"ต้าเหนียงจื่อ ผ้าเนื้อหยาบชิ้นนี้จะใช้ทำสิ่งใด"
ซีมู่เซียงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปจ้องนางตาปริบๆ "ข้าอยากทำกระเป๋าสะพายหลัง"
กระเป๋าสะพายหลัง? คือกระเป๋าแบบไหน? ซีมู่เซียงกับอูหลันฮวาสบตากัน
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มย่อง เมื่อเป้หนังสีดำของเธอไม่เหมาะที่จะใช้กับยุคสมัยนี้ ก็แค่ตัดเย็บกระเป๋าสะพายหลังจากผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ก็สามารถนำออกมาใช้งานอย่างเหมาะสมได้แล้ว
ไม่เพียงแต่้ากระเป๋าสะพายหลัง ยัง้ากระเป๋าใส่เงินปลีกกับกระเป๋าใส่ของจุกจิกอีกด้วย
ดวงตาของเซวียเสี่ยวหรั่นทอประกายระยิบระยับ ดึงสองคนเข้ามาใกล้แล้วเริ่มอธิบายว่ากระเป๋าเป้คือสิ่งใด
คำอธิบายคร่าวๆ และเรียบง่ายที่สุดก็คือ กระบุงสะพายหลังที่ทำจากผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ
เอาผ้ามาทำกระบุงสะพายหลัง? ซีมู่เซียงกับอูหลันฮวาสบตากัน แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ช้าก็เข้าใจความหมาย
"ต้าเหนียงจื่อ หากท่าน้าเตรียมไว้สำหรับการเดินทาง ที่ตลาดนัดก็มีขายหีบหวายนะเ้าคะ"
เนื่องจากปรกติต้าเหนียงจื่อมักไม่คุ้นกับเื่ราวสามัญทั่วไป ซีมู่เซียงจึงต้องเตือนสติด้วยความหวังดี
"ของอย่างหีบหวายหนักเกินไป ไหนเลยจะสะดวกสบายอย่างกระเป๋าสะพายหลัง" เซวียเสี่ยวหรั่นโบกมือ "ก่อนออกเดินทาง เย็บสามใบ แล้วสะพายหลังคนละใบกำลังดี"
"ต้าเหนียงจื่อ ถึงเวลานั้นให้ข้าแบกก็ได้" อูหลันฮวาพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
"เ้ามีไหล่กี่คู่กันล่ะ คนเดียวแบกสามใบไหวหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นแย้งด้วยรอยยิ้ม
"ข้าก็สะพายไว้ข้างหน้าหนึ่งใบ ข้างหลังหนึ่งใบ มือหิ้วอีกใบ" อูหลันฮวาตบอกผาง
เซวียเสี่ยวหรั่นกับซีมู่เซียงต่างหัวเราะขบขัน
ความรู้เื่การตัดเย็บของเซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวาอยู่แค่ระดับพื้นฐาน ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาซีมู่เซียงเป็หลัก
หลังจากหาพื้นที่ราบได้แล้วก็ใช้ก้อนหินที่เขียนอักษรได้มาวาดภาพลักษณะของกระเป๋าสะพายหลังคร่าวๆ
ซีมู่เซียงเห็นแล้วก็ผงกศีรษะ "ใช้กระเป๋าสะพายหลังแบบนี้ยามออกไปนอกบ้านนับว่าสะดวกสบายมาก"
ในยุคสมัยนี้ล้วนใช้ห่อผ้าในการเก็บสัมภาระยามออกเดินทาง ผูกปมแล้วใช้คล้องไหล่ ของที่ใส่ได้ก็จำกัดไม่สะดวกสบายนัก
ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบมีความหนาและทนทาน ส่วนฐานกับด้านข้างใช้ผ้าทบกันสองชั้นเพิ่มความแข็งแรง และดูเป็รูปร่างชัดเจน
ซีมู่เซียงมากด้วยความสามารถ ตัดผ้าเสร็จเรียบร้อย ก็เลือกเส้นด้ายที่เหมาะสม แล้วเริ่มเย็บแต่ละชิ้นส่วนประกอบติดกัน
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม กระเป๋าสะพายหลังก็ดูเป็รูปเป็ร่างขึ้นมา
เซวียเสี่ยวหรั่นชื่นชมอย่างอดไม่ได้
"น้องมู่เซียงเป็ผู้มีพร์โดยแท้"
