายตาของทุกคน
คนที่ปฏิกิริยาไวที่สุดเห็นจะเป็ศิษย์น้องเล็กทังอวิ๋นฉี วิ่งเหยาะแหยะมายังหลิงเซียว พร้อมเชิดสีหน้าส่อแววรังเกียจมาที่โหยวเสี่ยวโม่ จากนั้นเอ่ยกับหลิงเซียว “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจัดการธุระเรียบร้อยแล้วหรือ”
หลิงเซียวเพียงแค่พยักหน้ารับ
ครั้งนี้ไม่ใช่การแสดง แต่เขาไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับศิษย์น้องเล็กที่อยู่ตรงหน้า
ทว่าหลินเซียวปกติก็ปฏิบัติตัวเช่นนี้กับศิษย์น้องเล็กอยู่แล้ว ทุกคนเลยไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป จะมีก็แต่โหยวเสี่ยวโม่ที่ปาดเหงื่อเย็บวาบ ยังไม่ทันเดินจากไป ทังอวิ๋นฉีก็พร้อมเหวี่ยงหมัดมายังเขาแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงมาอยู่กับเขาคนนี้ได้ล่ะ”
ทังอวิ๋นฉีโอบแขนหลิงเซียว พร้อมขมวดคิ้วสวยๆ มองโหยวเสี่ยวด้วยความรังเกียจเดียจฉันท์
หลิงเซียวดึงแขนออกมาด้วยท่าทีนิ่งเฉย มุมปากยกขึ้น ยิ้มเบาๆ พร้อมเอ่ย “ข้ามากับเขาเอง เ้ามีปัญหาอะไรงั้นหรือ”
รอยยิ้มที่เสมือนกับฤดูใบไม้ผลิบนใบหน้าอันหล่อเหลาซึ่งไม่ใช่ของเขา กลับมีความงดงามราวกับเกิดมาเพื่อให้ยิ้ม มีแต่โหยวเสี่ยวโม่เท่านั้นที่รู้ว่านี่คือเปลือกปลอม เมื่อวานเขาเห็นกับตา ชายผู้นี้ยามเปลี่ยนสีหน้านั้นก็คือคนหลายบุคลิกนี่เอง
ทังอวิ๋นฉีหุบยิ้มทันใด ดวงตาเบิกกว้าง ท่าทียากที่จะเชื่อว่าศิษย์พี่ใหญ่จะพูดเช่นนี้กับตน
โม่กู่ก็พอเห็นความแตกต่างของหลิงเซียวเมื่อวานกับวันนี้อยู่บ้าง แต่ก็หาได้สงสัยว่านี่ไม่ใช่หลิงเซียวตัวจริง แม้ว่าจะประหลาดใจกับเื่ที่ปรากฏตัวพร้อมกับศิษย์ทัพพิภพ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
“ในเมื่อคนก็ครบแล้ว งั้นไปกันเถอะ”
พูดจบ โม่กู่ก็พาเหล่าศิษย์ไปยังลานนกขนส่ง
โหยวเสี่ยวโม่ทีแรกตั้งใจจะกลับไปรวมตัวกับเหล่าศิษย์พี่ทัพพิภพ ใครจะรู้เมื่อหันหลังไปก็โดนตะปบคอเสื้อทันที แทบรัดคอเขา เมื่อเหลียวหลังมองก็เห็นหลิงเซียวจ้องเขาอย่าง ‘เอ็นดู’
“ศิษย์น้อง เ้าคิดจะไปไหนกัน”
โหยวเสี่ยวโม่หดคอ อ้ำอึ้ง “ปะ เปล่านี่ ไม่ได้จะไปไหน”
หลิงเซียวพออกพอใจกับท่าทีตื่นกลัวของเขา ปล่อยมือพร้อมเรียกให้เดินตาม
ในส่วนของทังอวิ๋นฉี พอเห็นหลิงเซียวเดินไป ก็หันหลังขวับถลึงตาจ้องโหยวเสี่ยวโม่ครั้งหนึ่ง จากนั้นรีบวิ่งตามไป
โหยวเสี่ยวโม่เดินคอตกน้อมรับบัญชาพร้อมเดินตาม เขารู้สึกว่าการลงเขาในวันหนึ่งมันช่างวุ่นวายนัก แถมสร้างภาระอันยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง หนำซ้ำยังถูกศิษย์น้องเล็กชิงชังอีก พึ่งจะอยู่อย่างสงบสุขได้ไม่กี่วัน ตอนนี้ทุกอย่างจบเห่แล้ว
