“ในเมื่อหมั้นหมายกันแล้ว เยว่เซียนก็เท่ากับเป็คนสกุลลู่ ไม่ว่าสกุลลู่จะร่ำรวยรุ่งเรือง หรือยากจนตกต่ำ เ้าอย่าได้คิดเช่นนี้เป็อันขาด คนอื่นๆ ด้านนอกนั่นสนแต่ผลแต่ประโยชน์ แต่เราสกุลเฉินจะเป็เช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่ายามใด ก็ต้องยึดถือคุณธรรมน้ำใจมาเป็อันดับหนึ่ง”
เถ้าแก่เฉินยิ่งพูดเสียงยิ่งหนัก ทำเอาเจิ้งซื่อเกือบจะน้ำตาตก เยว่เซียนจึงรีบเข้ามาปลอบโยนมารดา “ท่านแม่ ท่านอย่าคิดมาก ท่านพ่อพูดถูกแล้ว อย่าเห็นว่ายามนี้สกุลลู่กำลังมีภัย เราจึงคิดจะ...ยังไม่ต้องพูดก่อนว่าการทำเช่นนั้นจะเป็การไร้คุณธรรมและน้ำใจแค่ไหน ดูจากแค่การที่สกุลลู่สามารถเปลี่ยนจากครอบครัวนายพรานเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญ กลับกลายมาเป็ตระกูลร่ำรวยมีชื่อเสียงไปทั่วได้ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี แสดงว่าพวกเขาต้องมีความสามารถที่ใครก็คาดไม่ถึง เื่ในครั้งนี้เป็เพียงเื่เล็ก คาดว่าเพียงไม่นานก็คงได้รับการแก้ปัญหา”
เจิ้งซื่อลองคิดตามที่บุตรสาวพูดก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล แต่นางก็ไม่อยากเสียหน้า จึงถลึงตาใส่สามีไปทีหนึ่ง กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “หากพ่อเ้าพูดแบบนี้ แม่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร? แต่เป็เพราะเขาไปโกรธใครมาจากข้างนอกแล้วกลับเข้ามาระบายความโกรธใส่แม่มากกว่า”
“เป็ท่านพ่อที่ทำไม่ถูก รอจนท่านพ่อหายดีแล้ว ค่อยให้เขารินน้ำชาไถ่โทษให้ท่านดีหรือไม่เ้าคะ”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก...”
ไม่ว่าคนสกุลเฉินจะพูดอย่างไร แต่ความจริงแล้วเสี่ยวหมี่ไม่ได้มีความสามารถมากมายอย่างที่เฉินเยว่เซียนพูด
หลังจากเสี่ยวหมี่ยุ่งกับงานมาทั้งวัน เมื่อดับตะเกียงเอนตัวนอนลงบนเตียง จะอย่างไรก็นอนไม่หลับ นางเอาแต่คิดหาวิธีรับมือกับตู้ไฉเกา ควรจะแจ้งทางการ หรือว่าสะสมเงินให้ได้ตามที่อีกฝ่ายเรียกร้องเพื่อซื้อกลับคืนมาดี?
ที่จริงแล้วมีแต่เสี่ยวหมี่ที่รู้ดีที่สุดว่าเื่นี้ถือเป็เื่ใหญ่ทีเดียว
สกุลลู่ไม่มีทั้งอำนาจและทรัพย์สินมากมาย ยามปกติใช้ชีวิตอย่างครอบครัวผู้มีอันจะกินก็พอจะได้อยู่ แต่หากเจอเข้ากับคนที่อำนาจสูงกว่าอย่างคุณชายตู้ท่านนั้นมารังแก ก็พอจะทำให้คนสกุลลู่ไร้หนทางรับมือได้แล้ว
หรือว่าจะต้องยกเขาสองลูกนั้นให้เขาไปจริงๆ วันหน้าก็ต้องคอยมองคนแซ่ตู้ที่น่าคลื่นไส้คนนั้นเข้าๆ ออกๆ หุบเขาหมี?
