Chapter 15
“เมย์ งานวิชาคาร์โก้เหลือแค่รวมไฟล์งานของ นิว ทศ และก็อรใช่ไหม ? ”
“ใช่ ๆ เดี๋ยวสามคนนั้นส่งไฟล์มา เราก็จะรวมเป็ไฟล์เดียวกันทั้งหมดแล้วส่งให้อาจารย์ทางเมล”
“อาจารย์ให้ส่งถึงแค่วันนี้ตอนห้าทุ่มนะ” พายเอ่ย
“เรารู้แล้ว ๆ ”
“เมย์น่ะรู้...แต่พวกนั้นน่ะ รู้ด้วยไหม ? ”
“เมื่อวานเราบอกพวกนั้นไปในไลน์กลุ่มแล้ว”
“อ๋อ...”
“ถ้าเมย์รวมไฟล์เสร็จแล้ว ส่งมาให้เราเช็กอีกครั้งก่อนส่งให้อาจารย์ก็ได้นะ เดี๋ยวเราช่วยเช็กความเรียบร้อยให้อีกที”
“โอเคเลย...เลิกเรียนแล้วกลับคอนโดเลยหรือเปล่าใกล้ ? ”
ประโยคคำถามของพายทำให้คนที่เพิ่งหยิบกระเป๋าผ้ามาสะพายนิ่งค้าง ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธ ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบอะไร เพื่อนทั้งสองคนที่เก็บของเตรียมจะกลับบ้านเหมือนกันก็เริ่มแซวเขาทางสายตาอีกแล้ว
“ฮั่นแน่ ~ มีนัดกับพันลี้เหรอ ? ”
“อะ อื้อ” ใกล้ตอบกระอึกกระอัก
“O_O” เมย์เลิกตาโต ก่อนจะเอาข้อศอกกระแทกที่แขนของพายเบา ๆ “...พาย เราถามไปโดยไม่คาดหวังเลยนะ แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละ แต่สรุปมีนัดกันจริง ๆ จ้า”
“เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะใกล้ใจ ~”
“พอเลย ๆ เลิกล้อเราได้แล้ว”
“...ว่าแต่ไปไหนกันอะ ? ”
พายล้อเราต่อเถอะ...
ถ้าหยุดล้อแล้วจะถามคำถามนี้
“เอ่อ...” ใกล้หยุดเว้น่ในตอนที่รู้สึกเขินจนไม่เป็ตัวเอง ก็รอยยิ้มกับเสียงของคุณศศินดันแวบเข้ามาในหัวน่ะสิ “...ไปดูหนังกัน”
“ฮิ้ว ~”
“ฮ่า ๆ ”
“เมย์...ทำเสียงแบบนั้นน่ะ เกินไปมาก ๆ เลยนะ”
เมย์หัวเราะ ก่อนเอ่ย “เราขอโทษ ๆ ”
“เราเขินจะแย่แล้ว”
“เราเชื่อว่าใกล้เขินมากจริง ๆ เพราะหน้าแดงหูแดงอีกแล้ว”
คนตัวเล็กยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบที่ข้างแก้มร้อนระอุของตัวเอง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องเรียน โดยมีเพื่อนขี้แซวอีกสองคนเดินตามมาติด ๆ ทว่าเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ที่ดังขึ้นทำให้ใกล้หยุดชะงัก รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าหวาน ใกล้เดาว่าต้องเป็คุณพระจันทร์ส่งข้อความมาหาแน่ ๆ
ทว่าข้อความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ใกล้ขมวดคิ้วเข้ม ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสองคนที่อยู่ด้านหลัง เมย์กับพายที่ก้มหน้าอ่านข้อความในโทรศัพท์เครื่องเดียวกันส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
Newz : งานที่บอกให้หาข้อมูลเพิ่ม กูพยายามหาแล้วนะ แต่หาไม่ได้เลยอะ
ทศ : กูก็เหมือนกัน ข้อมูลของสายการบินนี้มันมีน้อย เราก็เอาไปแค่นี้แหละ
A : ของเราหาเพิ่มให้ได้นะ ส่งไฟล์ไปทางเมลใกล้เรียบร้อยแล้ว
“พวกมึงมัน...กูปี๊ดเลยตอนนี้”
“ถ้านิวกับทศบอกแบบนี้ เหมือนจะให้พวกเราหาเพิ่มกันเองเลยอะ”
“ก็เหมือนตั้งใจปัดงานมาให้พวกเรานั่นแหละ เพราะมันรู้ว่าใกล้ไม่ยอมให้งานออกมาไม่สมบูรณ์หรอก...ตอนอยู่กลุ่มเดียวกันพวกมันก็ทำแบบนี้ประจำ แล้วคนที่นั่งทำงานจนเสร็จก็คือเรากับใกล้ไง”
ใกล้เคยสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบได้อีก เขาคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งก่อนพิมพ์ข้อความส่งไปในกลุ่มไลน์
