สังเวียนับรรพชนตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างทะเลตะวันตกและทะเลเหนือ
อาจกล่าวได้ว่าการไปที่สังเวียนับรรพชนนั้นตรงกันข้ามกับทางไปแคว้นชื่อเซียว ซึ่งอยู่ทางตอนใต้และไกลสุดลูกหูลูกตา ระยะทางที่เคยยาวไกลเลยออกไปอีกเป็ล้านลี้อีกครั้ง
หลัวเลี่ยไม่สนใจ
อาชาเดือนดารัญนี้ถ้าเขา้าเพิ่มความเร็วสูงสุด เขาอาจสูญเสียพลังงานให้กับอาชาเดือนดารัญมาก ด้วยวิธีนี้ ความเร็วของอาชาเดือนดารัญจึงยังคงทะยานขึ้นหลายครั้ง และเขาสามารถควบม้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ไม่ต้องกังวลเื่เวลา แต่ปัญหาคืออุปสรรคระหว่างทางต่างหาก
ไม่ว่าอาชาเดือนดารัญจะเร็วแค่ไหน มันต้องใช้เวลามากกว่าสิบวันในการไปถึงบริเวณที่สังเวียนับรรพชนตั้งอยู่
“ศึกใหญ่อะไรเช่นนี้” เสวี่ยปิงหนิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าของนาง
สังเวียนับรรพชนตั้งอยู่บนูเาศักดิ์สิทธิ์ที่โผล่ขึ้นมาจากทะเลและพุ่งตรงขึ้นไปยังท้องฟ้า ลักษณะของูเานี้ดูเหมือนัเก้าตัวเกี่ยวพันกัน
ที่ความสูงประมาณสามร้อยจั้งจากระดับน้ำทะเล มีแท่นที่โดดเด่นมาก นั่นคือสังเวียนับรรพชน
สังเวียนับรรพชนนี้มีความลึกลับอยู่ ที่นี่มีข่าวลือว่าบรรพชนหลายกลุ่มของเผ่าัในตอนที่พวกเขายังเป็หนุ่มสาวได้ขึ้นไปฝึกฝนที่สังเวียนับรรพชน และจากนั้นก็วางรากฐานสำหรับการเป็บรรพชนเอาไว้
ในขณะนี้สังเวียนับรรพชนถูกบดบังไปด้วยหมอก
ในบางครั้งหมอกที่เคลื่อนที่อย่างว่องไวก็ก่อตัวเป็ภาพงดงาม ในทุกภาพล้วนมีร่างของับรรพชน เช่น ับรรพชนหายใจออกและกลายเป็ดวงดาว
และในสถานที่ห่างจากสังเวียนับรรพชนมากกว่าสามสิบจั้ง มีชายหนุ่มสี่คนลอยอยู่กลางอากาศ
ในจำนวนนี้แบ่งเป็เผ่าัสองคน และอีกสองคนเป็เผ่าทะเล
แม้จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนแต่ก็สื่อสารกันได้ ไม่เป็ศัตรู และความสัมพันธ์ยังกลมเกลียวกันดี
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีชายหนุ่มและหญิงสาวกว่าห้าร้อยคนจากเผ่าั และอีกห้าร้อยคนจากเผ่าทะเล รวมทั้งหมดเป็หนึ่งพันคน
สิ่งที่ทำให้เสวี่ยปิงหนิงใที่สุดคือคนนับพัน
เพราะถ้าสุ่มเลือก เขาจะเป็อัจฉริยะในแปดร้อยแคว้น และเป็อัจฉริยะคนแรกในแคว้นที่อ่อนแอ
เพราะพวกเขายังเด็ก ดังนั้นส่วนมากพวกเขาจึงมีพลังอยู่ในระดับหยินหยาง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใน่แรกของระดับหยินหยางแต่ด้วยอายุของพวกเขาที่ได้เข้าสู่ระดับนี้ หรือแม้แต่ระดับผู้ฝึกตนขั้นสิบแล้วย่อมไม่ธรรมดา
อัจฉริยะนับพันรวมตัวกันจะทรงพลังมากเพียงใด แน่นอนว่ามันสามารถกวาดล้างเยาวชนทุกคนได้อย่างแน่นอน