แต่หากไม่อยากทน เช่นนั้นยังจะมีวิธีใดที่พอจะจัดการคนแซ่ตู้และท่านน้าผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของเขาให้รามือไปเองได้? ไม่เช่นนั้นต่อให้กำจัดคนแซ่ตู้ไปได้ แต่น้าของเขายังอยู่ วันหน้าก็เท่ากับสกุลลู่สร้างศัตรูใหญ่ในเมืองอันโจวขึ้นแล้ว...
เสี่ยวหมี่ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด มือนางดึงผมเปียจนหลุดรุ่ยไปหมดแต่ตัวนางเองก็ยังไม่สนใจ
พระจันทร์ในฤดูนี้เปล่งประกายเสียยิ่งกว่าตอนฤดูหนาว แสงจันทร์ทอดลงมาบนป่าเขาแลดูงดงามราวภาพฝัน
ฤดูใบไม้ผลิมีบุปผานับร้อยเบ่งบาน ฤดูใบไม้ร่วงมีแสงจันทร์และทิวทัศน์ที่งดงาม ฤดูร้อนมีสายลมเย็นระรื่น ฤดูหนาวมีเกล็ดหิมะสุกใส หากสมองปราศจากเื่มากมายให้ขบคิด ไม่ว่าฤดูไหนก็เป็ความงดงามดั่งภาพฝันทั้งนั้น
น่าเสียดายเสี่ยวหมี่มีเื่มากมายในใจ นางยกตัวขึ้นมาพาดริมหน้าต่างเหม่อมองแสงจันทร์กระจ่างโดยปราศจากอารมณ์จะเชยชม
กลางดึก จู่ๆ ก็เหมือนมีเสียงเบาๆ ดังขึ้นจากเรือนหน้า เสี่ยวหมี่ยืดตัวตรงทันที เนื่องจากเคยผ่านประสบการณ์น่ากลัวยามวิกาลมาแล้ว ครั้งนี้เสี่ยวหมี่จึงนับว่าสงบนิ่งกว่าเคย
อย่างไรเสียต่อให้นางจะหวาดกลัวแค่ไหน แต่ก็ไม่มีที่ให้แอบซ่อนได้ตลอดไป มีแต่ต้องเผชิญหน้าเท่านั้น
นางกำมีดผ่าฟืนในมือแน่นอยู่หลังประตู แล้วค่อยๆ เปิดประตูห้อง จากนั้นก็เร้นกายเข้าไปในเหลี่ยมมุมของตัวเรือน
บังเอิญพระจันทร์ส่องแสงสุกสกาวกว่าเดิมในนาทีนี้ นางจึงมองเห็นเงาร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่กลางลานเรือนได้อย่างชัดเจน
“พี่ใหญ่เฝิง”
เสี่ยวหมี่พุ่งตัวออกไปทันที นางลืมกระทั่งโยนมีดในมือทิ้ง พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของเฝิงเจี่ยนทั้งอย่างนั้น
“เหตุใดท่านถึงเพิ่งกลับมา ข้า...ฮือฮือ ข้านึกว่าท่านจากไปแล้วเสียอีก”
เฝิงเจี่ยนกอดสตรีในอ้อมแขนแน่น ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของนางเขาก็ปวดใจจนสั่นสะท้านไปหมด
เื่ที่เกิดขึ้นที่ท้องทุ่งหญ้าหนักหนากว่าที่เขาคาดไว้ ตอนที่จะเดินทางกลับก็ได้รับข่าวว่าที่บ้านเกิดเื่ เขาถึงได้ควบม้าตายไปสองตัวรีบร้อนกลับมาถึงในคืนนี้
แต่มันก็ยังสายเกินไป สตรีที่เขารักไม่ได้สดใสร่าเริงเหมือนกาลก่อน นางร้องห่มร้องไห้ในอ้อมแขนของเขาราวกับสัตว์ป่าตัวน้อยที่ถูกรังแก ร่างเล็กๆ นั่นยังสั่นเทาเบาๆ ด้วย
ยามนี้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวจนจิตสังหารแผ่กระจายออกมา เป็ใครกันที่รังแกสตรีอันเป็ที่รักของเขา?
“ไม่ต้องกลัว ข้ากลับมาแล้ว”
ฝ่ามือใหญ่โตอบอุ่นตบหลังนางขึ้นลงเบาๆ เป็จังหวะ ในที่สุดเสี่ยวหมี่ก็ค่อยๆ ดึงสติกลับมาได้
ยามนี้เองคนอื่นในบ้านก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้ว คนแรกที่พุ่งออกมาคือซูอีที่ในมือถือท่อนไม้ซึ่งไม่รู้ไปเอามาจากไหน
จู่ๆ ก็เห็นคนสองคนยืนกอดกันอยู่กลางลานเรือน ซูอีแข็งค้างไปทั้งร่าง จะก้าวเข้าไปก็ไม่ดี จะกลับเข้าไปก็ไม่เหมาะ
ในที่สุดเสี่ยวหมี่ก็ตระหนักได้ว่าการพุ่งเข้ามาในอ้อมกอดบุรุษเช่นนี้มันไม่งาม นางจึงรีบถอยหลังไปสองก้าวแล้วโยนมีดในมือทิ้งไป
จากนั้นพี่ใหญ่ลู่และบิดาลู่ก็วิ่งตามออกมา ขณะที่กำลังใ ท่ามกลางความมืดนั้นคนทั้งสองจำไม่ได้ว่าเงาร่างนั้นคือเฝิงเจี่ยน แต่กับเสี่ยวหมี่นั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมจำได้ พวกเขาจึงพุ่งเข้าไปหมายจะเอาตัวเสี่ยวหมี่ที่ถูกคนร้าย ‘แย่งชิง’ ไปกลับคืนมา
“โจรชั่ว ปล่อยน้องหญิงของข้า”
ในมือของพี่ใหญ่ลู่ถือกาน้ำชาไว้ ถูกเสี่ยวหมี่แย่งเอาไปทันท่วงที นางรีบเอ่ยเสียงดังว่า “พี่ใหญ่ คนกันเอง พี่ใหญ่เฝิงกลับมาแล้ว”
“หา พี่ใหญ่เฝิง?”
พี่ใหญ่ลู่หยุดฝีเท้า เขาตั้งใจมองอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกยินดียิ่ง “อ้าว เป็พี่ใหญ่เฝิงจริงๆ ด้วย”
เขากล่าวเสียงดังกังวาน อย่าว่าแต่คนสกุลลู่ แม้แต่เพื่อนบ้านที่นอนไวสักหน่อยก็คงจะได้ยินอย่างชัดเจน
เสี่ยวหมี่รู้สึกโชคดียิ่งนักที่คืนนี้พี่รองลู่ขึ้นเขาไปไม่กลับลงมา ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยมุทะลุของเขา คงจะเข้าไปตะลุมบอนกับพี่ใหญ่เฝิงก่อนรอบหนึ่งถึงจะรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด
“กลับมาก็ดีแล้ว เข้ามาด้านในก่อนเถอะ”
บิดาลู่เองก็วางใจ เรียกเฝิงเจี่ยนเข้าไปในเรือน กลับเป็ผู้เฒ่าหยางที่สวมอาภรณ์เรียบร้อยและเดินตามเข้าไปในโถงกลางเรือนเป็คนสุดท้าย ทำเอาคนอื่นๆ ต่างนับถือในความสุขุมของเขา
ในห้องโถงจุดตะเกียงสว่างไสว ทุกคนนั่งล้อมวงกัน เมื่ออยู่ภายใต้แสงตะเกียงที่สว่างไสวเช่นนี้ ร่องรอยความเหนื่อยอ่อนบนหน้าของเฝิงเจี่ยนก็ปกปิดไว้ไม่ได้อีกต่อไป
เสี่ยวหมี่อดถามไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่เฝิง ท่านรีบเร่งกลับมาโดยไม่ได้พักเลยหรือ?”