glaijai : งั้นมาช่วยกันทำให้เสร็จดีไหม ? เพราะอาจารย์นัดให้ส่งตรวจรอบสุดท้ายวันนี้ ก่อนจะพรีเซนต์จริงอาทิตย์หน้า
Newz : กูออกมาจากมอแล้ว
ทศ : กูก็ออกมาแล้วเหมือนกัน
A : เราต้องกลับเข้าไปด้วยไหม ? วันนี้มีนัดไปกินข้าวกับแม่อะ
glaijai : งานส่วนของอร เราขอเวลาเช็กห้านาที
glaijai : ส่วนนิวกับทศ
glaijai : เราให้เวลาตัดสินใจอีกครั้ง
glaijai : ว่าจะไม่วนกลับมาจริง ๆ ใช่ไหม ? ทั้งที่งานในส่วนของตัวเองยังไม่เสร็จ
คนตัวเล็กพยักหน้าให้เพื่อนทั้งสองคนเป็เชิงชวนให้หาโต๊ะนั่งก่อน เพราะงานนี้คงได้คุยกันยาวแน่ ๆ พวกเราเดินมานั่งที่โต๊ะตัวยาวที่อยู่ห่างจากห้องเรียนพอสมควร เมย์หยิบโน้ตบุ๊กที่พกมาด้วยออกมาจากกระเป๋าผ้าเพื่อเปิดเช็กงานของอร
ใกล้นั่งมองข้อความของเขาที่ถูกเปิดอ่าน แต่ไร้การตอบกลับ เขาเชื่อว่านิวกับทศกำลังคิดหนักอยู่ ทั้งสองคนคงคิดว่าเขาจะยอมทำงานเองเหมือนเมื่อก่อน แต่ครั้งนี้ใกล้ไม่มีทางยอมนิวกับทศแน่ ๆ เพราะเขาบอกให้ทั้งสองคนเพิ่มข้อมูลในรายงานั้แ่วันอาทิตย์แล้ว
ใกล้ให้เวลาถึงสามวันเต็ม...
แต่ใกล้คิดว่า...ต่อให้มีเวลาเป็อาทิตย์หรือเป็เดือน
นิวกับทศก็เลือกทำแบบนี้อยู่ดี
เพราะทั้งสองคนไม่เคยปรับปรุงตัวเลย
คนตัวเล็กเช็กรายงานส่วนที่อรรับผิดชอบเสร็จแล้วจึงพยักหน้าเป็เชิงบอกเพื่อน ๆ ว่าข้อมูลที่อรหาเพิ่มมาใช้ได้ ใกล้สูดลมหายใจเข้าลึกจนสุดปอดก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งไปในไลน์อีกครั้ง
glaijai : งานส่วนของอรโอเคแล้วนะ
A : โอเค งั้นเราไม่ย้อนกลับไปแล้วนะ
glaijai : โอเค
glaijai : แล้วสองคน ว่ายังไงดี ?
glaijai : งานส่งได้ช้าสุดคือคืนนี้ห้าทุ่ม เพราะอาจารย์เคยบอกไว้ว่าหลังจากนี้จะไม่มีเวลาตรวจให้แล้ว
glaijai : เพราะฉะนั้นวันนี้งานต้องเสร็จนะ
“นิวกับทศไม่ยอมวนกลับมาแน่เลยอะ” พายเอ่ย
“ครั้งนี้ไม่แน่หรอก เพราะใกล้ไม่เคยพูดกับพวกมันแบบนี้เลย”
ใกล้เงยหน้ามองเพื่อนทั้งสองคนที่แสดงสีหน้าเป็กังวลอยู่ เขาไม่รู้ว่านิวกับทศจะยอมกลับมาช่วยกันทำงานที่มหา’ ลัยไหม แต่ใกล้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องตัวเอง แม้คนอื่นอาจจะมองว่าเขาไม่รู้จักลดละ เื่เล็กน้อยแค่นี้ควรจะปล่อยผ่านไป และยอมทำงานเองเพื่อให้งานเสร็จเร็ว ๆ
ใกล้ก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน เพราะเขาไม่อยากมานั่งปวดหัวกับสองคนนี้ การยอมทำงานในส่วนของนิวกับทศไม่ใช่เื่ยากเลย เพียงแค่หาข้อมูลมาใส่เพิ่มเท่านั้น แต่ถ้าเขาเลือกทำแบบนั้นอีก...เท่ากับใกล้ตัดสินใจผิดสัญญากับตัวเอง
ถึง...ใกล้ใจ
เราคนนี้ที่มีหัวใจเข้มแข็งมากกว่าเมื่อวาน
เราสัญญาว่าจะปกป้องใกล้ใจให้ดีที่สุด
เราจะไม่ปล่อยให้ใกล้ใจต้องรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนกับผู้คนที่คอยเอาเปรียบ
...และเราจะไม่ปล่อยให้ฝนตกในหัวใจของใกล้ใจอีก...
จาก...ตัวฉันเอง
เพราะสัญญาใจฉบับนี้ที่มีต่อตัวเองไม่สามารถฉีกทิ้งได้ ครั้งนี้ใกล้จึงพยายามใจแข็งและพยายามปกป้องตัวเองอย่างถึงที่สุด ใกล้คิดว่า...เราไม่ควรผิดสัญญากับตัวเอง เพราะมันจะทำให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวเองลดน้อยลง
หากครั้งนี้เราทำได้...