ซีมู่เซียงได้รับคำชมดวงหน้าพลันแดงระเรื่อ "เป็เพราะต้าเหนียงจื่ออธิบายชัดเจนต่างหากเล่า"
"ต้าเหนียงจื่อ ข้าดูจนเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเย็บของตนเองหนึ่งใบ" อูหลันฮวาจดจ้องความเคลื่อนไหวของซีมู่เซียงตลอดเวลา มั่นใจว่าตนเองน่าจะทำได้ถึงแปดส่วน
"ฮ่าๆ ประเสริฐ พรุ่งนี้พวกเรามาทำคนละใบ ดูว่าใครจะทำสวยกว่ากัน" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะร่า
อูหลันฮวาประหม่าเล็กน้อย "ต้าเหนียงจื่อต้องทำสวยกว่าอยู่แล้ว"
"ก็ไม่แน่ ฝีมือการเย็บปักของข้าไม่ได้ดีนักหรอก" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่กล้าคุยโว
ทั้งสามอยู่ด้วยกัน คุยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวตลอดเวลา
เห็นฟ้าใกล้ค่ำ เหลียนเซวียนออกมาเดินในลานเรือนสองรอบ พวกนางก็ยังคุยกันไม่จบไม่สิ้น
ต้องยอมแพ้ให้แม่นางเหล่านี้จริงๆ เหลียนเซวียนส่ายหน้าเดินกลับไปนั่งที่หน้าระเบียง
เหลียนเซวียนย่อมรู้ที่พวกนางเย็บกระเป๋าสะพายหลัง
ตอนอยู่ในป่าเซวียเสี่ยวหรั่นสะพายของสิ่งหนึ่งบนหลังตลอดเวลา
หลายครั้งนางยังเอามาให้เขาหนุนแทนหมอน เหลียนเซวียนเคยลูบคลำอย่างละเอียด คงจะเย็บจากหนัง ้าเหมือนจะมีโลหะฝังอยู่ ติดอยู่กับเส้นย่นหนาๆ แต่มีระเบียบสองเส้น บอกไม่ถูกว่ามันคือสิ่งใด
แต่เขารู้ว่านางใช้ของสิ่งนี้ใส่สัมภาระ
ก่อนหน้านี้นางแล่นเอาของไปเผาที่หลังเขา กระเป๋าสะพายหลังใบนั้นก็น่าจะถูกทำลายไปแล้ว
เหลียนเซวียนรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
นางเพิ่งเผากระเป๋าหนังสะพายหลังของตนเองไปหมาดๆ ต่อมาก็ไปตามพวกนางมาช่วยกันทำกระเป๋าผ้าสะพายหลัง ของสองสิ่งนี้ต่างกันตรงไหน
หรือกระเป๋าของนางจะมีบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้
อาเหลยเดินวนไปเวียนมาอยู่รอบตัวเขา ั้แ่่บ่าย มันปีนลงมาจากต้นชุน แล้วก็ะโกลับขึ้นไปใหม่ มีไปชะโงกมองที่หน้าประตูห้องโถงอยู่เป็พักๆ คนในนั้นไม่มีเวลาสนใจมัน มันจึงต้องเล่นเองตัวเดียว
พอเหลียนเซวียนออกมาจากห้อง มันก็คอยเดินตามหลัง เรียกร้องความสนใจและร้องขอให้ลูบตัวมัน
เหลียนเซวียนหลุบตาลงมองลิงน้อยที่นั่งกอดเข่าอยู่แทบเท้าของตนเอง มุมปากโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว มือใหญ่ค่อยๆ เอื้อมไปลูบขนนุ่มบนหัวของมันอย่างเบามือ
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยทำตาพริ้มอย่างพึงพอใจ
ขณะที่เซวียเสี่ยวหรั่นเดินออกมาจากห้องโถง เห็นภาพคนกับลิงอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวภายใต้แสงตะวันโพล้เพล้ยามสายัณห์
รอยยิ้มแห่งความยินดีพลันปรากฏบนใบหน้า ยากนักที่เหลียนเซวียนจะยอมใกล้ชิดกับอาเหลยขนาดนี้
เป็ที่รู้กันว่าตลอดการเดินทาง เหลียนเซวียนมักเว้นระยะห่างกับอาเหลยเสมอมา แม้ไม่เ็าแต่ก็ไม่อบอุ่น เธอมองออกว่าเขาไม่ชอบสัตว์ที่ซุกซนจำพวกลิงสักเท่าไร
เขาลูบหัวมันเช่นนี้ เป็การแสดงออกที่ยากจะได้เห็น