เฝิงเจี่ยนยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบอะไร แต่ถามกลับว่า “ในครัวมีอะไรที่พอจะกินได้บ้างหรือไม่”
“ท่านคงไม่ได้อดข้าวด้วยหรอกนะ?” เสี่ยวหมี่ปวดใจยิ่งนัก จึงเอ่ยว่า “ข้าจะไปต้มบะหมี่เนื้อมาให้ท่าน”
นางเพิ่งพูดจบนอกประตูก็มีเสียงะโเข้ามา “ข้าก็จะกินบะหมี่ด้วย สองชาม หิวจะตายอยู่แล้ว”
ไม่ต้องเดา เ้าของเสียงะโจะเป็ใครไปได้นอกจากเกาเหริน
ผมเปียที่ยามปกติเป็ระเบียบอยู่เสมอหลุดรุ่ย ชุดสีแดงสดที่สวมอยู่ก็สกปรกดูไม่ได้ น่าอนาถยิ่งนัก จนเสี่ยวหมี่ต้องยื่นมือออกไปปัดฝุ่นบนตัวให้เขา ตำหนิเบาๆ ว่า “เ้าไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาอีกแล้ว ถึงได้สกปรกขนาดนี้? รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เร็วเข้า บะหมี่ที่บ้านมีเยอะแยะเ้าอยากกินเท่าไรก็ได้”
หากเป็ยามปกติเกาเหรินก็คงจะโกรธแล้วเอาแต่หลบเลี่ยง แต่ยามนี้กลับปล่อยให้เสี่ยวหมี่บ่น แล้วยืนยิ้มอยู่เฉยๆ
“พี่ใหญ่เฝิง ท่านไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะเ้าคะ อีกประเดี๋ยวบะหมี่ก็เสร็จแล้ว”
เสี่ยวหมี่พูดพลางวิ่งไปยังห้องครัว ซูอีแอบตามไปเงียบๆ เสี่ยวหมี่เติมฟืนเขาจุดไฟ คนทั้งสองทำงานเข้าขากันเป็อย่างดี
เสี่ยวหมี่อดลูบศีรษะเขาไม่ได้ จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ลำบากเ้าแล้ว เดี๋ยวจะแบ่งบะหมี่ให้เ้าชามหนึ่ง ข้าจะใส่เนื้อให้มากกว่าถ้วยของเกาเหริน”
ซูอียังคงยิ้มสดใสเช่นเดิม ไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าใจหรือไม่
เสี่ยวหมี่ไม่มีเวลาสนใจมากนัก นางเตรียมแป้ง หั่นเนื้อ ยุ่งราวกับผึ้งงานก็ไม่ปาน
ยามปกติที่เฝิงเจี่ยนอยู่เคียงข้างนางเสมอ นางไม่รู้สึกถึงความสำคัญของเขา แต่ยามนี้หลังจากที่ต้องห่างกันไปนาน ในที่สุดนางก็รู้ใจตัวเอง
ถึงแม้ชายคนนี้จะเป็เหมือนหมอกพร่ามัวที่ไม่ชัดเจน ทำให้นางสับสนและไร้เรี่ยวแรง แต่น่าประหลาดที่เขาสามารถมอบความรู้สึกปลอดภัยให้กับนางได้ ราวกับว่าขอเพียงมีเขาอยู่ก็จะไม่มีใครทำอันตรายนางได้
เขาเหมือนเป็ท้องฟ้าที่โอบอุ้ม เอาอกเอาใจและเข้าอกเข้าใจนิสัยของนาง ไม่ว่านางจะมีความสุขหรือเป็ทุกข์หรือเผด็จการแค่ไหน...
ไม่รู้ั้แ่เมื่อใดที่เขามีความสำคัญในจิตใจของนางมากขนาดนี้ มากจนทำให้นางคิดอยากจะพึ่งพิง อยากจะเชื่อเขาจนหมดหัวใจ...
