ร่างของเมิ่งฉิงสั่นเทาเล็กน้อยขณะอยู่ในอ้อมกอดของหลินเฟิง แม้นางจะมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของหลินเฟิงเช่นนี้ เรี่ยวแรงคล้ายกับหายไปจนหมด เมื่อไม่อาจขัดขืนชายหนุ่มได้แล้ว เมิ่งฉิงจึงปล่อยตัวเองให้พิงไหล่หลินเฟิงไปอย่างนั้น
เมิ่งฉิงเงยหน้ามองหลินเฟิง ดวงตาของนางในตอนนี้ฉายประกายขวยเขิน จนใบหน้าผ่องใสเผยให้เห็นสีแดงระเรื่อ ความงดงามเช่นนี้ทำให้หลินเฟิงต้องใจสั่นสะท้านอย่างไม่อาจห้ามได้
“ปล่อยข้า!”
จู่ๆ เมิ่งฉิงก็พยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของหลินเฟิง แต่หลินเฟิงกลับกอดนางแน่นกว่าเดิม ไม่นานเมิ่งฉิงก็หยุดและหน้ามองไปทางอื่น เพราะไม่กล้าสบตากับหลินเฟิง
หลินเฟิงส่งยิ้มเ้าเล่ห์ให้นางทีหนึ่ง แม้สาวน้อยคนนี้จะมีนิสัยเ็า แต่อย่างน้อยนางก็ยังเชื่อฟังเขา
“ข้าจะกอดเ้าอยู่อย่างนี้แหละ” หลินเฟิงกล่าวทั้งรอยยิ้ม จากนั้นเมิ่งฉิงก็ค่อยๆ หันมามองหลินเฟิง ขณะที่นางมองหลินเฟิง ดวงตาคู่งามที่เปล่งประกายพลันเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
จากนั้นไม่นานเมิ่งฉิงจึงรู้สึกสงบลงและซบที่อกของหลินเฟิงนิ่งๆ แล้วปล่อยให้เขากอดนางอยู่เช่นนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบจนทำให้รูสึกผ่อนคลาย
แม้จะผ่านไปเพียง่เวลาสั้นๆ แต่มันก็ราวกับเนิ่นนาน เมื่อหลินเฟิงมองเรือนร่างงดงามด้วยหัวใจที่เต้นแรง มิหนำซ้ำนางยังมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยแล้ว คงเป็ไปไม่ได้ที่หลินเฟิงจะไม่คิดเื่ชั่วร้ายในสมอง
“เมิ่งฉิง มองมาข้าสิ” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ หลินเฟิงก็เอ่ยปากขึ้น
เมิ่งฉิงที่ซบหน้าอกของหลินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหลินเฟิงด้วยแววตาประหลาดใจ
“เ้าช่างงดงามยิ่งนัก!”
หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในใจของเมิ่งฉิงพลันรู้สึกแปลกๆ ทำให้บนใบหน้าเผยอารมณ์ขวยเขินอย่างน่ารัก คงไม่มีผู้หญิงคนไหนรังเกียจที่คนรักของตนเอ่ยปากชื่นชมเป็แน่
แม้เมิ่งฉิงจะแตกต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ ทว่านางก็ยังเป็ผู้หญิงที่มีความรักและความเกลียดชัง เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งตกหลุมรักผู้ชาย นางนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้หญิงทั่วไป
ใบหน้าของหลินเฟิงค่อยๆ ก้มต่ำลง ทำให้เมิ่งฉิงตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้างดงามยิ่งเขินอายขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ใจก็เต้นแรงมากขึ้น แม้นางอยากจะหลีกเลี่ยงชายหนุ่มตรงหน้า แต่อีกใจก็ไม่อยากคิดหนีเช่นกัน
ในที่สุดหลินเฟิงก็จุมพิตเมิ่งฉิงอย่างแ่เบา ทำให้เมิ่งฉิงที่ไม่ชินกับััเช่นนี้ต้องสะดุ้งตัวเล็กน้อยราวกับมีกระแสไฟฟ้าวาบผ่านครั้งหนึ่ง ดวงตาที่สดใสและบริสุทธิ์พลันเบิกกว้างอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
โชคดีที่ฉากนี้เกิดขึ้นไม่นานนัก จากนั้นหลินเฟิงก็ถอนริมฝีปากออกและจ้องมองใบหน้าสวยงามของเมิ่งฉิงสักครู่ รอยยิ้มที่แสนหวานจึงปรากฏบนใบหน้าของหลินเฟิงอย่างเชื่องช้า
เมิ่งฉิงเหม่อมองรอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเฟิงอย่างสับสน นางไม่กล้าสบตากับเขาแม้แต่น้อย นางในตอนนี้ทั้งเขินอาย ประหม่าและตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบายได้
จริงๆ แล้วหลินเฟิงเองก็ประหม่าเช่นกัน แม้เมิ่งฉิงจะเป็รักแรกของเขาและผู้หญิงที่เขากอดเป็ครั้งแรก ถึงอย่างไรเวลานี้ก็เป็ครั้งแรกที่เขาจูบผู้หญิง แล้วเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
