หลิวเหรินกุ้ยได้ยินก็ไม่ใส่ใจ หากห้องของพวกเขาจะแบ่งออกมาอีกห้องก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ จึงเอ่ยอีก “จื้อเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์? ห้องเอ่อร์ฝางเล็กเกินไปต้องยกให้บ่าวรับใช้อยู่ ส่วนจื้อเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์กำลังเล่าเรียน อย่างไรก็ควรมีห้องตำราสักห้อง!”
เมื่อมีห้องตำรา ย่อมต้องมีห้องนอน ดังนั้นห้องปีกตะวันตกล้วนมีครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยอาศัยอยู่ทั้งหมด
หลิวเหรินกุ้ยยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ นั่นก็คือเขาไม่อยากให้พื้นที่กับหลิวสี่กุ้ยมากเกินไป แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความคิดที่ไม่สมควร เพราะว่าตอนนี้เขาตกงาน แม้ว่าในมือยังมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงเศษ แต่คนที่เคยเห็นเหรัญญิกอย่างเขาไม่ใช้จ่ายง่ายดายเหมือนก่อนย่อมต้องคิดอย่างละเอียดอ่อน เขาอยากซื้อที่นาดีเพิ่มในปีหน้า หรือไม่ก็ไปวิ่งค้าขายกับคนอื่น หนึ่งปีหากได้ดีก็จะทำให้ครอบครัวมีกินมีใช้อย่างสบายใจ
แน่นอนว่าหลิวเหรินกุ้ยไม่ได้วางแผนที่จะจ่ายเงินของตัวเองเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของตน มิฉะนั้นเขาจะย้ายกลับไปที่บ้านเก่าด้วยเหตุใด เขาตั้งใจเกาะหลิวฉีซื่อกินอยู่แล้ว
ครอบครัวของหลิวสี่กุ้ยอยู่ไกลออกไปในตัวเมืองจังหวัด ไม่อาจกลับมาอยู่ที่บ้านเก่าได้ ส่วนหลิววั่งกุ้ยก็อาศัยที่สถาบันเอกชนไม่กลับมา ขณะที่ครอบครัวหลิวซานกุ้ยก็พักอยู่ที่ปากทางหมู่บ้าน เื่นี้จึงไม่เกี่ยวอะไรกับครอบครัวของเขาที่เป็เพียงผู้ชมเท่านั้น
ชุ่ยหลิวกับหลิวเหรินกุ้ยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน นางได้กรอกหูหลิวเหรินกุ้ยอีกทาง
หลิวฉีซื่อถูกกล่อมจนหวั่นไหว คิดว่าบุตรชายคนรองพูดไม่ผิด ถึงอย่างไรบุตรชายคนโตก็กลับมาพักไม่กี่วัน ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขาสองสามีภรรยาพักที่ห้องตะวันตก ส่วนลูกๆ ก็พักที่ห้องปีกตะวันตกชั่วคราวก็ได้
ชุ่ยหลิวเห็นนางหวั่นไหว จึงเอ่ย “ฮูหยินใหญ่ ตอนนี้ก็แค่พักชั่วคราว ไม่แน่ว่าคุณชายสี่สอบผ่านจวี่เหรินเมื่อใด บ้านเดิมคงได้แต่ปล่อยว่าง เพราะคุณชายสี่ก็ต้องรับท่านทั้งสองไปพักด้วยกันจึงจะดี!”