ต่อให้ครั้งหน้าเจอเื่ที่ยากลำบากกว่านี้
เราก็จะเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะทำได้เหมือนกัน
และเราจะทำได้อย่างที่เชื่อจริง ๆ
ข้อความที่นิวและทศตอบกลับมาทำให้ใกล้พรูลมออกจากปากอย่างโล่งอก พายกับเมย์ตีมือกันจนเกิดเสียงดัง ‘แป๊ะ’ คล้ายทำภารกิจสำคัญร่วมกันสำเร็จ
Newz : เดี๋ยวกูวนกลับไป
ทศ : กูก็เหมือนกัน ขอเวลาห้านาที
glaijai : ไม่ต้องไปที่ห้องสมุดแล้วนะ เมย์พกโน้ตบุ๊กมาด้วย มาช่วยกันทำที่ตึกสิบเอ็ดชั้นแปด
Newz : กูกำลังจะบอกว่าไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กมาพอดี
glaijai : เราไม่หวังให้นิวกับทศพกอะไรมาหรอก
glaijai : ขอแค่ตัวมาก็พอแล้ว
ทศ : นี่ไง กูกำลังรีบไปอยู่
ใกล้กดล็อกหน้าจออย่างโล่งอกพลางมองเพื่อนสองคนที่กำลังอ่านข้อความในกลุ่มไลน์ ทว่าโล่งใจได้ไม่นานก็ต้องกลับมาหนักใจอีกครั้ง เพราะเมื่อใกล้เหลือบมองที่นาฬิกาข้อมือ เข็มตีบอกเวลาบ่ายสามโมงพอดี
บ่ายสามโมง...
เขานัดกับพันลี้ไว้...
คงเป็เพราะเขาแสดงสีหน้าเป็กังวลออกไป เพื่อนทั้งสองคนจึงเอ่ยขึ้น
“เอ้อ ! ลืมไปเลยว่าใกล้มีนัดไปดูหนังกับพันลี้”
“จริงด้วย...งั้นใกล้ไปเถอะ เดี๋ยวเราสองคนจัดการเอง”
ใกล้ไม่ชอบที่นิวกับทศเอาเปรียบเขา เห็นแก่ความสบายส่วนตัวจนไม่สนใจคนอื่น ทั้งที่เป็งานของกลุ่มตัวเองแท้ ๆ ทั้งสองคนยังไม่คิดจะสนใจ ดังนั้นใกล้จะไม่ทำเหมือนสองคนนั้นเด็ดขาด “ไม่เป็ไร เดี๋ยวเราอาจจะขอให้พันลี้นั่งรอก่อน”
ใช่...ใกล้จะขอร้องให้คุณพระจันทร์รอเขาหน่อย
ใกล้ไม่อยากพลาดโอกาสเข้าใกล้ดวงจันทร์ในครั้งนี้
หวังว่า...พันลี้จะเข้าใจกันนะ
คนตัวเล็กใช้นิ้วปัดหน้าจอเพื่อกดเข้าแอปพลิเคชันไลน์อีกครั้ง ใกล้กดเลือกห้องแช็ตของเขากับเพื่อนสนิท ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งไปหาอีกคน
glaijai : พันลี้ครับ
เพียงไม่นาน...ข้อความก็ถูกเปิดอ่าน
P.Panli : ครับ ลี้มาถึงตึกสิบเอ็ดแล้ว กำลังขึ้นไปรับที่ชั้นแปดนะ
และคนดีคนเดิมก็ตอบกลับมา...
ใกล้เม้มริมฝีปากแน่น แม้เขาจะไม่ได้ยกเลิกนัด เพียงแค่ขอให้เ้าตัวรอก่อน แต่ใกล้ก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายมาก ๆ ที่ต้องให้พันลี้มารอนาน ๆ
เพราะความรู้สึกผิดที่กำลังก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นิ้วเรียวทั้งสองข้างแข็งทื่อไปหมด สมองคิดหาประโยคขอร้องดี ๆ ไม่ได้สักที และใกล้คงปล่อยให้คุณพระจันทร์รอข้อความตอบกลับนานจนเกินไป เ้าตัวถึงได้ส่งข้อความสวนกลับมา
P.Panli : คุณใกล้รู้ไหมคะว่า ข้อความที่ถูกเปิดอ่านเกิน 2 นาที แล้วไม่มีการตอบกลับ
P.Panli : คนที่รอข้อความตอบกลับ จะรู้ได้ในทันทีว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง
ใกล้นิ่งเงียบขณะอ่านข้อความของคุณพระจันทร์
P.Panli : เสี่ยงที่จะถูกทิ้งให้ไปดูหนังคนเดียว
โธ่...ใกล้ใจทิ้งลูกหมาไม่ลงหรอก
เพราะข้อความของคุณพระจันทร์ดูเศร้าจนเกินไป ใกล้จึงรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
glaijai : เราไม่ได้จะทิ้งให้พันลี้ไปดูหนังคนเดียวนะ
glaijai : พอดีงานกลุ่มเรามีปัญหานิดหน่อย
glaijai : เราขอเวลา 20 นาทีได้ไหมพันลี้ ?