“สุดยอดอัจฉริยะสี่คนบวกกับสุดยอดอัจฉริยะอีกหนึ่งพันคน ระดับนี้เป็เื่ยาก” เสวี่ยปิงหนิงเอ่ยกับหลัวเลี่ย แม้ว่านางคิดว่าหลัวเลี่ยจะพ่ายแพ้ แต่นางก็ยังต่อสู้เคียงข้างกับเขาจนถึงที่สุดอย่างไม่ท้อถอย แล้วนับประสาอะไรกับการโจมตีหลัวเลี่ยด้วยคำพูด แต่คราวนี้นางอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา สถานการณ์นี้น่าใเกินไปจริงๆ
แม้แต่เสวี่ยปิงหนิงยังคิดว่าระดับกายทองคำและระดับบรรพชนสามารถปรากฏในคนเหล่านี้ในรุ่นนี้ของเผ่าัและเผ่าทะเลได้
กล่าวคือ พวกเขาจะต้านทานผู้ที่จะขึ้นเป็ระดับบรรพชนและระดับกายทองคำในอนาคตได้อย่างไร
เมื่อมองจากระยะไกล มันคงเป็เื่โกหกหากจะบอกว่าหลัวเลี่ยไม่ใเลย
ไม่ว่าเขาจะมั่นใจแค่ไหน เขาก็รู้ว่าหมัดสองหมัดนั้นยากที่จะเอาชนะด้วยสี่มือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระดับของสี่ยอดอัจฉริยะนั้นสูงกว่าเขาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
เสวี่ยปิงหนิงหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่มอบความอบอุ่นให้นาง เมื่อเห็นแววตาของเขา นางก็ปัดความคิดที่จะเอ่ยให้หลัวเลี่ยยอมแพ้ในทันที
เพราะนางเห็นความดื้อรั้นในดวงตาของหลัวเลี่ย
มันปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
ในตอนเหตุการณ์ป้ายคำสั่งข่งเชวี่ยและเหตุการณ์ไก้อู๋ซวง เขาก็ล้วนมีแววตาเช่นนี้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามหลัวเลี่ยเป็คนที่เมื่อเขาแน่ใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างแล้ว เขาก็จะทำตามที่ตนมั่นใจโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก
หลังจากนั้นไม่นาน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลัวเลี่ย “เ้าว่าหากข้าสั่งสอนพวกเขาได้ ใครจะกล้าหยุดข้าจากการตามหาไข่มุกูเา แม่น้ำ สายลม และสายฝนได้อีก”
เสวี่ยปิงหนิงไม่ปฏิเสธว่าหลัวเลี่ยสามารถเอาชนะพวกเขาเหล่านี้ได้ เพราะนอกจากคนหนุ่มสาวพวกนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับพวกเขาอีก
คำถามคือเขาจะสามารถเอาชนะได้จริงหรือไม่?
“สี่คนนั้นคือใคร พี่ปิงหนิงท่านน่าจะรู้จัก ท่านช่วยแนะนำข้าหน่อยสิ” หลัวเลี่ยตัดสินใจแล้วที่จะไม่จากไป ดังนั้นเขาจึง้าทำความรู้จักกับฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่หลัวเลี่ยกลับพบว่าในบรรดาผู้คนนับพันนั้นไม่มีนักเวทเลยแม้แต่คนเดียว
แม้ว่าจำนวนของนักเวทในเผ่าัจะมีจำนวนน้อย แต่เผ่าอื่นๆ ที่อยู่ในทะเลเช่นเดียวกันนั้นก็ไม่ได้มีนักเวทน้อยไปด้วย
เมื่อพูดถึงเื่นี้ เื่นี้ยังเกี่ยวข้องกับการที่หลัวเลี่ยสังหารไก้อู๋ซวง