พอถึงลานนกขนส่ง โหยวเสี่ยวโม่ก็ถูกทังอวิ๋นฉีขึงตาใส่อีกรอบ
รอบนี้ความโกรธเหมือนจะทวีคูณขึ้น เพราะว่าหลิงเซียวนั้นขอนั่งนกขนส่งตัวเดียวกับเขา แม้เป็เพียงคำขอทั่วไป แต่ก็ไม่ได้เปิดช่องให้เจรจาใดๆ
ท้ายสุด คนที่ถลึงตาใส่เขาไม่ใช่เพียงแค่ทังอวิ๋นฉีแล้ว เหล่าศิษย์ทัพ์ต่างพากันชักสีหน้า โดยเฉพาะคนที่ถูกเรียกไปนั่งรวมกับทัพพิภพนั้น โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“ศิษย์น้องเสี่ยวโม่ มานั่งนี่สิ”
หลิงเซียวตบที่นั่งด้านข้างที่ว่างอยู่ พร้อมเอ่ยกับโหยวเสี่ยวโม่ที่ยืนแข็งเกร็งอยู่ด้านหลัง
พอจบประโยค สายตาหลายคู่จับจ้องที่เขา มีทั้งสายตาริษยา ชื่นชมอิจฉาและโกรธเคือง แต่ที่ชัดเจนสุดเห็นจะเป็ใบหน้าเจ็บใจของทังอวิ๋นฉี ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่มันที่นั่งของข้านะ”
“งั้นหรอกหรือ” หลิงเซียวเหมือนพึ่งนึกได้ เมื่อนึกได้จึงเอ่ยต่อ “งั้นข้าไปนั่งข้างหลังดีกว่า”
พูดจบก็ย้ายไปข้างโหยวเสี่ยวโม่และหย่อนก้นลงข้างกัน ไม่ได้สนใจสายตารอบข้างเลย รวมถึงดวงตาคลอเบ้าที่โกรธจนแทบจะร้องไห้ของทังอวิ๋นฉี
ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาผู้าุโสุดอย่างโม่กู่ แต่ก็หาได้พูดอะไรไม่
เพราะเขาเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ อีกคนก็ลูกสาวเ้าสำนัก อีกคนก็ศิษย์เอกที่เ้าสำนักฝากความหวังไว้ เื่ของคนหนุ่มสาว ตาเฒ่าอย่างเขาไม่อาจยุ่งได้ อีกอย่างเขาก็พอรู้จักนิสัยของหลินเซียว
ถ้าหลินเซียวชอบทังอวิ๋นฉีจริง ก็คงไม่แสดงท่าทีเ็าแต่แรกหรอก
ท้ายที่สุด ทังอวิ๋นฉีก็ขัดขวางการตัดสินใจของหลิงเซียวไม่ได้
แม้ว่าจะได้ที่นั่งคืน แต่กลับเป็การผลักไสศิษย์พี่ใหญ่ของนางออกไปเสียเอง ถึงจะไม่ใช่ศิษย์พี่คนเดียวกัน แต่หนังหน้าก็ยังคงเดิมอยู่
นกขนส่งออกบิน สองปีกกางสยายสวยงาม ทะยานขึ้นสู่นภา เสียงบ่นงุบงิบไม่พอใจของทังอวิ๋นฉีก็ถูกกลบด้วยเสียงลมฟู่ๆ
เพราะความเร็วของนกขนส่งนั้นไวมาก ปกติแล้วก็จะไม่มีใครพูดในยามนี้
ทีแรกโหยวเสี่ยวโม่นึกเช่นนี้ แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างขำขันปนเ้าเล่ห์
“ศิษย์น้อง เ้าดูสิ ตอนนี้ทุกคนต่างก็อิจฉาเ้าแน่ะ”
ตึง สมองของโหยวเสี่ยวโม่เหมือนถูกทุบเข้าให้อย่างจัง เมื่อหันไปก็เจอกับสายตาเยาะเย้ยคู่นั้น ซึ่งไม่ได้ใส่ใจสายตาที่มองค้อนมาเลย โหยวเสี่ยวโม่เบิกตากว้างจ้องเขา นี่ นี่เขาตั้งใจเหรอ?