และใกล้รู้ว่า...ประโยคขอร้องที่กำลังพิมพ์ต่อจากนี้ ไม่ใช่ประโยคที่ควรเอามาใช้ในตอนนี้ แต่ไม่รู้เป็เพราะอะไรที่ทำให้ตัดสินใจกดส่งข้อความออกไป
glaijai : ลูกหมา ใกล้ขอโทษที่ให้รอนะครับ
คุณพระจันทร์เปิดอ่านข้อความ แต่ไม่ยอมตอบกลับ ใกล้เกือบจะกดยกเลิกข้อความที่เพิ่งส่งไป ทว่าอีกคนตอบกลับมาพอดี
P.Panli : ลี้ออกจากลิฟต์มาแล้ว คุณใกล้อยู่ตรงไหนของชั้นแปดคะ ?
glaijai : พันลี้รออยู่ที่หน้าลิฟต์นะ เดี๋ยวเราเดินออกไปรับ
P.Panli : โอเคค่ะ
ดวงตายังคงมองข้อความสุดท้ายของอีกคน แต่สมองสั่งให้ร่างกายลุกออกจากเก้าอี้ ใกล้เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนเอ่ยบอกเพื่อนทั้งสองคน
“เมย์ พาย เดี๋ยวเราขอเดินออกไปรับพันลี้ก่อนนะ”
“โอเคๆ ”
เมื่อเพื่อนตอบและพยักหน้ารับ คนตัวเล็กก็เดินออกมาจากบริเวณโถงกว้างที่มีโต๊ะตัวยาวไว้ให้นักศึกษานั่งทำงาน เพื่อมาหาคุณพระจันทร์ที่หน้าลิฟต์
ใกล้เห็นคนตัวสูงกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่ไกลๆ จึงรีบเร่งฝีเท้าให้ก้าวเร็วมากขึ้น ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้คุณพระจันทร์ เ้าตัวก็ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วสบตากับเขา
แวบแรก...แววตาของลูกหมาดูเศร้ามากเลย
แต่ในวินาทีถัดมาที่พันลี้คลี่ยิ้ม...
...ดวงตาของเ้าตัวก็คล้ายพระจันทร์เสี้ยวที่คว่ำลง
รอยยิ้มแบบนี้หรือเปล่านะ...ที่เรียกว่า ‘รอยยิ้มที่ยิ้มไปทั้งใบหน้า’
“คุณใกล้...”
“ใกล้มารับลูกหมาแล้วนะ”
“แต่ถึงคุณใกล้ไม่มารับ...ลี้ก็คงทำได้แค่ยืนรออยู่ตรงนี้”
เอาอีกแล้ว...พันลี้อ้อนกันอีกแล้ว
ใกล้ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร เขาพยายามขอความช่วยเหลือจากเ้าสมองแล้ว แต่ไม่สามารถสรรหาคำพูดดีๆ ที่เหมาะกับประโยคคำพูดของอีกคนได้เลย เขาจึงเลือกปรึกษา ‘หัวใจ’
หัวใจดวงน้อยๆ บอกให้ใกล้เขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปลูบที่ศีรษะของคนตัวสูง ก่อนเอ่ยบางประโยคเพื่อเป็รางวัลแก่คุณคนดี
“โธ่...ใกล้ใจทิ้งลูกหมาไม่ลงหรอก”
ใช่...ประโยคนี้ไม่ได้ดังก้องแค่เพียงในใจอีกต่อไปแล้ว
“ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งลี้”
เพราะใกล้เลือกที่จะเชื่อหัวใจ
และเลือกที่จะพูดออกไป...