ถึงแม้หลินเฟิงจะแบกดาบไปทั่วใต้หล้า ต่อให้ผืนดินต้องเปื้อนเืเขาก็ยังนิ่งสงบ แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกประหม่าเนื่องจากไม่มีประสบการณ์ในเื่แบบนี้
“เมิ่งฉิง เ้าพักผ่อนเสียเถอะ” หลินเฟิงกล่าวขณะลุกขึ้นมองไปที่เมิ่งฉิง จากนั้นเขาก็หันหลังแล้วเดินจากไป
หลังจากที่หลินเฟิงออกไป เมิ่งฉิงก็เงยหน้าขึ้นและนำมือของนางมาปิดแก้มที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
เมิ่งฉิงนึกถึงรอยยิ้มของหลินเฟิงแล้ว ภายในใจของนางก็ปรากฏความอบอุ่นขึ้นมากระแสหนึ่ง
…
สามเดือนต่อมามีหลายสิ่งถูกสร้างขึ้นในเมืองหยางโจว นอกจากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตแล้ว ยังมีหอดูดาวสูงกว่าร้อยเมตรอีกหลายแห่ง ตั้งอยู่ทั้งแปดทิศรอบเมืองหยางโจว
ตำหนักเ้าเมืองในอดีต ในวันนี้ได้กลายเป็ตำหนักผู้บัญชาการซึ่งใหญ่กว่าเดิมถึงสามเท่า ทุกๆ วันจะมีเสียงดังออกมาจากที่แห่งนี้ แต่กลับมีน้อยคนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแค่ตำหนักผู้บัญชาการกำลังถูกต่อเติมให้ใหญ่ขึ้น
ในพื้นที่ใต้ดินหลินเฟิงกำลังนั่งสมาธิอยู่
ในขณะนี้ขอบเขตผสานกับเทวโลกและการรับรู้ของหลินเฟิงได้ถูกปลดปล่อยออกมา ท่ามกลางจินตภาพของเขา โลกทั้งใบกลับกลายเป็มืดมิดและมีแสงสว่างกะพริบไปมา กลุ่มแสงเหล่านี้ล้วนล่องลอยกระจัดกระจาย ไม่อาจอยู่รวมกันได้แม้แต่น้อย
ท่ามกลางแสงที่กระจัดกระจายเหมือนกับจัดวางแบบสุ่มนั้น หากมองจาก้าจะสามารถเห็นกลุ่มแสงเหล่านี้ได้ชัดเจน ซึ่งพวกมันมีรูปร่างแปลกตาและดูลึกลับอย่างมาก
คลื่นจิติญญาที่ถูกปลดปล่อยออกมาได้กระจายตัวไปยังแสงเหล่านี้ ในที่สุดพลังที่มองไม่เห็นก็เคลื่อนไหว
เมื่อคลื่นจิติญญาเคลื่อนที่เข้าหากลุ่มแสงเพื่อประสานกัน หลังจากการเชื่อมต่อสมบูรณ์แล้ว จะเกิดแสงสว่างจ้าขึ้นท่ามกลางความมืดนี้
การเชื่อมต่อยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่อับแสงเกิดแสงระยิบระยับที่ยิ่งสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
ประกายแสงเคลื่อนที่เร็วและเร็วขึ้นเรื่อยๆ มันกำลังก่อตัวเป็ตำหนักทั้งเก้าอย่างช้าๆ
ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับจะเป็ผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งโดยตรง เพราะเมื่อบรรลุขอบเขตลี้ลับก็จะสามารถรวบรวมหยวนชี่ฟ้าดินให้กลายเป็เจินหยวนได้ ซึ่งเป็พลังที่น่าทึ่ง ในขณะเดียวกันผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับก็สามารถใช้พลังจากจิติญญานำมาเล่นแร่แปรธาตุได้
นอกจากนี้ก่อนที่จะทะลวงสู่ขอบเขตลี้ลับ แม้ว่าบางคนจะแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่ได้รับประโยชน์จากความแข็งแกร่งของดวงิญญา ซึ่งนั่นเป็ข้อจำกัดของระดับการบ่มเพาะ
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับทุกคนล้วนมีเทคนิคในการบ่มเพาะพลังพื้นฐาน อย่างน้อยพวกเขาทั้งหมดจะต้องฝึกฝนจนกว่าจะควบคุมลมปราณได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามลมปราณมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าผู้ฝึกยุทธ์จะควบคุมมันได้มากน้อยแค่ไหน ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งก็ยังมีจำกัด ลมปราณที่ทรงพลังจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแต่ก็ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะมากขึ้นเช่นกัน
ตอนนี้หลินเฟิงกำลังฝึกฝนการกลั่นลมปราณ
แม้ว่าหลินเฟิงจะมีหินหยวนจำนวนมาก แต่มันก็ไม่เพียงพอกับกองกำลังทั้งหมดของเขา
ในตอนนี้เขายังคงอยู่ในขอบเขตผสานกับเทวโลก หลินเฟิงยังคงหลับตาและปล่อยจิตให้อยู่ในจินตภาพอย่างนิ่งสงบ
ทันใดนั้นริมฝีปากของหลินเฟิงก็ขยับเล็กน้อย “กลั่น!”