ถ้าเขาไม่ได้พูดขึ้นมา โหยวเสี่ยวโม่ไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าเขาจงใจ
เมื่อกลับถึงสำนักเทียนซิน โหยวเสี่ยวโม่ยังไม่คลายข้อวิตกนี้ ทว่าตลอดทางกลับมาหลิงเซียวก็ปฏิบัติตัวต่อเขาดีมาก
พอถึงทางแยก โม่กู่กำลังจะถามหลิงเซียวว่าจะไปทัพ์พร้อมกันหรือเปล่า แต่กลับโดนหลิงเซียวบอกให้พวกเขาไปกันก่อน เขาจะไปกับโหยวเสี่ยวโม่
อีกครั้งที่ทังอวิ๋นฉีได้แต่มองอย่างไม่พอใจ โหยวเสี่ยวโม่จำใจต้องพาหลิงเซียวกลับทัพพิภพไปด้วย ระหว่างทางศิษย์พี่ทั้งสี่ไม่กล้าออกเสียงอะไร ได้แต่แอบมองหลิงเซียวเป็ระยะ พวกเขาคงคิดไม่ตกเหมือนกันว่าทำไมแค่วันเดียว ความสัมพันธ์ของหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ถึงดีขึ้นเช่นนี้
พอถึงทัพพิภพ หลิงเซียวตามโหยวเสี่ยวโม่แยกเข้าห้องของเขา
โชคดีที่ตอนนี้เป็่คาบเช้า ระหว่างทางจึงไม่เจอศิษย์คนอื่น
โหยวเสี่ยวโม่ผลักประตูเข้าไป หลิงเซียวกวาดตามองห้องเขาแล้วเอ่ย “นี่มันช่างน่าสังเวช”
โหยวเสี่ยวโม่หันขวับมองเขาพร้อมอธิบาย “ห้องพักของทัพพิภพล้วนเป็แบบนี้ ถ้า ถ้าหากว่าท่านไม่สบาย ท่านจะกลับห้องก็ได้นะ”
ประโยคหลังเขาพูดเสียงอ่อยๆ หลิงเซียวกลับได้ยินชัดทุกคำไม่มีหลุด มุมปากขึ้นพลางเอ่ยอย่างขำขัน “ศิษย์น้องเสี่ยวโม่ หรือข้าจะย้ายมาพักกับเ้าดี?”
โหยวเสี่ยวโม่ใพลันจ้องไปที่เขา ไม่ใช่มั้ง?
ท่าทีของโหยวเสี่ยวโม่ทำเอาหลิงเซียวหัวเราะชอบใจยกใหญ่
โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดง ทันใดก็รู้ว่าตัวเองโดนหยอกอีกแล้ว
จนสุดท้ายหลิงเซียวก็ไม่ได้อยู่ต่อ เหมือนแค่อยากมาสำรวจดูห้องเขาแค่นั้น ไม่นานก็มีศิษย์น้องมาเรียกตัวไป แจ้งว่าเ้าสำนัก้าพบตัว จึงออกไป
เมื่อเดินออกไป โหยวเสี่ยวโม่มือเท้าอ่อนยวบยาบปีนขึ้นเตียงพร้อมปาดเหงื่อ วันนี้ช่างผ่านไปอย่างขวัญผวาเหลือเกิน