สิ่งที่นางพูดเป็ความจริง ชุ่ยหลิวรู้ว่าหลิววั่งกุ้ยนั้นพอเล่าเรียนได้ อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากจวนตระกูลหวง ขอเพียงสอบผ่านจวี่เหริน แม้ว่าจะจบที่ขั้นนี้ก็สามารถเป็ขุนนางระดับอำเภอได้ ถึงแม้จะไม่เก่งอย่างไรก็ยังได้เป็ถึงปลัดอำเภอ
คําพูดของชุ่ยหลิวนั้นถูกใจหลิวฉีซื่อ เื่บ้านจึงเห็นพ้องกันเช่นนี้
แต่อย่าคิดว่ามันจะจบเท่านี้
หลิวฉีซื่อเอ่ยปากพูดถึงเื่ก่อน “ก่อนหน้านี้เราคุยถึงไหนหรือ? ใช่สิ ให้เต้าเซียงหัดทำอาหารมากหน่อย ท่านฮูหยินเป็คนที่นึกถึงสัมพันธ์เก่าแก่เสมอ ได้ยินว่าเต้าเซียงมีพร์ด้านการทำอาหารอยู่บ้าง จึงยกแม่ครัวแก่ให้ข้าหนึ่งคน อาหารที่ขึ้นชื่อในชิงโจวและออกหน้าออกตาได้ นางทำเป็หมด แล้วยังมีสูตรอาหารลับอีกหลายอย่าง เพราะฮูหยินใหญ่เมตตา นึกถึงข้า จึงยกแม่ครัวคนนี้ให้ข้า”
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงกลอกไปมา พลันใช้หางตาเหลือบมองชุ่ยหลิวที่เดินตามหลังหลิวเหรินกุ้ย เมื่อครู่ทั้งสองอยู่ในห้องตะวันออกนานไปหน่อยนะ!
หากนางจำไม่ผิด ชุ่ยหลิวที่อยู่ไม่นิ่งคนนี้คงเป็คนที่ฮูหยินใหญ่ยกให้เช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน เกรงว่าแม่ครัวคนนี้ก็คงไม่ใช่คนดีอะไร
“ขอบคุณท่านย่า พ่อจ๋า ท่านย่าเป็ห่วงข้าด้วย พูดตามจริง ข้าอยากฝึกทำอาหารกับแม่ครัวคนนั้น เพียงแต่ว่า...”
หลิวเต้าเซียงลังเลเล็กน้อย นางไม่้าเรียนรู้ทักษะการทำอาหารจากแม่ครัวคนนั้นจริงๆ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเื่ที่นางมีพร์หรือไม่ ลำพังคนที่ฮูหยินใหญ่ยกให้มา นางไม่อาจวางใจได้
ใต้หล้านี้อาหารที่เหมือนกันนั้นมีมากเกินไป เช่นเดียวกับคน
หากนางไม่ทันระวังคงกลายเป็เหยื่อของคนอื่นได้
หลิวซานกุ้ยก้มลงแล้วเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของนาง ในแววตาเผยรอยยิ้มออกมา บุตรสาวของตนมีแผนอะไร เขาหรือจะไม่รู้!
“เพียงแต่อะไร?” หลิวฉีซื่อรำคาญเล็กน้อย เมื่อมองหลิวเต้าเซียงก็ยิ่งรังเกียจจนกินอะไรไม่ได้
“ท่านแม่ ตอนนี้กุ้ยฮัวท้องโตแล้ว แม้ว่าจะมีแม่ยายคอยดูแล แต่เื่ในบ้านก็คงไม่อาจให้ผู้าุโมาทำ ชิวเซียงหมั้นหมายแล้ว เราไม่อาจให้นางทำงานหนักได้ เพียงแต่ให้นางทำงานเย็บปัก จะได้หารายได้ให้ที่บ้านบ้าง”
หารายได้? ทำงานเย็บปัก?
หลิวฉีซื่อเหลือบมองหลิวชิวเซียงครู่หนึ่ง เด็กสาวคนนี้รูปร่างหน้าตาเรียบร้อยงดงาม ช่างเหมาะสมแก่การเป็ภรรยาน้อย แต่เสียดายที่เ้าสามซื่อบื้อเกินไป ไขว้เขวไม่เป็ เป็ตายก็ไม่ยอมเห็นด้วย!
“อ้าว นางเย็บปักได้แล้วหรือ?”
