บทที่ 2 อิฐไว้ทุกข์
เื่ราวที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลลู่เมื่อเดือนกว่าที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยเื่แปลกประหลาด ญาติพี่น้องในบ้านต่างพากันตายอย่างปริศนา
แต่ละคนมีวิธีตายที่แตกต่างกัน ไม่มีร่องรอยการทำร้ายจากคนอื่น และดูเหมือนจะเป็อุบัติเหตุทั้งหมด
เ้าของร่างเดิมออกไปนอกเมืองเพื่อหลบภัย แต่ก็พลันเสียสติในยามค่ำคืน ไม่รู้ว่าเห็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวอะไรเข้า เขาจึงวิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่งจนตกลงไปในหน้าผาและสิ้นใจในทันที
เมื่อลู่ไป๋ย้ายร่างมา เขารู้สึกเ็ปไปทั่วร่างกายจนทนไม่ไหวและสลบไปอีกครั้ง
ในความสลบเลือนลาง เขารู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่แข็งและแตกละเอียดจนฝังเข้าไปในหน้าอกของเขา
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ร่างกายของเขาก็หายดีเป็ปกติแล้ว ไม่เห็นแม้แต่รอยแผลเป็
เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นอยู่สองสามแห่ง แต่ไม่มีรอยเืแม้แต่นิดเดียว
ทหารยามสองคนนั้นวิ่งหนีไปนานแล้ว บริเวณรอบ ๆ เป็ป่าเขาอันห่างไกล ไม่ต้องพูดถึงโจรป่า หากเขาเจอสัตว์ร้ายก็อาจเอาชีวิตไม่รอด
ถึงแม้บ้านจะประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ในเมืองยังพอมีผู้คนอยู่บ้าง ลู่ไป๋จึงตัดสินใจที่จะกลับไปที่เมืองหลิ่วซีเพื่อหาทางต่อไป
เ้าหมาดำตัวนั้นไม่รู้ว่ามาั้แ่เมื่อไหร่ มันนั่งข้าง ๆ เขาและจ้องมองเขาอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ส่งเสียงเห่า ไม่รู้ว่ามันเฝ้าเขาอยู่นานแค่ไหนแล้ว
เมื่อลู่ไป๋ลุกขึ้นเดิน เ้าหมาดำก็เดินตาม
เมื่อลู่ไป๋หยุด เ้าหมาดำก็หยุด
ลู่ไป๋ไม่สนใจมัน ปล่อยให้มันเดินตามเขาไปข้าง ๆ
ในที่ที่สายตามองเห็นมีแต่กระดูกสีขาวนับไม่ถ้วน ช่างน่าขนลุกและน่าสะพรึงกลัว ลู่ไป๋ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ๆ จึงเดินเตาะแตะไปที่เมืองหลิ่วซี พร้อมกับรวบรวมความทรงจำของร่างเดิมระหว่างทาง
“ท่านผู้หญิง ทรัพย์สินที่ท่านเ้าของจวนทิ้งไว้จะยกให้คนอื่นไปแบบนี้จริง ๆ หรือ? แล้วในอนาคตเราจะทำอย่างไรกัน?”