เมื่อสิ้นสุดเสียง ร่างกายของหลินเฟิงพลันสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ในขณะเดียวกันก็คำรามเสียงต่ำออกมา
หลินเฟิงเงยหน้ามองกลุ่มแสงสว่างที่อยู่รายล้อมตัวเขา และพวกมันก็กำลังถูกกลั่นอย่างช้าๆ เมื่อพวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ออร่าที่น่าทึ่งก็ปะทุออกมา ตำหนักทั้งเก้าก็เริ่มดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินที่อยู่รอบๆ
หลินเฟิงนั้นรู้สึกเหนื่อย แต่เมื่อมองไปที่ตำหนักทั้งเก้า เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
“การรวมตัวของหยวนชี่จึงเกิดเป็ตำหนักทั้งเก้า ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงหยวนชี่ฟ้าดินที่กำลังบ้าคลั่ง ซึ่งหอฝึกฝนของสำนักเทียนอี้เองก็มีลักษณะเช่นเดียวกับที่นี่
ในตอนนี้หลินเฟิงเองก็สามารถกลั่นลมปราณได้ จึงเกิดเป็ตำหนักทั้งเก้า แต่ถ้ากลายเป็ตำหนักทั้งเก้า มันจะแข็งแกร่งระดับไหนกัน
“บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ได้ทิ้งความทรงจำที่พิเศษอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะความทรงจำเหล่าล่ะก็ การฝึกฝนเสี้ยวิญญา์ก็คงใช้เวลานาน และถ้าวันนี้ข้าสามารถแบ่งเสี้ยวิญญาได้นับร้อยดวง จิติญญาก็จะแข็งแกร่งและทนทานมากขึ้น ประกอบกับขอบเขตการผสานกับเทวโลกแล้ว ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม”
หลินเฟิงพึมพำสิ่งที่คิดไว้ด้วยเสียงแ่เบา เพราะดวงิญญาที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้เขามีโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้อีกมาก เสี้ยวิญญา์และขอบเขตการผสานกับเทวโลกเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการบ่มเพาะในระดับต่อๆ ไป
ตอนนี้ตำหนักผู้บัญชาการได้สร้างความประหลาดใจให้กับฝูงชนมากอยู่แล้ว แต่ในเวลาอันสั้นจู่ๆ ก็มีตำหนักทั้งเก้าปรากฏขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วอันตรธานไปอย่างลึกลับ ผู้คนต่างรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของหยวนชี่ฟ้าดิน ดูเหมือนว่าหยวนชี่ฟ้าดินต่างมารวมตัวกันที่ตำหนักผู้บัญชาการแห่งนี้
ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธ์บริเวณรอบๆ ตำหนักผู้บัญชาการ พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของหยวนชี่ฟ้าดิน ราวกับว่าตำหนักที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่ได้ดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินจากบริเวณนั้น
มันสามารถส่งผลกระทบกับการไหลเวียนหยวนชี่ได้ และนี่แหละคือผลจากการกลั่นลมปราณที่ทรงพลัง!
หลังจากที่ผู้คนััได้ถึงหยวนชี่ พวกเขาก็หันไปมองในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือตำหนักผู้บัญชาการ!