“ท่านย่า หลานไปตื๊อท่านป้าหลี่จนนางยอมสอน”
หลิวชิวเซียงไม่ได้บอกว่าป้าหลี่นิสัยดี ฉลาดหลักแหลม และมีสัมพันธ์อันดีกับแม่หญิงเย็บปักในตำบลที่มาจากต่างถิ่น ได้ยินว่าแม่หญิงมีบ้านเกิดอยู่ที่ซูโจว ป้าหลี่ได้เรียนรู้วิธีการเย็บมากมายมาจากนาง จึงเหตุผลที่หลิวชิวเซียงจดจ้องภาพบนฉากกั้นลมนั้น
อย่างไรก็ตาม หลิวชิวเซียงไม่คิดจะบอกหลิวฉีซื่อเื่นี้
“สะใภ้นายช่างเหล็กหลี่หรือ?” หลิวฉีซื่อหัวเราะ
เหตุใดต้องหัวเราะ? เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาป้าหลี่ยังมาขอเรียนรู้การเย็บปักจากนาง แต่นางปฏิเสธที่จะสอนให้ ในตอนนั้นนางยังเอางานเย็บปักที่ทำเองให้หลิวฉีซื่อดู รอยเข็มที่บิดเบี้ยวไม่ได้เื่ ดูไปก็เท่านั้น
หลิวชิวเซียงก็หัวเราะ หัวเราะที่ท่านย่าไม่มีทางสืบสาวลึกลงไปอีก!
“ช่างเถิด ลูกหลานก็มีวาสนาของพวกเขาเอง ในเมื่อชิวเซียงอยากฝึกเย็บปัก เต้าเซียงก็ยังไม่ต้องฝึกทำอาหารไปก่อนชั่วคราว”
ถ้าไม่เรียนเลยจะดีกว่า หลิวฉีซื่อหมายมั่นไว้ว่าต่อไปหากคุณชายซูมา จะต้องหาวิธีให้มาพักที่บ้านของนางให้ได้ แล้วให้นางเด็กนี่สวมบทบาทผู้ที่ทำอะไรไม่เป็ จากนั้นให้แม่ครัวรับไปหมด หากว่าถูกปากคุณชายซู ต่อไปก็จะได้ให้บุตรสาวเข้าครัวกับแม่ครัวนั่น
ในสายตาของหลิวฉีซื่อ ภรรยาน้อยก็มีการแบ่งลำดับขั้น อย่างเช่นนายน้อยตระกูลหวง หรือคุณชายซู สถานะเหล่านี้ยอมรับได้ เพราะสามารถนำพาความมั่งมีและเกียรติยศมาให้นาง อีกทั้งยังทำให้บุตรชายคนสุดท้ายมีอนาคตที่ยาวไกลในการเป็ขุนนาง
ดวงตาที่เฉียบคมของหลิวฉีซื่อกวาดมองสองพี่น้องสลับไปมา ตอนนี้เนื้อหมูขึ้นเขียงแล้ว รอเพียงราคาค่าตัว!
โจรย่อมไม่ถอดใจง่ายๆ!
แต่แล้วเมื่อนางสำรวจมองให้ดี ก็ถึงกับใ!
เมื่อมองไปยังหลิวชิวเซียงที่ประดับด้วยปิ่นปักผมผีเสื้อทับทิมคู่ และมีดอกไม้สีแดงสองดอกติดผม ส่วนหลิวเต้าเซียงก็มีต่างหูเงินรูปดอกห้อยอยู่สองข้าง บนศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีเหลืองดอกเล็ก
ทั้งสองสวมชุดอ๋าวผ้าฝ้ายละเอียดสีแดงตัวยาวบาง ตรงขอบเสื้อบนหน้าอกของหลิวเต้าเซียงปักลายดอกไห่ถังสีแดงไว้ดอกใหญ่ ส่วนของหลิวชิวเซียงปักดอกชิวจวี๋สีแดงดอกใหญ่ ้ายังมีสร้อยอิ๋นสั่วเงินขนาดยาวหนึ่งเส้น ห้อยจี้คำว่าปลอดภัยและประดับด้วยทับทิม แล้วเดินขอบเส้นด้วยเงินสีขาวที่เป็ลายผีเสื้อ ดูงดงามมีสง่า!
เสียงกระทบกันของกำไลข้อมือที่ฟังดูรื่นหูนั้น ราวกับกำลังประกาศศึกกับหลิวฉีซื่อ
เยาว์วัย หนุ่มสาว เป็เวลาเหมาะสม!