เขาถอนมือออกจากกลุ่มผมนุ่มแล้วส่งยิ้มให้คนตัวสูง ก่อนจะเอ่ยบางประโยค “พันลี้รอเราหน่อยนะ เดี๋ยวเราจะรีบทำงานให้เสร็จเร็วๆ เลย”
“ครับผม”
เมื่ออีกคนตอบรับด้วยรอยยิ้ม ใกล้จึงพยักหน้าเป็เชิงชวนคุณพระจันทร์เดินไปที่บริเวณโถงกว้างที่มีเพื่อนๆ นั่งรออยู่ เขาหันมองคนตัวสูงที่เดินขนาบข้างกันอยู่ เพราะเ้าตัวใช้นิ้วสะกิดที่แขนเบาๆ
“ครับ ? ”
“ตอนไปดูหนัง คุณใกล้จะให้ลี้ขับรถของตัวเองหรือรถของคุณใกล้ดี…” พันลี้พูดพลางเอื้อมมือมาลูบศีรษะของเขาเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าขับรถคุณใกล้ไป พอดูหนังเสร็จลี้ก็จะขับไปส่งคุณใกล้ที่คอนโดแล้วค่อยนั่งรถแท็กซี่กลับมาเอารถของตัวเองที่มอ แต่ถ้าขับรถของลี้ไป ลี้ก็จะขับมาส่งคุณใกล้ที่มอ เพราะคุณใกล้จะได้ขับรถกลับคอนโด”
“แล้วทำไมเราไม่ต่างคนต่างขับรถของตัวเองไปล่ะลูกหมา ? ” ใกล้ไม่ลืมหรอกว่าตัวเองไม่ได้ขับรถมา แต่เขาแค่อยากรู้เหตุผลของอีกคนเท่านั้น
คนโดนถามขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ก็...ลูกหมาอยากไปกับคุณใกล้”
เหตุผลของคุณพระจันทร์ทำให้ใกล้หลุดยิ้มออกมา บางครั้งการกระทำที่ดูซับซ้อนและยุ่งยากของใครบางคนอาจจะทำให้คิดสงสัยว่า...ทำไมถึงต้องทำเื่ง่ายให้เป็เื่ยาก
ทว่าเราไม่เคยคิดเลยว่า...บางทีเหตุผลของการทำเื่ยากๆ ก็มีเพียงแค่เหตุผลง่ายๆ เท่านั้น คนคนหนึ่งยอมทำเื่ง่ายให้ยากขึ้นอีกหน่อย และเ้าตัวจะต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิด
เพราะเหตุผลง่ายๆ เพียงข้อเดียว
นั่นคือ ‘ก็...ลูกหมาอยากไปกับคุณใกล้’
“เราลืมบอกพันลี้ไปเลยว่า...วันนี้เราไม่ได้ขับรถมา”
“อ้าว ลี้นึกว่าคุณใกล้ขับรถมา แล้วเมื่อเช้าคุณใกล้มายังไงคะ ? ”
“จริงๆ เมื่อเช้าเราก็ตั้งใจจะขับรถมามอแหละ แต่พอเห็นรถติดยาวเหยียดหน้าคอนโดแล้วก็ต้องตัดสินใจนั่งพี่วินมาแทน ไม่งั้นมาไม่ทันเข้าเรียนแน่ๆ เลย”
“อ๋อ...” คุณพระจันทร์ที่ฟังอย่างตั้งใจพยักหน้ารับพลางลูบหัวเขาอยู่อย่างนั้น ก่อนเอ่ยต่อ “เวลานั่งพี่วินมามอ คุณใกล้ต้องใส่หมวกกันน็อกด้วยนะคะ ระวังตัวเองดีๆ ด้วย เพราะพี่วินต้องขี่รถเร็วอยู่แล้ว”
“อื้อ”
“แต่ว่า...ไม่ต้องกอดเอวพี่วินนะคะ แค่จับเอวไว้ก็พอ”
ประโยคคำพูดของอีกคนเรียกเสียงหัวเราะจากใกล้ได้เป็อย่างดี เขาเอียงคอมองคนที่ยังไม่ยอมละมือหนาออกจากศีรษะพลางเอ่ยถาม “ทำไมเราถึงกอดเอวพี่วินไม่ได้ล่ะ ? ”
“เพราะ...” คุณพระจันทร์หยุดเว้น่ ก่อนจะใช้มือรั้งศีรษะเขาให้เอียงไปซบที่แผ่นอกของเ้าตัว ฝ่ามือหนาเลื่อนจากศีรษะลงมาโอบไหล่ไว้แทน “...เพื่อนสนิทคนนี้ไม่ชอบให้คุณใกล้ไปใกล้ชิดกับใคร”
“...”
ตึก ตัก ตึก ตัก
เพื่อนสนิทคนนี้...ทำไมขี้หวงมากขนาดนี้นะ
ขี้หวงจนทำให้...หัวใจเต้นแรงเลย
คนตัวสูงบ่นพึมพำเบาๆ คล้ายอยากพูดให้ตัวเองได้ยินเพียงคนเดียว
“อย่าสนิทกับใคร อย่ากอดใคร อย่ายิ้มให้ใครได้ไหม ? ”
ทว่าใกล้ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำและทุกคำขอของคุณพระจันทร์
“...”