ท่านฝูไป๋ถอนหายใจ
นางหวังดูเหนื่อยล้า และกล่าวว่า “ไม่สู้แล้ว แม่ลูกกำพร้าอย่างพวกเราไม่มีทางสู้พวกเขาได้อยู่แล้ว ตราบใดที่อาไป๋ยังมีชีวิตอยู่ ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
“ฝูเซิง เ้าก็อายุมากแล้ว หาทางออกให้ตัวเองแต่เนิ่น ๆ เถอะ อยู่กับแม่ลูกอย่างพวกเราในอนาคตคงจะลำบาก”
ท่านฝูไป๋รีบกล่าวว่า “ท่านผู้หญิงพูดอะไรอย่างนั้น ท่านเ้าของจวนมีพระคุณกับข้ามาก ชีวิตนี้ของฝูเซิงก็ตอบแทนไม่หมด ตราบใดที่ข้ายังขยับได้ ข้าจะไม่มีวันทิ้งท่านผู้หญิงและคุณชายน้อยเด็ดขาด”
ท่านฝูไป๋ยังคงไม่ยอมแพ้ และกล่าวว่า “ท่านผู้หญิง พรุ่งนี้ข้าจะไปที่สำนักบู๊เฉินสักหน่อย จะขอให้ท่านเ้าสำนักเฉินช่วยจัดการให้หน่อย เขาเป็เพื่อนกับท่านเ้าของจวนมานานแล้ว อาจจะช่วยทวงความยุติธรรมให้เราได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายน้อยกับลูกสาวของท่านเ้าสำนักเฉินยังมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ด้วย”
นางหวังส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “บ้านเราเป็แบบนี้แล้ว ท่านเ้าสำนักเฉินคงจะไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้หรอก”
ท่านฝูไป๋เงียบลง
ใน่นี้ จวนตระกูลลู่เป็สัญลักษณ์ของหายนะ เพื่อนบ้านในเมืองหลิ่วซีต่างหวาดกลัวและหลีกเลี่ยง ไม่มีใครเต็มใจที่จะช่วย
เมื่อท่านเ้าของจวนตายไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“ทำไมถึงเป็แบบนี้ได้”
ท่านฝูไป๋มองไปที่จวนที่เพิ่งสร้างและขยายใหม่ และถอนหายใจอย่างสุดซึ้ง
คุณชายใหญ่ลู่หยุนเป็คนที่มีน้ำใจและซื่อตรง มีพร์ในการฝึกวรยุทธ์เป็อย่างมาก การฝึกกระดูกเข้าใกล้ความสมบูรณ์แล้ว และหวังว่าจะเข้าเรียนในสถาบันชิงสือของเมืองชิงสือเพื่อเพิ่มพูนวิชาให้สูงขึ้นไปอีกขั้น
เมื่อออกท่องยุทธภพ เขาก็ได้พบกับคุณหนูของตระกูลลั่วที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงสือ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันั้แ่แรกเห็น
สำหรับตระกูลลู่แล้ว ถือว่าเป็การยกระดับฐานะตระกูล
แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ลู่หยุนและคุณหนูลั่วก็รักกันอย่างสุดใจและยืนกรานที่จะอยู่ด้วยกัน ตระกูลลั่วจึงเห็นด้วยในที่สุด
เมื่อได้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลลั่วในเมืองชิงสือแล้ว อนาคตของลู่หยุนก็ไม่จำกัด และตระกูลลู่ก็จะยิ่งรุ่งเรืองขึ้นไปอีก
แม้ว่าคุณชายน้อยจะไม่เก่งทั้งด้านบุ๋นและบู๊ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็คนซื่อสัตย์และมีน้ำใจ มีคนเข้ามาสู่ขอมากมาย
ท่านเ้าของจวนเห็นแก่ความสัมพันธ์กับท่านเ้าสำนักเฉิน จึงให้ลูกชายหมั้นหมายกับลูกสาวของท่านเ้าสำนักเฉิน
ท่านเ้าของจวนกลัวว่าจะดูแลคุณหนูลั่วไม่ดี จึงได้จ้างช่างฝีมือจำนวนมากมาขยายและปรับปรุงจวน
จวนเพิ่งสร้างเสร็จ ยังไม่ทันที่จะไปเมืองชิงสือเพื่อแต่งงานและรับคุณหนูลั่วเข้ามาในบ้าน ลู่หยุนก็ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน
ตามมาด้วยเื่แปลกประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเพียงเดือนเศษ ตระกูลลู่ก็เปลี่ยนจากจุดสูงสุดมาสู่การล่มสลายและทุกคนในบ้านตายกันหมด
ในตอนแรก ท่านเ้าของจวนสงสัยว่ามีิญญาชั่วร้ายสิงอยู่และได้เชิญพระสงฆ์และนักบวชเต๋ามาทำพิธี แต่ก็ไม่เป็ผล