เครื่องประดับที่แวววาวนี้ทิ่มแทงสายตาของนาง จนทำให้นางเ็ปที่ขั้วหัวใจ ของเ่าั้ควรเป็ของหลิวเสี่ยวหลันโดยแท้
หลิวฉีซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เป็ของตอบแทนคุณจากสะใภ้ใหญ่ ได้ยินว่าตอนนั้น เก้าอี้นี้เคยเป็ของฮูหยินใหญ่หวง ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงตกมาอยู่ในมือของสะใภ้ใหญ่ได้ เมื่อได้ยินว่าเรือนหลักสร้างเสร็จแล้ว จึงรีบหอบเอาเก้าอี้ไท่ซือที่ทำจากไม้หวงฮัวลี่นี้มามอบให้หลิวฉีซื่อ
ขณะนี้หลังมือของนางมีเส้นเืปูด คว้าที่พักแขนไว้แน่น อยากจะจินตนาการว่าที่พักแขนสองข้างนี้คือนางเด็กตัวดีสองคนตรงหน้า
หัวใจก็ป่าวร้องว่าให้ฉีกนางสองตัวนี้ให้แหลก ฉีกให้แหลก!
“ไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือน เ้าสาม ชีวิตของครอบครัวเ้าอยู่ดีเหลือเกิน”
หลิวเต้าเซียงยิ้มดูถูก ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าท่านยายของนางทำให้อัปมงคลอยู่เลย ตอนนี้กลับบอกว่าครอบครัวของนางอยู่ดี อยากดูสิว่าย่าผู้ชั่วร้ายมีแผนจะทำอะไรอีก!
“ท่านย่า ของเหล่านี้เป็ของขวัญที่เจอหน้ากันของน้าชายข้า ท่านยายบอกว่าน้าชายข้าให้ของขวัญน้อยไป พบเจอผู้คนไม่ได้ด้วยซ้ำ” หลิวเต้าเซียงยกยิ้มมุมปากจนโค้งขึ้น
หลิวซานกุ้ยพยักหน้า บุตรสาวของเขาพูดความจริงจึงเอ่ยเสริม “ตอนเดือนหก น้าชายของพวกนางกลับมา”
หลิวเหรินกุ้ยยังคงนึกถึงเื่เดินทางค้าขาย จึงรีบเอ่ย “ท่านแม่ นี่เป็เื่จริง คนในหมู่บ้านต่างก็รู้กัน น้องสะใภ้สามนั้นมีวาสนา ของบนตัวหลานทั้งสองกับซานกุ้ย ล้วนเป็ของที่จางอวี้เต๋อมอบให้”
“จางอวี้เต๋อกลับมาแล้วหรือ?” ใบหน้าของหลิวฉีซื่อไม่ค่อยดีนัก นี่ทำให้นางนึกถึงเื่หลังตรุษจีนที่ทำเื่งี่เง่าไว้
เดิมทีนางคํานวณไว้อย่างราบรื่น แต่ใครจะรู้ว่าคุณชายซูดันพาหมอติดตามมาด้วย แล้วหมอท่านนั้นก็ดันเก่งกาจ ดูครู่เดียวก็รู้ว่าทั้งสองได้รับพิษจากอาหาร ซึ่งกินผิดพลาด ทำให้แผนของนางพังพินาศไม่พอ เพราะเื่นี้ทำให้นางกับบุตรชายคนเล็กห่างเหินต่อกัน
ถูกต้อง หลิววั่งกุ้ยโกรธเคืองที่หลิวฉีซื่อละโมบอย่างน่าเกลียด ทำให้เขามิอาจเงยหน้ามองคนในหมู่บ้านได้ หลังจากกลับไปที่สถาบันเอกชันก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ทุกครั้งที่ส่งจดหมายหาหลิวเต้าฟู่ก็มิวายมีแต่เื่ขอเงิน
อารมณ์ของหลิวฉีซื่อย่ำแย่มาก ยิ่งหลิวซานกุ้ยได้ดีแค่ไหน ก็ยิ่งเป็การตบหน้านางเท่านั้น
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “ใช่แล้ว ท่านแม่ แต่ว่าน้าชายยุ่งกับธุรกิจ เพียงแค่พักที่บ้านไม่กี่วันก็จากไปอีก”
แม้ว่าจางอวี้เต๋อจะมีเงินอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำการค้า สถานะคือพ่อค้า ต่อไปหากเข้าสู่ชนชั้นพ่อค้า จำต้องอยู่ต่ำกว่าชนชั้นเกษตรกรหลายขั้น ลำพังข้อนี้หลิวฉีซี่อจึงไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาเท่าไร แต่ก็อิจฉาที่จางอวี้เต๋อมั่งคั่งร่ำรวย
ดังนั้นคําพูดของนางจึงเปลี่ยนไป!
