ตอนแรกชุนหงคิดจะประคองกู้เจิงกลับขึ้นรถม้าแต่เมื่อเหลือบไปเห็นตวนอ๋อง จึงจำเป็ต้องหยิบร่มขึ้นมาและประคองคุณหนูไปคารวะระหว่างนั้นนางก็แอบยัดผ้าเช็ดหน้าให้คุณหนูเพื่อเช็ดไม้เช็ดมือ
กู้เจิงรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า นางบ่อน้ำตาตื้นเกินไปเจ็บแค่เพียงเล็กน้อยก็น้ำตาแตกเสียแล้วความจริงแล้วนางไม่ได้อยากร้องไห้เสียด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้นางดูอ่อนแอเหลือเกิน
กู้เจิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารถม้าของตวนอ๋องยังไม่ทันจะได้ย่อตัวคารวะ ก็ได้ยินเสียงเย็นของตวนอ๋องเอ่ยขึ้น “คุณหนูใหญ่กู้ถึงกับกล้าขัดคำสั่งของเปิ่นหวังหรือ?”
กู้เจิงชะงักงัน นางนึกย้อนถึงเื่เมื่อครู่เขาคงหมายถึงเื่ที่นางปฏิเสธคำเชิญชวนของเขาอย่างนั้นหรือ?
จ้าวหยวนเช่อปรายตาลงมองหญิงสาวตรงหน้า นางยืนตัวตรงก้มหน้าลงเล็กน้อย สองมือกำแน่น บนร่างมีรอยโคลนอยู่หลายจุดเสื้อผ้าของนางเปียกโชกเต็มไปด้วยโคลน แม้แต่เส้นผมก็ยังยุ่งเหยิงนางดูท่าทางอ่อนแอแต่ทว่ากลับยิ่งทำให้ดูน่าหลงใหล
“แล้วที่เปิ่นหวังถามเ้าเล่า?” จ้าวหยวนเช่อพูดอย่างหงุดหงิดนึกถึงยามที่ตนนั่งรอนางอยู่ในโรงน้ำชาแต่องครักษ์ดันกลับมารายงานว่ากู้เจิงไม่มาตามคำเชิญเพราะ้าหลีกเลี่ยงข้อครหาจากผู้คน ความเดือดดาลก็ลุกโชนขึ้นมาทันที
กู้เจิงสูดลมหายใจเข้าปอด นางพยายามระงับโทสะในใจลงแต่จนใจที่ไม่อาจบรรเทาได้มากนัก นางไม่กล้าทำให้ท่านอ๋องโมโหไปมากกว่านี้จึงพูดเสียงอ่อนลงว่า “เหตุผลที่หม่อมฉันไม่ไปตามคำเชิญของท่านอ๋องคิดว่าผู้ติดตามของท่านอ๋องก็คงรายงานไปแล้ว”
จ้าวหยวนเช่อแค่นเสียงเย็น “ในสายตาของเปิ่นหวังเ้าไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเสิ่นเยี่ยนเปิ่นหวังคงคร้านจะมองเ้า แล้วเ้าจะหลบเลี่ยงไปทำไม?”
ดูิ่กันอย่างนั้นหรือ? กู้เจิงแค่นหัวเราะ “ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องเพคะ วันหน้าหากมีสิ่งใดจะพูดกันก็ให้ข้ารับใช้ของท่านอ๋องมากล่าวกับหม่อมฉันได้โดยตรงเพคะ”
จ้าวหยวนเช่อสีหน้าบึ้งตึงกว่าเดิม
กู้เจิงก้มหน้าลง นางไม่อยากมองหน้าของตวนอ๋องนางเอ่ยสำทับขึ้นอีกว่า “ในเมื่อท่านอ๋องตามมาถึงที่นี่เื่ที่ท่านอ๋อง้าจะคุยกับหม่อมฉันน่าจะเป็เื่สำคัญมากไม่ทราบว่าเป็เื่อันใดหรือเพคะ?”
“เ้าคิดว่าเปิ่นหวังจงใจไล่ตามเ้ามาหรือ?”
“หรือไม่ใช่เพคะ?”
บรรยากาศเงียบสงัดลง มีเพียงเสียงฝนและเสียงพ่นลมหายใจของม้าที่ดังเป็ครั้งคราว
น้ำเสียงเย็นเยือกเจือความเดือดดาลของจ้าวหยวนเช่อดังแว่วมาจากเหนือศีรษะเน้นชัดทีละคำ “เ้าคู่ควรด้วยหรือ?”