น้ำในหม้อเดือดแล้ว ซูอีเห็นเสี่ยวหมี่ยังคงเหม่อลอย จึงเอื้อมมือออกไปจับชายเสื้อนางเบาๆ
เสี่ยวหมี่ดึงสติกลับมาได้ เมื่อหันมาสบตากลมโตที่ตาดำตาขาวตัดกันชัดเจนของซูอีก็หน้าแดงทันที นางรีบยกหม้อขึ้นจากเตา
เสี่ยวหมี่ตักแบ่งบะหมี่ถ้วยหนึ่งให้เขานั่งกินที่นี่
ที่เหลือก็ยกไปที่โถงกลางบ้านทั้งหมด พวกบิดาลู่กำลังสนทนากับชาวบ้านคนอื่นๆ ที่เดินมาดูเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว
เฝิงเจี่ยนและเกาเหรินต่างไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว ล้างความเหนื่อยล้าบนร่างออกไป
เสี่ยวหมี่ตักบะหมี่ให้พวกเขา ชามกระเบื้องขนาดเท่าศีรษะเด็ก เกาเหรินกินแค่ไม่กี่คำก็เกลี้ยงชามไม่เหลือแม้แต่น้ำแกง
ส่วนเฝิงเจี่ยนนั้นถึงแม้ท่าทางการกินจะดูดีกว่ามาก แต่ก็ไม่ชักช้า เพียงครู่เดียวก็กินหมดแล้วเช่นกัน
บิดาลู่เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ กล่าวว่า “กินช้าๆ เถอะ ที่บ้านไม่ได้มีเื่ใหญ่อะไรเสียหน่อย เหตุใดต้องรีบร้อนกลับมาขนาดนี้”
ทุกคนได้ยินก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเสี่ยวหมี่ก็พอจะเดาได้ และยิ่งรู้สึกอิจฉายิ่งนัก บิดาลู่ไม่รู้ไปทำบุญใหญ่โตมาจากชาติปางไหน ถึงได้บุตรสาวกตัญญูเช่นนี้ ที่บ้านเกิดเื่ใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ตัวเขาเองยังแทบไม่รู้เื่อะไร
แต่ว่า ในเมื่อเสี่ยวหมี่คิดอยากจะปิดบังบิดา พวกเขาก็ไม่จำเป็ต้องเปิดโปง สนทนากันไม่กี่ประโยคแต่ละคนจึงแยกย้ายกันไป
ั้แ่ต้นจนจบ เฝิงเจี่ยนแทบจะไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก เขาเอาแต่กินบะหมี่ราวกับคนจรจัดที่หิวโซ แต่ทุกคนในสกุลลู่ยกเว้นบิดาลู่ รวมถึงชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างรู้สึกเบาใจลงอย่างน่าประหลาด
คล้ายว่าหากมีคนผู้นี้อยู่ก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น คล้ายว่าเ้าคนแซ่ตู้นั่นจะสร้างปัญหาอะไรไม่ได้อีกหากมีคนคนนี้อยู่ด้วย
บ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านเขาหมีต่างทยอยกันจุดตะเกียงขึ้นมา จากนั้นก็ทยอยกันดับตะเกียง ค่ำคืนนี้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ตอนที่เสี่ยวหมี่ล้างจานชามเสร็จเรียบร้อย ตะเกียงในห้องหลักก็ถูกดับไปแล้ว
แต่หน้าต่างเรือนพักฝั่งตะวันออกยังคงเปิดอยู่ เฝิงเจี่ยนยืนอยู่ข้างหน้าต่างพยักหน้าให้นางเบาๆ
ขาของเสี่ยวหมี่ราวกับถูกสะกดให้ก้าวเข้าไปหาเขาก็ไม่ปาน แสงจันทร์ตกกระทบใบหน้าของเฝิงเจี่ยน แลดูงดงาม
“พี่ใหญ่เฝิง...”
เสี่ยวหมี่มีอะไรอยากจะพูดมากมาย แต่ตอนนี้ทุกคำกลับติดอยู่ในลำคอ เฝิงเจี่ยนยกมือขึ้นช่วยจัดแจงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้นาง เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เป็ข้าเองที่คิดอะไรไม่รอบคอบ ทำให้เ้าต้องใแล้ว วันหน้ามีข้าอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเ้าก็ไม่จำเป็ต้องจับมีดอีกแล้ว เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวหมี่ขอบตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากพยักหน้าเบาๆ “บิดาข้าและพี่ใหญ่ไม่เป็วรยุทธ์ พี่รองไม่อยู่บ้าน ท่านลุงหยางกับซูอี...”
“ข้ารู้ วันหน้ามีข้าอยู่”
เฝิงเจี่ยนยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่พวงแก้มให้เสี่ยวหมี่ มันอุ่นร้อนลวกไปถึงใจเขา
“กลับไปนอนอย่างสบายใจเถอะ”
“เ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่หน้าแดง นางรู้สึกขัดใจตัวเองเหลือเกินที่ร้องไห้ได้ง่ายดายขนาดนี้ “ข้าขอตัวก่อน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้