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางเข้าครัวไปทำอาหารมื้อเย็น
อูหลันฮวาส่งซีมู่เซียงออกนอกเรือน ก่อนวิ่งเข้าไปช่วย
มีอูหลันฮวาเป็ลูกมือ ความเร็วในการทำอาหารก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
หลังแสงสุดท้ายของดวงตะวันเลือนลับไปจากหลังเขา เรือนหลังน้อยจุดตะเกียงสว่างไสวก็เริ่มตั้งสำรับอาหารเย็น
เหลียนเซวียนยกชามข้าว อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ั้แ่อูหลันฮวาเข้ามาอยู่ด้วย เซวียเสี่ยวหรั่นก็ย้ายไปกินข้าวที่ห้องโถง แทนที่จะอยู่กินเป็เพื่อนเขาเหมือนเมื่อก่อน
บัดนี้มีแต่อาเหลยซึ่งกำลังกินอย่างมูมมามที่มุมห้องอยู่เป็เพื่อนเขา
เสียงเซวียเสี่ยวหรั่นคีบอาหารให้อูหลันฮวา และชวนนางพูดคุยแว่วมาจากข้างห้องเป็ระยะ
ล้วนแล้วแต่เป็สิ่งที่เคยปฏิบัติต่อเขาตอนกินข้าวยามปรกติ
เดิมทีคิดว่าการหาผู้ช่วยสักคนมาช่วยนางทำงาน น่าจะเป็ความคิดที่ไม่เลว แต่ดูจากตอนนี้ เหมือนว่าจะไม่ได้ดีอย่างที่คิด
เหลียนเซวียนกินข้าวอย่างไม่สบอารมณ์
ขณะที่เซวียเสี่ยวหรั่นมาเก็บจานชาม เหลียนเซวียนก็มองนางด้วยสีหน้าชอบกล
"เป็อะไร ้าเติมข้าวหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นถาม
"ไม่ต้อง" เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปาก
เซวียเสี่ยวหรั่นมองเขาอย่างประหลาดใจ เมื่อครู่เห็นยังเล่นกับอาเหลยดีๆ เหตุใดตอนนี้ดูเหมือนไม่พอใจไปเสียแล้วเล่า
"ท่านดูเหมือนอารมณ์ไม่ดี ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า"
เขาอารมณ์ไม่ดี? สีหน้าของเหลียนเซวียนชะงักค้าง "แฮ่ม เปล่านี่ ข้าสบายดี"
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าต้องมีอะไร ยังแสร้งทำเฉยเมย ชิๆ เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา
"กินอิ่มแล้วไปเดินย่อยที่ลานสวนสักสองรอบเถอะ ในห้องอุดอู้ จะอารมณ์ดีได้อย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบไม้เท้าด้านข้างส่งให้เขา
เหลียนเซวียนรับไม้เท้ามาอย่างงุนงง
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับยกจานชามเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว "รีบออกไปเดิน ข้าต้มน้ำเสร็จ ค่อยเรียกท่านไปอาบน้ำชำระร่างกาย"
เหลียนเซวียนนิ่งงันครู่ใหญ่ แต่ในที่สุดก็ถือไม้เท้าเดินออกไปข้างนอก
บรรยากาศยามราตรีที่เชิงเขามักมีเสียงแมลงนานาชนิดร้องขับขาน
เหลียนเซวียนค่อยๆ เดินรอบเรือนหลังน้อย อากาศเย็นสบายพัดพาไอดินและกลิ่นหญ้าหอมระรวยมาด้วย
เสียงจักจั่นร้องระงมท่ามกลางราตรีเงียบสงัด
เสียงพูดคุยของอูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวหรั่นแว่วมาจากห้องครัว
บรรยากาศที่อบอุ่นและสงบสุขทำให้อารมณ์ของเหลียนเซวียนค่อยๆ ผ่อนคลาย
วันเวลาอันแสนสุขเช่นนี้คงมีอีกไม่นาน การเดินทางสู่แดนเหนือไม่ง่ายดายนัก
เหลียนเซวียนเงยหน้า ดวงตาลุ่มลึกมีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน