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านผู้หญิงก็เริ่มปวดหัว นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ไปหาหมอหลายคนก็ไม่พบอาการป่วย แล้วท่านผู้หญิงก็จะต้อง…
ท่านฝูไป๋รู้สึกถึงความสิ้นหวังและความกลัวอย่างสุดซึ้ง
เ้าหมาดำขุดดินอย่างไม่ลดละ ยิ่งขุดก็ยิ่งลึก กำแพงถูกมันขุดจนเป็หลุมใหญ่
คนทั้งสามในจวนต่างคิดถึงเื่ต่าง ๆ จึงไม่มีใครสนใจมัน
ลู่ไป๋เองก็กำลังรวบรวมความทรงจำของร่างเดิม และพยายามหาเบาะแสบางอย่าง
ความวุ่นวายที่จวนตระกูลลู่ต้องเผชิญนั้นต้องมีเหตุผล
ั้แ่ที่เขาเข้ามาในจวนแห่งนี้ ลู่ไป๋ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
หากเขาไม่สามารถหาต้นเหตุของวิกฤตนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงสี่สิบวันเลย แม้แต่คืนนี้เขาก็คงจะนอนหลับไม่สนิท
ในขณะนั้น ลู่ไป๋ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติที่เท้าของเขา
เขาก้มลงมอง เห็นเ้าหมาดำมาอยู่ข้าง ๆ เขาั้แ่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันกำลังคาบขากางเกงของเขาไว้และดึงเบา ๆ ราวกับจะพาเขาไปที่ไหนสักแห่ง
เ้าหมาดำตัวนี้ผอมแห้ง แต่ดวงตาของมันในยามค่ำคืนกลับสุกใสและดูฉลาดหลักแหลม
ลู่ไป๋เดินไปตามทิศทางที่หมาดำดึงไป ไม่นานก็มาถึงกำแพง
หมาดำยืนอยู่ที่ขอบหลุมที่มันเพิ่งขุดขึ้นมาและจ้องมองเข้าไปในหลุมอย่างไม่กะพริบตา
ลู่ไป๋ก้าวไปข้างหน้าและมองลงไป
เขาเห็นวัตถุรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ห่อด้วยผ้าขาววางอยู่ที่ก้นหลุม ไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร
ลู่ไป๋กำลังจะลงไปดูให้แน่ใจ แต่ก็หยุดเท้าไว้ก่อนและระวังตัว เขากลับไปหาท่านฝูไป๋และถามว่า “ข้างในนั้นฝังอะไรไว้หรือ?”
นางหวังและท่านฝูไป๋เห็นสถานการณ์ตรงนั้นก็เดินเข้ามา
นางหวังรู้สึกสงสัย และถามว่า “นี่คืออะไร? ข้าไม่เคยได้ยินว่าท่านเ้าของจวนฝังอะไรไว้ข้างล่างนี้เลย”
“ไม่เคยได้ยินเหมือนกันครับ”
ท่านฝูไป๋นั่งยอง ๆ ข้างหลุม หยิบวัตถุนั้นขึ้นมาดู เช็ดดินออก และยกมันขึ้น
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เปิดผ้าขาวที่ห่อไว้ เผยให้เห็นก้อนอิฐสี่เหลี่ยมที่อยู่ข้างใน
สายตาของลู่ไป๋จับจ้องไปที่ก้อนอิฐ ราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างได้
“ก้อนอิฐดี ๆ ทำไมต้องมาห่อด้วยผ้าขาว…”
ท่านฝูไป๋ยังพูดไม่ทันจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นี่… นี่มัน…”
“มันคืออะไร?”
นางหวังรีบถามต่อ
“อิฐไว้ทุกข์”
ลู่ไป๋พูดเบา ๆ
“เป็สิ่งนี้จริง ๆ!”
เมื่อท่านฝูไป๋ได้ยินลู่ไป๋พูดออกมา เขาก็ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป และอุทานออกมาอย่างใ
ลู่ไป๋ถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “ท่านฝูไป๋เคยได้ยินมาก่อนหรือ?”
ท่านฝูไป๋กล่าวว่า “เมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยได้ยินนักพรตพเนจรท่านหนึ่งพูดถึง ตอนนั้นก็ฟังเหมือนเป็แค่เื่เล่าผี ๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเป็เื่จริง ไม่นึกเลยว่าจะมีวิชาอาคมชั่วร้ายแบบนี้อยู่บนโลกนี้!”
“อิฐไว้ทุกข์คืออะไร แล้วเื่ร้ายในบ้านเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้หรือ?”