“คนมันหวง”
ใกล้หัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคคำพูดของลูกหมาขี้น้อยใจที่บ่นพึมพำอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ในใจก็อยากถามถึงเหตุผลที่เ้าตัวหวงเพื่อนสนิทอย่างเขา แต่ใกล้ก็เดาว่าพันลี้คงไม่พร้อมอธิบายถึงเหตุผลข้อนี้ให้เขาฟัง เพราะถ้าเ้าตัวมีความมั่นใจในเื่นี้มากพอ...คุณพระจันทร์คงพูดออกมาแล้ว ไม่ต้องบ่นด้วยเสียงแ่เบาแบบนี้หรอก
ตอนนี้ยังไม่มั่นใจก็ไม่เป็ไร
ทุกอย่างต้องใช้เวลาใกล้เข้าใจ
ค่อยๆ เดินไปด้วยกันนะคุณพระจันทร์ :)
เราสองคนเดินมาถึงโต๊ะตัวยาวที่มีเมย์กับพายนั่งรออยู่ สายตาของเพื่อนสนิททั้งสองคนทำให้ใกล้รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหูและแก้มอีกแล้ว เขารู้ว่าสายตาทั้งสองคู่นั้นกำลังมองมือของคุณพระจันทร์ที่โอบไหล่ของเขาอยู่ เมย์กับพายพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางเอาข้อศอกกระแทกแขนกัน เพราะเพื่อนทำตัวมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ใกล้จึงต้องรีบพูดบางอย่างเพื่อกลบเกลื่อนก่อนที่คุณพระจันทร์จะสงสัย
“พันลี้อาจจะเคยเห็นเพื่อนเรามาหลายครั้งแล้ว แต่เรายังไม่เคยแนะนำให้รู้จักจริงๆ สักที...” พูดพลางหันมองคนตัวสูงที่กำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ ก่อนจะเริ่มพูดแนะนำ “คนนี้เมย์ ส่วนคนนี้พาย”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะพันลี้”
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันคุณพระ...เอ้ย ! พันลี้”
ใกล้จ้องเขม็งใส่เมย์ที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ เขารู้ดีว่าเ้าตัวจงใจจะแกล้งกัน วันนี้ใกล้รู้แล้วว่า...คนที่ไว้ใจน่ะ ใจร้ายที่สุดเลย คนตัวเล็กที่เขินจนหน้าแดงหูแดงไปหมดค่อยๆ หันไปมองคุณพระจันทร์ที่กำลังอมยิ้มอยู่
ใกล้ส่งยิ้มแห้งๆ ให้อีกคน ก่อนเอ่ย “พันลี้นั่งรอก่อนๆ เดี๋ยวพอเพื่อนมาครบแล้ว เราจะรีบทำงานให้เสร็จก่อนยี่สิบนาทีที่เคยขอไว้”
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ เรายังพอมีเวลาอยู่”
คุณพระจันทร์พูดก่อนจะปล่อยให้เขาเป็อิสระ ฝ่ามือหนาละออกจากหัวไหล่ของเขา ใกล้หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับเ้าตัว ก่อนอีกคนจะเอ่ยถาม
“งานกลุ่มมีปัญหาอะไรเหรอคะคุณใกล้ ? ”
“เอ่อ...” จะเริ่มพูดยังไงดีนะ จะเล่าไปตรงๆ ว่าเพื่อนไม่ยอมทำงาน พันลี้จะมองว่าเขาเป็คนมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า ใกล้เลยต้องคิดไตร่ตรองให้ดีๆ แล้วตอบให้เป็กลางที่สุด “คือเราให้เพื่อนอีกสามคนหาข้อมูลเพิ่มเพื่อเอามาใส่ในรายงาน เพื่อนคนหนึ่งทำเสร็จตามที่เราขอแล้ว ส่วนอีกสองคนบอกว่าพยายามหาข้อมูลแล้ว แต่หาเพิ่มไม่ได้เลย”
“...”
“เราก็เลยตัดสินใจว่าจะอยู่ช่วยกันทำให้เสร็จก่อน เพราะวันนี้เป็วันสุดท้ายที่อาจารย์นัดส่งตรวจความเรียบร้อยก่อนพรีเซนต์จริง”
“คุณใกล้แค่ให้เพื่อนหาข้อมูลเพิ่มใช่ไหมคะ ? ...ไม่ได้ให้เพื่อนปรับแก้ไขบางส่วนในรายงาน”
“ใช่ๆ เราแค่ให้หาข้อมูลเพิ่ม เพราะว่ามันน้อยเกินไปจริงๆ ”
“ที่ลี้ถามก็เพราะคิดว่า...การหาข้อมูลเพิ่มน่าจะง่ายกว่าการปรับแก้ พอได้ยินว่าหาข้อมูลเพิ่มไม่ได้ ลี้เลยรู้สึก...ลี้ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวจะดูก้าวก่ายงานและเพื่อนในกลุ่มของคุณใกล้มากเกินไป”
“ไม่ก้าวก่ายหรอกพันลี้ เรียกว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่า” เมย์เอ่ย
“ใช่ๆ พูดได้เลย” พายเสริม
คุณพระจันทร์หันมามองเขา ก่อนเอ่ย “คุณใกล้อนุญาตให้ลี้แสดงความเห็นไหมคะ ? ”
ใกล้พยักหน้ารับเพราะคิดว่าสิ่งที่เมย์พูดนั้นถูก ทุกคนล้วนมีมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน ตราบใดที่ทุกคนให้เกียรติและเคารพผู้อื่นเช่นกัน การแสดงความคิดเห็นจึงไม่ใช่เื่ก้าวก่าย
“พันลี้ไม่ต้องขออนุญาตเราหรอก เราไม่ได้มองว่าก้าวก่ายเลย เราก็คิดเหมือนเมย์นั่นแหละ”
“ลี้มองว่าเขาไม่พยายามที่จะรับผิดชอบงานในส่วนของตัวเองเลย ลี้ไม่ได้ดูถูกความพยายามของใครนะ บางคนอาจจะทำอย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ แต่ก็ยังทำไม่ได้”
“...”