ผู้ติดตามของตวนอ๋องรีบกล่าวขึ้นแก้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดว่า “ฮูหยินน้อยเสิ่น ท่านอ๋องมาที่นี่ก็เพื่อพบนักพรตแซ่ซางท่านได้เตรียมการไว้พักหนึ่งแล้วขอรับ”
กู้เจิง “...” หน้าสลดลงในทันทีนางรู้สึกกระดากอายหน่อยๆ
“หึๆ” จ้าวหยวนเช่อยิ้มเยาะ “กู้เจิง เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร? คุ้มค่าที่เปิ่นหวังจะไล่ตามเ้าหรือ?”
กู้เจิงขนลุกชัน “หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ”
“ที่เคยโดนโบยไปยี่สิบไม้ในตอนนั้นยังไม่พออีกหรือ? เ้ายังคิดเกินเลยกับเปิ่นหวังเช่นนี้อีก?” เสียงของจ้าวหยวนเช่อยิ่งหม่นมัวขึ้นเรื่อยๆ
เื่ชักจะไปกันใหญ่แล้ว? คิดเกินเลยอะไรกัน เื่ในอดีตที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้งทำเอากู้เจิงโกรธจนอยากจะด่าเขาให้เจ็บแสบแต่นางทำเพียงเงยหน้าสบตาตวนอ๋องพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน “ท่านอ๋อง ท่านเข้าใจผิดแล้วเพคะหม่อมฉันแค่คิดว่าท่านมีเื่สำคัญจะคุยกับหม่อมฉันจะมีความคิดเป็อื่นไปได้อย่างไร? อีกอย่างหม่อมฉันแต่งงานแล้ว ย่อมไม่คิดเื่ไร้สาระเทือกนั้นหรอกเพคะ”
จ้าวหยวนเช่อมองรอยยิ้มเสแสร้งของกู้เจิงอย่างรังเกียจคิ้วเรียวงาม ดวงตากระจ่างใสของนาง ทุกครั้งที่นางเข้ามาประจบประแจงเขาทำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู แต่กลับซ่อนเร้นความดื้อรั้นไม่ยอมใครเอาไว้แม้แต่ตัวนางเองก็คงจะไม่เคยสังเกตเห็น
กู้เจิงยิ้มจนมุมปากแข็งค้าง สุดท้ายนางก็เป็ฝ่ายต้องยอมหลบสายตาดวงตาลึกล้ำดำสนิทของตวนอ๋องทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
“เ้าพูดความจริงเสียจะดีกว่า”
“สิ่งที่หม่อมฉันพูดทั้งหมดเป็ความจริงเพคะ”
จ้าวหยวนเช่อมองกู้เจิงเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ตอนนั้นที่บึงนั่น หลังจากที่เสิ่นเยี่ยนช่วยเ้าขึ้นมาเปิ่นหวังเคยบอกว่าเ้าไม่คู่ควรกับเขาวันหน้าจะต้องหาบุตรสาวผู้สูงศักดิ์สักคนให้เขา เ้ายังจำได้หรือไม่?”