นางหวังสงสัยและรีบถาม
ท่านฝูไป๋กล่าวว่า “ตามที่นักพรตพเนจรกล่าวไว้ นี่คือวิชา ‘เยี่ยนเซิ่ง’ เป็วิชาอาคมโบราณที่ชั่วร้าย หากนำก้อนอิฐที่ห่อด้วยผ้าขาวไปฝังไว้ในกำแพงหรือที่ฐานกำแพงของบ้าน จะทำให้เ้าของบ้านพบกับหายนะ”
ลู่ไป๋เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเื่นี้มามากมายในโลกก่อน
วิชาอาคมเยี่ยนเซิ่ง มีมาั้แ่สมัยโบราณ ‘เยี่ยน’ หมายถึงการควบคุม เป็การกดดัน ควบคุม และเอาชนะ
การใช้วัตถุเพื่อควบคุมสิ่งชั่วร้ายแต่เดิมก็เป็สิ่งที่ดี ใช้เพื่อปราบปรามสิ่งไม่ดี หลีกเลี่ยงโชคร้าย และป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้
บทกวีที่ว่า ‘เมื่อแสงตะวันส่องประตูเรือน หมื่นหลังคาเรือนต่างเปลี่ยนสิริมงคลเป็ยันต์ท้อ’ ยันต์ท้อก็ถือเป็วัตถุในวิชาเยี่ยนเซิ่งเช่นกัน
“ยันต์ท้อ?”
ใจของลู่ไป๋สั่นไหวเล็กน้อย
เขามีพกยันต์ท้อติดตัวอยู่หนึ่งอัน
มันเป็ของขวัญที่พี่สาวลู่เหยามอบให้เขาเมื่อไปส่งเขาตอนที่เขาจะออกนอกเมือง
“แค่ก้อนอิฐก้อนเดียวก็มีอานุภาพมากขนาดนั้น ทำให้คนตายไปมากมายขนาดนี้เลยหรือ?”
นางหวังดูเหมือนจะใ และพึมพำกับตัวเอง
เื่นี้ฟังดูเป็เื่ไสยศาสตร์เกินไป ซึ่งอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเธอไปมาก
ในหนังสือหลายเล่มจากโลกก่อนของลู่ไป๋ ก็มีบันทึกเกี่ยวกับการใช้คาถาแบบนี้เพื่อทำร้ายผู้คน
วิชาคุณไสย การทำหุ่นฟาง ล้วนอยู่ในขอบเขตของวิชานี้
ตามตำนานในเทพนิยาย บันทึกไว้ว่าทรงพลังยิ่งกว่านี้มาก จุดสูงสุดของวิชาเยี่ยนเซิ่งนั้นถึงขั้นสามารถสาปแช่งศัตรูได้จากระยะไกล ยากที่จะป้องกัน!
เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ‘อิฐไว้ทุกข์’ ที่อยู่ตรงหน้าก็เป็แค่วิชาเล็ก ๆ เท่านั้น
โลกนี้อันตรายและประหลาดกว่าที่เขาคิด!
ตอนนี้เมื่อได้พบต้นเหตุของหายนะในจวนตระกูลลู่แล้ว ลู่ไป๋กลับสงบลง สายตาของเขาเหลือบมองไปที่ท่านฝูไป๋และครุ่นคิด
ท่านฝูไป๋มองดูอิฐในมือ
ด้านหน้าไม่มีอะไร แต่เมื่อพลิกอิฐมาอีกด้านก็เห็นตัวอักษรสีเืแปดตัวเขียนว่า – บ้านแตกสาแหรกขาด ตัดขาดทายาท!
“ฮือ!”
ทันใดนั้น ท่านฝูไป๋ก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แล่นขึ้นมาบนหลังของเขา
“สิ่งชั่วร้ายแบบนี้ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านได้ ใครเป็คนฝังมัน?”
นางหวังมีสีหน้าใและสงสัย
ลู่ไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “นี่เป็ส่วนหนึ่งของวิชาเยี่ยนเซิ่งที่เกี่ยวกับช่างไม้
น่าจะมีใครบางคนอาศัยจังหวะตอนที่จวนตระกูลลู่ปรับปรุงและขยายเมื่อเดือนกว่าที่แล้ว แอบฝังสิ่งนี้ลงไป”
“ใช่แล้ว!”
ท่านฝูไป๋พยักหน้า “เวลาก็ตรงกันพอดี หลังจากที่จวนปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย บ้านก็เกิดเื่ร้ายขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง”
นางหวังกล่าวว่า “พรุ่งนี้ไปแจ้งทางการ ให้พวกเขาตามหาช่างไม้ที่มาปรับปรุงจวนตระกูลลู่ ต้องสืบให้รู้เื่”
ท่านฝูไป๋ลังเลเล็กน้อยและกล่าวว่า “เื่นี้แปลกประหลาดขนาดนี้ ทางการจะเชื่อหรือ?