“แต่ในกรณีนี้ จากที่ฟังมา...ลี้ยังไม่เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขาพยายามทำอย่างเต็มที่เลย คือมันน่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง สักเล็กน้อยก็ยังดี เพื่อให้เห็นถึงความพยายามหน่อย...คำว่า พยายามหาข้อมูลแล้ว แต่หาไม่ได้เลย มันไม่น่าเชื่อเพราะลี้เชื่อว่า...ไม่ว่าจะเื่อะไร ถ้าเราพยายามแล้วจริงๆ มันจะได้ผลลัพธ์ตอบกลับมาเสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะมากหรือน้อย ยังไงมันก็ต้องมี”
ใกล้คิดว่าสิ่งที่พันลี้พูดเป็ความจริง เพราะอะไรที่เราลงมือทำด้วยความพยายาม เราจะได้ผลลัพธ์ตอบกลับมาเสมอ แต่เนื้องานของทศและนิวที่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ยิ่งย้ำชัดว่า...ทั้งสองคนไม่พยายามเลยสักนิด
“...”
“และในขณะที่สมาชิกคนอื่นในกลุ่มรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องมานั่งทำงานอีกส่วนที่ไม่ใช่งานของตัวเอง มันไม่ค่อยแฟร์เลยอะ ลี้เข้าใจว่างานกลุ่มก็ต้องช่วยกัน ตรงนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว แต่คำว่า ช่วยกัน ของงานกลุ่มจริงๆ คือการที่งานมีปัญหา แล้วทุกคนพร้อมจะแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน ทำงานในส่วนไหนไม่ได้ก็ปรึกษากัน นี่คือการช่วยกันทำงานกลุ่ม...แต่ไม่ใช่แบบนี้ไง”
“บวกสิบๆ ไปเลยกับคำพูดของพันลี้”
“พูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยนะพันลี้ พวกนั้นชอบเอาเปรียบพวกเราอะ” เมย์เอ่ย
พันลี้ส่ายหน้าเบาๆ พลางหันมามองเขาก่อนเอ่ย “คุณใกล้...เดี๋ยวลี้ช่วยทำงานด้วยนะคะ ลี้อยากรู้ว่าการหาข้อมูลในส่วนที่เพื่อนคุณใกล้รับผิดชอบมันยากแค่ไหน บางทีเด็กการบินอาจจะต้องทำงานยากกว่าเด็กกราฟิกอย่างลี้ ลี้จะได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันถูกหรือผิด”
“ดีเลยพันลี้ งานจะได้เสร็จเร็วๆ ” พายเอ่ย
“พายนี่นะ...” ใกล้พูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ เขารู้ว่าพายอยากจะกลับเต็มทนแล้ว ก่อนจะหันไปพยักหน้าหงึกหงักให้คนที่อยู่ข้างกาย “ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป เด็กการบินคนนี้ก็อยากให้เด็กกราฟิกคนเก่งมาช่วยทำงานด้วย”
“…”
ใกล้อมยิ้มพลางสบตากับคุณพระจันทร์ หัวใจเริ่มเต้นแรงในตอนที่มีบางประโยคผุดขึ้นในหัว และหัวใจเต้นเร็วมากขึ้นเมื่อใกล้ตัดสินใจพูดประโยคนี้ออกไป... “ถ้างานเสร็จเร็ว...เราก็จะได้ไปดูหนังด้วยกันเร็วๆ เนอะ”
ใกล้ไม่รู้ว่า...ปกติแล้วคนที่พูดหยอดกับคนที่โดนหยอด
ใครจะเขินมากกว่ากัน
แต่ตอนนี้ใกล้รู้แค่ว่า...ใกล้ใจเขินเป็บ้าเลย
>////<
คุณพระจันทร์ที่โดนเขาพูดหยอดใส่อมยิ้ม เพราะใกล้เขินมากจึงเลือกหันมองเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทว่ารอยยิ้มและสายตาของสองคนไม่ได้ช่วยให้เขาเขินน้อยลงเลย ใกล้จึงต้องหลุบตามองโต๊ะตัวยาวแทน
ใกล้คิดว่าคำสุภาษิตที่ว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ใช้ไม่ได้กับเขาหรอก
เพราะถ้าจะให้ใช้ได้กับเขา คำสุภาษิตคงต้องเปลี่ยนเป็...
คับที่อยู่ได้ แต่เขินจนคับใจน่ะ...อยู่แทบไม่ได้เลย
“เราต้องหาข้อมูลเพิ่มสองส่วนในรายงานใช่ไหม ? ...แล้วนี่ใช้แค่โน้ตบุ๊กของเมย์คนเดียวเหรอ ? ”
ใกล้เงยหน้ามองคุณพระจันทร์ที่เอ่ยถามเพื่อนสนิท “...”
