ราชินีอวิ๋นซูเป็แม่ทัพสูงสุดของเ้าผู้ครองนคร อยู่เหนือแคว้นเป่ยเยียนและหนานเยียน กระทั่งเซวียนหยวนเช่อก็ยังต้องโค้งกายประสานหมัดเมื่อพบนาง เซวียนหยวนเช่อย่อมไม่กล้าเพิกเฉยต่อทูตที่นางส่งมา เขาค่อยๆ ถอนสายตามาจากร่างของเฟิ่งเฉี่ยนแล้วผายมือกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นประหนึ่งูเา “เบิกตัวทูต!”
คนที่มาเพิ่งจะออกไป ขุนนางทั้งหลายเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
“ราชินีอวิ๋นซูส่งคนมากะทันหันเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะเื่นั้น?”
“หากนับๆ ดู ก็สมควรแก่เวลาแล้ว”
“เฮ้อ ทุกปีของ่เวลานี้ ล้วนเป็่เวลาที่ชาวเป่ยเยียนปวดหัวที่สุด!”
“ใครบอกว่าไม่ใช่เล่า แค้วนเป่ยเยียนเป็เบาะรองหลังทุกปี ช่างทำให้คนกลัดกลุ้มยิ่งนัก!”
“ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็อย่างไร?”
“เกรงว่าต้องห้อยอยู่ท้ายขบวน กลายเป็เื่ขำขันของแคว้นอื่น!”
“ไม่น่าเลยจริงๆ!”
“...”
ได้ยินทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ เฟิ่งเฉี่ยนประหลาดใจ ไม่รู้ว่าราชินีอวิ๋นซูมีจุดประสงค์อันใดที่ส่งทูตล่วงหน้ามาก่อน
องค์หญิงหลานซินกลับไปนั่งที่ของตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
ไม่นานนัก ขันทีเดินนำขบวนมา หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรีเดินเข้ามาในท้องพระโรง
บุรุษมีอายุราวๆ ห้าสิบกว่าๆ รูปร่างค่อนไปทางเ้าเนื้อ หน้าท้องใหญ่คางสองชั้น ใบหน้ากลมทว่ามีดวงตาฉลาดเฉลียวคู่หนึ่ง มุมปากมักมีรอยยิ้มติดอยู่เสมอ ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเป็รอยยิ้มเ้าเล่ห์ของคนหน้าเนื้อใจเสือ
สตรีมีอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ สวมอาภรณ์ในชุดรัดกุมสีน้ำเงิน คล่องแคล่วทะมัดทะแมง นางอายุน้อยรูปโฉมงดงาม บุคลิกกดข่มผู้อื่น ทว่ากลับไม่มีรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่เ็าสุดขั้ว ที่เอวของนางเหน็บดาบโค้งสีน้ำเงินเล่มหนึ่ง บนดาบโค้งยังประดับทับทิมสีแดงเม็ดหนึ่งที่สะท้อนแสงวับวาวเป็พักๆ ทุกสถานที่ที่นางไปถึงอุณหภูมิจะลดลงสิบกว่าองศา คล้ายว่าเป็ูเาน้ำแข็งที่ถูกปิดตายมาเป็เวลากว่าพันปี และคล้ายเป็พญายมที่มาจากขุมนรก เห็นนางแล้วเฟิ่งเฉี่ยนราวกับเห็นเงาของตนเองในอดีต นางมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด!
“กระหม่อม จางโหม่ว ถวายบังคมฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ!”
“หม่อมฉัน หานปิงจี ถวายพระพรฝ่าาเพคะ!”
ที่แท้นางชื่อ หานปิงจี ยังเป็ขุนนางอีกด้วย?
นี่เป็ขุนนางหญิงคนแรกที่เฟิ่งเฉี่ยนได้พบั้แ่ทะลุมิติมาทีเดียว นางจึงอดที่จะลอบมองนางอีกหน่อยไม่ได้
หานปิงจีเหมือนจะััได้ ดวงตาเ็านั้นมองมาทันที ดวงตางดงามนั้นมีความสงสัยพาดผ่าน ทว่านางละเลื่อนสายไปอย่างรวดเร็ว พูดให้ถูกคือ มองข้าม! ไม่เพียงแต่เฟิ่งเฉี่ยนเท่านั้น แทบจะกล่าวได้ว่าทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงล้วนไม่อยู่ในสายตานางทั้งสิ้น!
น่าสนใจ!