กู้เจิงอึ้งไป “จำได้เพคะ”
“เปิ่นหวังได้เลือกสตรีนางหนึ่งให้เขาเป็บุตรีสกุลหวังตระกูลขุนนางบัณฑิตเก่าแก่อายุร้อยปีหลังจากการสอบในครั้งนี้เสร็จสิ้น เปิ่นหวังจะให้เสิ่นเยี่ยนเขียนหนังสือหย่าให้เ้า”
สองมือของกู้เจิงกำแน่น นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ภายในรถอย่างไม่พอใจ เขาดูสง่างามไร้ที่ติแต่ท่าทางหยิ่งทะนงนั้นทำให้เห็นแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ มันน่าโมโหเสียจริง ความหนาวเย็นจากชุดที่เปียกชื้นเพราะโคลนและละอองฝนเริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่างนางหนาวจนอยากจะรีบกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“หม่อมฉันกับสามีจะไม่หย่ากันหรอกเพคะ”
ชุนหงที่กางร่มให้กู้เจิงอยู่ นางคิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะกล้ากล่าวเช่นนี้นางทั้งกังวลและทั้งดีใจไปพร้อมกัน
จ้าวหยวนเช่อขมวดคิ้วมุ่น
“ที่ท่านอ๋องถามว่าหม่อมฉันคิดว่าตัวเองเป็ใคร หม่อมฉันเป็มนุษย์คนหนึ่งเพคะ หม่อมฉันมีความคิดเป็ของตัวเองมีแผนการสำหรับอนาคต พวกท่านให้หม่อมฉันแต่งงานหม่อมฉันก็เชื่อฟังด้วยการแต่งงานให้แล้วแต่ตอนนี้ท่านอ๋องกลับมาบอกให้หม่อมฉันหย่าหม่อมฉันไม่อยากเชื่อฟังเช่นนี้อีกแล้วเพคะ” กู้เจิงปัดละอองน้ำฝนที่สาดกระเซ็นมาโดนชายเสื้อของตนนางยืนตัวตรงเถียงตวนอ๋องอย่างไม่ยินยอม
“เ้าชักจะหาญกล้าใหญ่แล้ว”
“หม่อมฉันขลาดยิ่งเพคะ เพียงแต่หลังจากหย่าร้างชีวิตก็คงแย่กว่าเดิมมิสู้พูดกับท่านอ๋องให้ชัดเจนเสียจะดีกว่า” กู้เจิงไม่ได้ทำท่าทางแข็งกร้าวหรืออ่อนน้อมจนเกินควร “อีกอย่างท่านพ่อและนายหญิงก็ย่อมไม่เห็นด้วยที่จะให้หม่อมฉันกับสามีหย่ากันต่อให้หม่อมฉันจะต่ำต้อยด้อยค่าอย่างไร ก็เป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนกู้หลังจากท่านอ๋องกับน้องสามแต่งงานกันแล้ว หากจะมีมารยาทสักหน่อยก็ควรต้องเรียกหม่อมฉันว่าพี่ใหญ่ ไม่ใช่หรือเพคะ?”
คำว่าพี่ใหญ่ ทำเอาตวนอ๋องคิ้วกระตุกฟังแล้วทำไมถึงอารมณ์เสียได้ขนาดนี้นะ “นี่เ้าต้องพึ่งพาเสิ่นเยี่ยนแล้วหรือ?”
“ต้องพึ่งพาด้วยหรือเพคะ? เดิมทีเขาก็เป็ผู้ชายของหม่อมฉันอยู่แล้ว”
สีหน้าของจ้าวหยวนเช่อบึ้งตึงในพริบตา คำพูดที่ว่าเป็ผู้ชายของนางได้ยินแล้วบาดหูยิ่งนัก “หากเปิ่นหวังให้เงินเ้าสักสองหมื่นตำลึงเล่า? เ้าจะยอมหย่าหรือไม่?”
ดวงตาของกู้เจิงเป็ประกาย สองหมื่นตำลึงเชียวนะ มีกินมีใช้ได้ทั้งชีวิตไม่ต้องกังวลอยากไปไหนก็ไปได้ เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ตวนอ๋องจะให้นางทำไม? “หม่อมฉันไม่ใช่คนตื้นเขินแบบนั้นเพคะ หม่อมฉันชอบสามีของหม่อมฉันชั่วชีวิตนี้ก็ไม่แปรเปลี่ยน”
“ชั่วชีวิตนี้ไม่แปรเปลี่ยน?” จ้าวหยวนเช่อคล้ายกับได้ยินเื่ตลกขบขันเขายิ้มเยาะ “กู้เจิงคำพูดเช่นนี้สำหรับเ้า เมื่ออยู่ในยามคับขันเ้าก็พูดออกมาได้โดยไม่ต้องคิดเลยนะ”
“ท่านอ๋องอย่าได้ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงเลยเพคะ” อีกฝ่ายพูดราวกับว่ารู้จักนางดีนักเชียว