“อย่างไรก็ตาม ด้วยการสนับสนุนของน้าชาย ครอบครัวของเ้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ” นางเอ่ย
หลิวซานกุ้ยมีหรือจะอ่านไม่ออกว่ามารดาคิดอะไรอยู่ เพียงแต่ตอบรับไปตามนั้น
หลิวฉีซื่อมองไปที่เขาอย่างจริงจัง พลันหงุดหงิดที่ตนเองละเลยไปก่อนหน้านี้
ผ้าไหมสีฟ้าครามของหูโจว รองเท้าก็สวมผ้าจิ่นสีดำปิดทุกด้าน ตรงเอวมีเพียงหยกขาวเรียบๆ หนึ่งชิ้น ซึ่งมีกลิ่นอายของบัณฑิต
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่า หลิวซานกุ้ยไม่ใช่ลูกชายจอมซื่อบื้อ พูดจาซื่อตรงเหมือนอย่างในความทรงจำของนางอีกต่อไป ทั้งร่างของเขาแผ่รัศมีบางอย่างออกมา นั่นก็คือ ความมั่นใจ!
มันเป็สิ่งสุดท้ายที่นางอยากเห็น
“ท่านแม่ ชาพร้อมแล้ว”
ขณะนี้หลิวซุนซื่อเพิ่งจะพาเด็กรับใช้นำน้ำชาร้อนมาให้อย่างเชื่องช้า
หลิวฉีซื่อเหลือบมองนางพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
หลิวซุนซื่อบอกให้เด็กรับใช้นำชามาวางบนโต๊ะ ส่วนนางก็เดินลงไปนั่งข้างๆ หลิวเหรินกุ้ย
ดูออกไม่ยากว่า จุดยืนของหลิวซุนซื่อในตระกูลหลิวนั้นแตกต่างจากสมัยก่อน
ชุ่ยหลิวเหลือบมองนางอย่างดูแคลน ยิ้มตาพริ้มแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินใหญ่ เมื่อวานฮูหยินรองยังบอกว่า บ้านนายท่านสามเลี้ยงหมูกับไก่ไว้ไม่น้อยด้วย”
เพียงประโยคเดียวก็ผลักหลิวซุนซื่อให้ไปอยู่บนขอบหน้าผาอันตราย และกลายเป็คนที่น่าชิงชังระหว่างสองครอบครัวขึ้นมา
“ถูกต้อง ข้าพูดเอง น้องสะใภ้สามใช้เงินที่น้องชายให้ไปซื้อของเ่าั้ คนในหมู่บ้านต่างก็รู้กันว่านั่นคือสินเ้าสาวของนาง”
ไม่รู้เพราะเหตุใดหลิวซุนซื่อถึงเน้นย้ำคำว่าสินเ้าสาวอย่างหนักแน่น สายตาจดจ้องสามีโดยไม่กะพริบตา
หลิวเหรินกุ้ยยิ้มและพูดว่า “ซุนซื่อพูดไม่ผิด นั่นคือสินเ้าสาวของน้องสะใภ้สาม”
หากเขายัง้าความช่วยเหลือ ก็จำต้องช่วยหลิวซานกุ้ยพูด
เมื่อเทียบกับผลกําไรมหาศาลที่ได้รับจากการทำค้าขายแล้ว หลิวเหรินกุ้ยจึงไม่เห็นสมบัติน้อยนิดของบ้านเดิมอยู่ในสายตา
-----