เฟิ่งเฉี่ยนเกิดความรู้สึกสนอกสนใจนางเป็พิเศษ นี่เป็ครั้งแรกที่นางรู้สึกสนใจสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง
เซวียนหยวนเช่อสังเกตได้ถึงความใคร่รู้ของนาง ดังนั้นจึงเจตนาพูดให้นางฟังว่า “ใต้เท้าหานเป็คนโปรดข้างกายราชินีอวิ๋นซู และเป็ขุนนางหญิงที่รับใช้ใกล้ชิด ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากราชินีอวิ๋นซู หากมิใช่เื่สำคัญจริงๆ ราชินีอวิ๋นซูไม่มีทางส่งคนที่ช่วยงานตนเองได้เป็อย่างดีออกมาข้างนอก ไม่รู้ว่าใต้เท้าหานมาครั้งนี้ ด้วยเื่อันใด?”
หานปิงจียื่นเทียบเชิญสีทองแผ่นหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับพูดเรียบๆ “หลังจากนี้สามเดือน เ้าผู้ครองนครต้าเยียนจะจัดการแข่งขันประจำปีของแคว้นทั้งห้า นี่เป็เทียบเชิญของแคว้นเป่ยเปียน หวังเป็อย่างยิ่งว่าแคว้นเป่ยเยียนจะส่งยอดฝีมือเข้าร่วมแข่งกันในครั้งนี้!”
ทุกคนได้ยินแล้วพากันกระซิบกระซาบต่างๆ นานา
“ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ ทูตมาส่งเทียบเชิญ!”
“ตัวแทนเข้าแข่งขันจากแคว้นเป่ยเยียนของพวกเราอยู่ลำดับสุดท้ายติดๆ กันมาสามปีแล้ว หากปีนี้ยังรั้งท้ายอีกละก็ คงอับอายขายหน้า”
“ผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นเป่ยเยียนของพวกเราล้วนมาจากสำนักศึกษาเทียนหงทั้งสิ้น ทว่าความสามารถของสำนักศึกษาเทียนหงถดถอยลงทุกปี ช่างทำให้คนกลัดกลุ้มโดยแท้!”
“ช่วยไม่ได้นี่นา อาจารย์ที่เก่งที่สุดของสำนักศึกษาเทียนหงถูกแคว้นอื่นคว้าตัวไปแล้ว ศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดก็ย้ายไปศึกษาในสำนักศึกษาอื่น ้าบุคลากรที่เป็อาจารย์ไม่มีอาจารย์ ้าศิษย์หน่วยก้านดีก็หาไม่ได้ เมื่อเกิดวัฏจักรเช่นนี้ ไม่แพ้จะจึงประหลาด!”
“เฮ้อ...”
ท่ามกลางเสียงทอดถอนใจ จ้าวกงกงเดินขึ้นมารับเทียบเชิญส่งไปถึงมือของเซวียนหยวนเช่อ
เซวียนหยวนเช่อพลิกเปิดอ่านครู่หนึ่งก็ปิดเทียบเชิญลง “เื่นี้เจิ้นรู้แล้ว ปีนี้แคว้นเป่ยเยียนจะส่งคนเข้าร่วมการแข่งขัน!”
ทันทีที่สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันของซือจวินคงเย่ดังขึ้น “ท่านพี่เซวียนหยวนช่างใจกว้างเหลือเกิน แคว้นเป่ยเยียนรั้งท้ายการแข่งขันติดๆ กันมาเป็เวลาสามปี ปีนี้ก็ยังจะเข้าร่วมแข่งขันหรือ กระทั่งข้ายังรู้สึกหน้าแดงแทนท่านพี่เซวียนหยวน...”
เฟิ่งเฉี่ยนเพิ่งจะรับรู้ว่ายังมีการแข่งขันระหว่างแคว้นทั้งห้าด้วย อีกทั้งผลงานของแคว้นเป่ยเยียนไม่เป็ไปตามที่ปรารถนา หากเปลี่ยนเป็คนอื่นอาจจะไม่เข้าร่วมแข่งขันเพราะความเกรงใจ
ทว่านางคิดว่าเซวียนหยวนเช่อไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน ด้วยนิสัยของเขา ต่อให้ต้องพ่ายแพ้เขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างงดงาม!
แต่นางประหลาดใจเพราะด้วยนิสัยโอหังและถือดีของเซวียนหยวนเช่อ ไฉนจึงปล่อยให้แคว้นเป่ยเยียนตกอยู่รั้งท้ายของแคว้นทั้งห้าได้ หรือขาดแคลนคนมีความสามารถจริงๆ จึงได้แต่จนปัญญา?