ยิ่งกว่านั้นใน่เวลานั้นมีคนมาปรับปรุงจวนมากมาย นอกจากช่างไม้แล้วยังมีช่างฝึกหัดและช่างอื่น ๆ อีกหลายคน
คนมากมายขนาดนี้ บางคนอาจจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลิ่วซีแล้ว เป็ไปไม่ได้ที่จะตามหาพวกเขาทั้งหมด”
ในความคิดของลู่ไป๋ ถึงแม้จะสามารถรวบรวมคนทั้งหมดมาได้ก็คงไม่มีผลอะไร
เมื่อความจริงเปิดเผย ใครจะโง่ยอมรับว่าตัวเองเป็คนทำ
ยิ่งไปกว่านั้น อิฐนี้อาจถูกฝังโดยคนนอก หรืออาจเป็คนในตระกูลลู่เองที่แอบฝังในความวุ่นวายก็ได้
“แล้วเราควรทำอย่างไรดี?”
“หลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยได้ยินว่าพ่อของพวกเราเคยมีเื่บาดหมางกับใคร ทำไมถึงมีคนชั่วร้ายขนาดนี้ที่แอบทำร้ายเรา?”
นางหวังไม่เคยเจอเื่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน เธอจึงหมดหนทาง
ท่านฝูไป๋ก็ไม่เคยจัดการเื่แบบนี้มาก่อน เขามองลู่ไป๋อย่างไม่รู้ตัว
ลู่ไป๋พูดเบา ๆ ว่า “ท่านฝูไป๋ เอาไปเผาซะเถอะ”
“เผาหรือ?”
ท่านฝูไป๋อึ้งไปครู่หนึ่ง
สิ่งของที่อันตรายนี้หากเก็บไว้ในบ้านก็จะเป็อันตราย หากทิ้งออกไปข้างนอกก็ไม่เหมาะสม
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่านฝูไป๋ก็มาที่กระถางไฟข้าง ๆ
ในกระถางยังมีเศษกระดาษที่ยังคงมีไฟอยู่ เมื่อลมพัดมาก็มีแสงไฟส่องประกายออกมา
ท่านฝูไป๋จึงโยนผ้าขาวลงไปก่อน
เมื่อโดนไฟ ผ้าขาวก็ติดไฟอย่างรวดเร็ว
ท่านฝูไป๋จึงโยนก้อนอิฐลงไป
ตามปกติแล้ว สิ่งของอย่างก้อนอิฐนั้นไม่สามารถติดไฟได้ง่าย
แต่ตอนนี้ เมื่อก้อนอิฐัักับประกายไฟที่อยู่รอบ ๆ จู่ ๆ ก็มีเปลวไฟสีเขียวเข้มพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!
นางหวังใกลัว ท่านฝูไป๋ก็ถอยหลังไปสองก้าว
เปลวไฟสีนี้ไม่ใช่เปลวไฟทั่วไป!
ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ก้อนอิฐก็กลายเป็เถ้าถ่านต่อหน้าทั้งสามคน ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว
วิชาเยี่ยนเซิ่งของช่างไม้ แม้จะชั่วร้าย แต่เมื่ออีกฝ่ายรู้ตัว ก็มีวิธีรับมือที่เหมาะสมเช่นกัน
เช่นวิชา ‘อิฐไว้ทุกข์’ นี้ หากมีคนตรวจพบ สามารถโยนก้อนอิฐลงในน้ำมันเดือดหรือกองไฟ ผู้ที่ใช้คาถาจะได้รับผลกรรมคืน
วิชาเยี่ยนเซิ่งที่โหดร้ายมากเท่าไหร่ ผลกรรมที่ได้รับก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น!
แต่ลู่ไป๋ก็ยังไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลจริงหรือไม่ คงจะต้องรอพิสูจน์ในภายหลัง
“นี่…”
ท่านฝูไป๋กลับมามีสติ และพูดด้วยความเสียดายว่า “หลักฐานชิ้นเดียวถูกทำลายไปแล้ว”
ลู่ไป๋ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านฝูไป๋ ข้าจะกลับไปพักผ่อนแล้ว พวกท่านก็พักผ่อนกันแต่หัววันเถอะ”
นางหวังถามด้วยความเป็ห่วงว่า “อาไป๋ เ้าหิวแล้วใช่ไหม? จะกินอะไรก่อนหรือไม่?”
“ไม่หิวหรอกครับ แค่ง่วง”
ลู่ไป๋หาวรัว ๆ หาข้ออ้างแล้วหันหลังเดินจากไป