การโต้กลับที่สิ้นหวังครั้งสุดท้ายของไก้อู๋ซวงเป็วิชายุทธ์แบบผสมผสาน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นักเวทในระดับบรรพชนจะสามารถสร้างได้ แม้ว่าผลสุดท้ายมันจะถูกหลัวเลี่ยทำลายอย่างง่ายดาย ดังนั้นผู้คนจึงดูประวัติการต่อสู้ของหลัวเลี่ยอีกครั้ง และพบโดยบังเอิญว่าหลัวเลี่ยเหมือนจะเกิดมาเพื่อควบคุมนักเวท เพราะไม่ว่าคาถาใดๆ ก็ตาม เมื่อเขาใช้มือซ้าย เขาก็สามารถทำลายมันได้ทั้งหมด ซึ่งทำให้นักเวทเริ่มที่จะหลีกเลี่ยงหลัวเลี่ย เพื่อลดการเป็ภาระของอัจฉริยะคนอื่นๆ
เื่นี้ได้แพร่กระจายอย่างเงียบๆ ไปทั่วดินแดนเหยียนหวงโดยที่หลัวเลี่ยก็ไม่รู้
ส่วนเสวี่ยปิงหนิง นางก็ได้แยกกับหลิวหงเหยียนแล้วในครั้งนี้ และเกือบจะได้ข้อมูลจากหลิวหงเหยียนเกี่ยวกับเยาวชน คนหนุ่มสาว วัยกลางคน และผู้ใหญ่ โดยมีจุดประสงค์คือเพื่อช่วยหลัวเลี่ย
“ผู้หญิงคนเดียวในสี่คนนี้ชื่อว่าสุ่ยอวิ๋นเหยาจากเผ่าทะเล เผ่าของนางเป็เผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังมากในท้องทะเล ว่ากันว่านางต้องแต่งงานกับอัจฉริยะจากเผ่าั ส่วนในด้านพลังนั้นนางอยู่ใน่ปลายของระดับหยินหยางแล้ว” เสวี่ยปิงหนิงแนะนำ
“ผู้ที่อยู่กับสุ่ยอวิ๋นเหยาก็เป็เผ่าทะเล โดยเฉพาะเผ่าาาทะเลในเผ่าทะเล และเป็หนึ่งในเผ่าพันธุ์ในเผ่าทะเลที่มีความสามารถในการแข่งขันกับเผ่าั ชื่อของเขาคือไห่ปี้เถา และเขายังมีพลังอยู่ใน่ปลายของระดับหยินหยาง ว่ากันว่าเมื่อเขาเริ่มฝึกวรยุทธ์ การต่อสู้แม้ในระดับต่ำสุดจะเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลสีฟ้าและคลื่นรอบตัวเขา ดังนั้นจึงมีชื่อว่าไห่ปี้เถายอดอัจฉริยะที่สามารถต่อสู้ในน้ำด้วยพลังพิเศษได้”
“อีกสองคนมาจากเผ่าั”
“ชายผู้แข็งแกร่งที่สูงมากกว่าครึ่งจั้งคือหลงเติ้งอวิ๋น ร่างของเขาคือัดุร้ายแห่งท้องทะเล มันเป็ัชนิดหนึ่งที่มีกำลังดุร้ายจนน่าใ ในกลุ่มั ระดับของัของเขาไม่สูงนัก แต่เขาสามารถต่อสู้ในเื่นี้ได้ เรียกได้ว่าเป็ความหวังของัอำมหิตในตระกูลั และยังมีพลังอยู่ในขั้นปลายของระดับหยินหยางอีกด้วย”
“คนสุดท้ายในชุดขาวคือเผ่าั ไม่สิ ควรกล่าวได้ว่าเป็อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เขาคือหลงไป๋จาง แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ใน่ปลายของระดับหยินหยาง แต่เขาก็ได้รับการยอมรับในฐานะความหวังสูงสุดที่จะทะลวงระดับหยินหยางในปีนี้ ในหมู่เยาวชนในปัจจุบันอัจฉริยะอันดับต้นๆ ที่ก้าวเข้าสู่ระดับแก่น์นั้นไม่ง่ายเลย เขาอยู่ในตระกูลัขาวจากัทั้งห้าสีในเผ่าั”
“อัจฉริยะที่เหลืออีกนับพันคนก็เก่งมากเช่นกัน บางคนมีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเพราะร่างกายที่แข็งแกร่ง หากเรารวมพลังกัน เราจะมีความสามารถฆ่าหลงไป๋จางและอัจฉริยะชั้นนำอีกสี่คนได้ในทันทีอย่างแน่นอน”
หลัวเลี่ยลูบคางของเขา ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยจิติญญาแห่งการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง “ได้ประลองกับคนเช่นนี้สิถึงจะน่าสนใจ”