ระหว่างที่ใคร่ครวญอยู่นั้น น้ำเสียงเรียบเรื่อยของเซวียนหยวนเช่อพูดขึ้นว่า “ที่ราชินีอวิ๋นซูยืนกรานจัดการแข่งขันแคว้นทั้งห้าในทุกๆ ปี จุดประสงค์เริ่มแรกนั้นก็เพื่อเฟ้นหาคนมากความสามารถโดดเด่นของแผ่นดินผู้ครองนครต้าเยียน เพื่อทำงานให้กับต้าเยียน มิได้้าให้แคว้นทั้งห้าต่อสู้เอาชนะกันชนิดเอาเป็เอาตาย หากท่านพี่ซือคงส่งยอดฝีมือเข้ามาแข่งขันเพราะ้าเอาชนะ เช่นนั้นจะเป็ความคิดคับแคบเกินไปหรือไม่ ผิดต่อปณิธานเดิมของราชินีอวิ๋นซูเกินไป!”
คำพูดของเซวียนหยวนเช่อทำให้เฟิ่งเฉี่ยนปรบมือในใจ พูดได้ดี!
นี่จึงจะเป็บุคลิกและลักษณะของฮ่องเต้!
เมื่อเปรียบเทียบเซวียนหยวนเช่อกับซือคงจวินเย่แล้ว ทำให้ซือคงจวินเย่ดูใจคอคับแคบจริงๆ!
คำพูดของเซวียนหยวนเช่อทำให้ดวงตาของหานปิงจีทอประกายน้อยๆ เป็ครั้งแรกที่นางมองเขาตรงๆ
“ฝ่าาทรงตรัสถูกต้องแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงที่ราชินีอวิ๋นซูจัดการแข่งขันของแคว้นทั้งห้าก็เพื่อเลือกเฟ้นผู้มากความสามารถโดดเด่นให้กับแผ่นดินผู้ครองนครต้าเยียน เพื่อทำงานให้ต้าเยียน หากคิดแต่จะเอาชนะนั่นย่อมเป็การทรยศหักหลังปณิธานเดิมของราชินี!”
คำพูดของหานปิงจีเป็การตบหน้าซือคงจวินเย่ ส่งผลให้เขาเป็ใบ้ไปชั่วขณะ
เขาหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอะไรอีก
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่งแล้วไม่ใส่ใจ เขาหันไปกล่าวกับหานปิงจีอีกว่า “หากเพื่อเป็การส่งเทียบเชิญ ย่อมไม่จำเป็ต้องรบกวนให้ใต้เท้าหานเดินทางมาด้วยตนเอง ใต้เท้าหานมาครั้งนี้น่าจะมีเื่อื่นด้วยกระมัง”
สายตาที่หานปิงจีมองเขามีความชื่นชมเพิ่มขึ้นมาด้วย “ฝ่าาทรงพระปรีชาสามารถเพคะ! ที่หม่อมฉันมาครั้งนี้มีเื่อื่นด้วยจริงๆ!”
นางยกมือขึ้นสะกิดแหวนสะสมของบนนิ้วกลางมือขวา วินาทีถัดมา กล่องสีเงินกล่องหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของนาง!
บนกล่องสีเงินนั้นแกะสลักเป็รูปเมฆมงคลและสัตว์ต่างๆ มองดูแล้วฝีมือประณีตวิจิตร บนกล่องยังมียันต์สีแดงปิดอยู่ด้วย ทำให้ดูแล้วเพิ่มความลึกลับยิ่งขึ้น
หานปิงจีกล่าวว่า “หม่อมฉันน้อมรับพระเสาวนีย์จากราชินี นำสิ่งของล้ำค่ากล่องนี้มามอบให้กับผู้มีวาสนา!”
“ผู้มีวาสนาหรือ” ไม่เพียงแต่เซวียนหยวนเช่อที่แปลกใจ ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างรู้สึกแปลกใจกับสิ่งของในกล่องนั้น
ของขวัญของราชินีอวิ๋นซู ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญ!
หานปิงจียังพูดเสริมอีกว่า “สิ่งของล้ำค่าชิ้นนี้ มีเพียงสตรีเท่านั้นที่จะได้! ราชินียังทรงกำชับเป็พิเศษอีกว่า คนแรกที่เปิดมันออกก็คือเ้าของมัน!”
คนทั้งหมดยิ่งประหลาดใจมากขึ้น
หานปิงจีกวาดสายตาเ็ามองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระว่า “หม่อมฉันนำมันเดินทางไปถึงแคว้นอื่นๆ ทั้งสี่แคว้น จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครเปิดมันออกได้ แคว้นเป่ยเยียนเป็แคว้นสุดท้าย หากยังคงไม่มีใครเปิดมันได้อีก หม่อมฉันคงได้แต่นำมันกลับไปยังเมืองหลิงหลง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้