“ไม่ว่าเ้าจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต่อให้เ้าไม่ยอมหย่า ภรรยาเอกของเสิ่นเยี่ยนก็ยังต้องเป็คนอื่นอยู่ดี”
“หากท่านอ๋องบังคับให้ข้าและสามีต้องหย่ากันหม่อมฉันจะไปร้องทุกข์ต่อฮ่องเต้เพคะ” กู้เจิงร้อนใจ นางเอ่ยอย่างโมโหว่า “อีกอย่าง สามีของหม่อมฉันก็จะไม่แต่งกับสตรีอื่นหรอกเพคะ”
“เสิ่นเยี่ยนไม่ชอบเ้ามาแต่ไหนแต่ไร ขอเพียงเปิ่นหวังเสนอให้เขาต้องเห็นดีด้วยแน่”เมื่อเห็นท่าทางโกรธและเอาเื่สตรีนางนี้อารมณ์ของจ้าวหยวนเช่อก็ดีขึ้น ภาพเหตุการณ์หนึ่งผุดขึ้นมาในหัวราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่เื่พวกนั้นเขาปล่อยวางไปนานแล้ว
“ไม่มีทางเพคะ สามีของหม่อมฉันต้องไม่เห็นด้วยแน่” กู้เจิงพูดอย่างมั่นใจ ทว่าในใจกลับลังเล ั้แ่แต่งงานมานางก็พยายามออดอ้อนเอาใจเขามาโดยตลอด แต่เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ตอบกลับนางเลย
“เช่นนั้นเปิ่นหวังจะเดิมพันกับเ้า หากเ้าชนะเปิ่นหวังจะยกเลิกเื่ที่จะให้เสิ่นเยี่ยนแต่งงานกับคนอื่น แต่หากเ้าแพ้” จ้าวหยวนเช่อหยุดคิดว่าควรลงโทษอะไรดี
กู้เจิงรีบพูดต่อ “เช่นนั้นหม่อมฉันจะเอาเงินสองหมื่นตำลึงที่ท่านอ๋องมอบให้หนีไปให้ไกลแล้วจะไม่มาปรากฏตัวในเมืองเยว่เฉิงอีกเพคะ”
ผู้ติดตามทั้งสองคนของตวนอ๋อง “...”
ชุนหงที่ถือร่มอยู่ “...” ทุกคนต่างนึกทึ่งกับคำตอบของกู้เจิงไหนนางว่านางไม่ใช่คนตื้นเขินแบบนั้น
การจะเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้นั้นยากจริงๆ จ้าวหยวนเช่อแค่นเสียงเย็นก่อนจะตอบรับออกมาเพียงคำเดียว “ได้”
เมื่อรถม้าของตวนอ๋องหายลับไปจากสายตาแล้วร่างของกู้เจิงก็ทรุดลงในทันทีเหตุใดหวังซู่เหนียงกับกู้เจิงคนก่อนต้องไปยุ่งเกี่ยวกับตวนอ๋องผู้นี้ด้วย เขาจับตาดูนางอยู่ใช่ไหม ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
“คุณหนู บ่าวใแทบตายเ้าค่ะ ทำไมท่านถึงกล้าขนาดนี้เ้าคะ?” ชุนหงประคองกู้เจิงขึ้นรถม้าเห็นมือบอบบางของคุณหนูมีรอยแผลอยู่หลายแห่ง “เราไปหาซื้อยามาทาเถอะเ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวมันก็หายเอง” กู้เจิงไม่เห็นาแนี้อยู่ในสายตา
“คุณหนู จะทำอย่างไรต่อไปเ้าคะ? ฟังจากที่ท่านอ๋องพูด คง้าจะแยกคุณหนูกับท่านบุตรเขยออกจากกัน” ล้วนกล่าวกันว่ายอมรื้อถอนพระวิหาร ดีกว่าทำลายชะตาลิขิต* ท่านอ๋องผู้นี้ช่างบ้าดีเดือดเสียจริง
(* เปรียบเปรยว่าไม่ควรไปขัดขวางกีดกันหรือทำให้คู่รักแตกแยก)
“ท่านพ่อกับนายหญิงย่อมไม่ยินยอม พ่อแม่สามีก็เช่นกัน” กู้เจิงมั่นใจในเื่นี้มากตระกูลกู้้าสานสัมพันธ์กับตวนอ๋อง น้องสามถือเป็กองหน้าแต่ตัวสำรองอย่างนางก็ขาดไม่ได้ ั้แ่แต่งงานเข้าตระกูลเสิ่นมาความรักที่นางได้รับจากพ่อแม่สามีและคนในตระกูลเสิ่นก็เพียงพอที่จะให้คนตระกูลเสิ่นปกป้องนางแล้วความคิดของเสิ่นเยี่ยนย่อมไม่สำคัญ
แต่ถ้าตวนอ๋องให้เงินสองหมื่นตำลึงแก่นางจริงๆ เล่า? กู้เจิงส่ายหน้า นางไม่เชื่อหรอก