“ใช่...พวกนั้นบอกว่าไม่ได้พกโน้ตบุ๊กมาด้วย ใกล้เลยบอกว่าขอแค่ตัวมาก็พอแล้ว”
ใกล้มองพันลี้ส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมามองเขา
“คุณใกล้...ลี้ว่าถ้าทำงานด้วยโน้ตบุ๊กเครื่องเดียว งานต้องเสร็จช้าแน่ๆ เลยค่ะ”
“ปกติเราจะพกโน้ตบุ๊กติดรถมาตลอด แต่วันนี้เราไม่ได้ขับรถมา…” ใกล้ก็คิดเหมือนพันลี้ แต่เพราะเขาไม่รู้จะไปขอยืมโน้ตบุ๊กใครในตอนนี้
“เดี๋ยวลี้ลงไปเอาแม็กบุ๊กที่รถมาดีกว่า เราจะได้ทำงานเสร็จเร็วๆ ”
“ให้เราลงไปเป็เพื่อนไหมพันลี้ ? ”
“ไม่เป็ไรค่ะ เดี๋ยวลี้เดินไปเอง คุณใกล้นั่งรออยู่ที่นี่ดีแล้วค่ะ จะได้ไม่เหนื่อย”
ใกล้พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนเอ่ย “พันลี้...ขอบคุณนะ”
“แค่นี้เองค่ะ ไม่ต้องขอบคุณลี้หรอก”
คุณพระจันทร์พูดพลางหยัดกายลุกขึ้น มือหนาเอื้อมมาลูบศีรษะเขาเบาๆ ก่อนจะละออกไป ใกล้มองคนตัวสูงที่เดินคล้อยหลังหายไปจากบริเวณห้องโถง
“เอาเถอะ...ถ้าใครบอกว่าพันลี้ไม่ดีนะ เมย์คนนี้จะตามไปกระแทกหน้าถึงบ้านเลย”
พายหัวเราะร่า ก่อนเอ่ย “จริง...ดีมากอะ ช่วยเหลือว่าที่แฟนทุกอย่าง”
“พาย ! พูดอะไรน่ะ”
ประโยคคำพูดของพายทำให้เขินจนเผลอดุเพื่อนเสียงดัง ใกล้ขยับปากมุบมิบบ่นเพื่อนทั้งสองคนที่แซวเขาไม่เลิก เขายอมรับว่า...อยากเลื่อนสถานะเป็ ‘ว่าที่แฟน’ แต่ก็ยังไม่ลืมว่าตอนนี้เป็ได้มากสุดก็แค่ ‘เพื่อนสนิท’ เท่านั้น
แต่ตอนนี้ขอใกล้เขินกับคำว่า ‘ว่าที่แฟน’ หน่อยนะ
เพราะว่าคำนี้...มันน่ารักมากในความรู้สึกของใกล้ใจ
:)
“เขินแล้วชอบดุ ~”
“ฮ่าๆ ”
“เดี๋ยวนี้แซวกันเก่งจริงๆ เลยนะ รอให้ถึงตาเราบ้างเถอะ เราจะแซวให้เขินจนหนีเข้าห้องน้ำวันละหลายๆ รอบเลย”
เพื่อนทั้งสองคนพากันหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหุบยิ้มฉับพลันในตอนที่เห็นนิวกับทศเดินเข้ามาในห้องโถง เ้าตัวหยุดยืนตรงโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่พลางแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย
“กูขอทำก่อนนะทศ อยากกลับเร็วๆ ”
“อ้าว ไหนมึงบอกให้กูทำก่อนไง ? ”
“ไม่ต้องเถียงกันหรอก เพื่อนเรากำลังไปเอาโน้ตบุ๊กมาให้อยู่ ได้ทำงานพร้อมกันนั่นแหละ” ใกล้พูดพลางมองทั้งสองคนอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนเอ่ยต่อ “ไม่ใช่แค่นิวกับทศนะที่อยากกลับเร็ว คนอื่นก็อยากกลับเร็วๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ช่วยตั้งใจทำงานหน่อย”
“กูรู้แล้ว...” นิวเอ่ย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เมย์ เ้าตัวดึงโน้ตบุ๊กของเมย์ไปไว้ตรงหน้าแล้วเริ่มทำงานทันที พายที่นั่งอยู่ข้างๆ เมย์ส่ายหน้าพลางมองด้วยสีหน้าเอือมระอา
“แล้วกูต้องรอเพื่อนมึงก่อนเหรอ ? ”
“อื้อ ก็เหมือนที่พวกเราต้องนั่งรอทศนั่นแหละ”
คนฟังอ้าปากคล้ายอยากจะตอบกลับ แต่ก็เลือกเดินไปนั่งเก้าอี้ว่างที่อยู่ถัดจากเขาไปอีกหนึ่งตัว เวลาผ่านไปไม่นานคุณพระจันทร์ก็มาปรากฏตัวพร้อมแม็กบุ๊กรุ่นใหม่ล่าสุด
นิวละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊กแล้วจ้องพันลี้ไม่วางตา ใกล้ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเป็คนขี้หวงขนาดนี้ ั้แ่เขาตกหลุมรักคุณพระจันทร์ ใกล้ก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็คนขี้หวงสุดๆ เขาแกล้งกระแอมกระไอก่อนเอ่ย
“ช่วยโฟกัสที่งานกันหน่อย งานจะได้เสร็จเร็วๆ ”
และเหมือนคำเตือนของเขาจะได้ผล เพราะนิวรีบละสายตาจากพันลี้แล้วตั้งใจทำงานต่อ แต่ทว่าผ่านไปไม่ถึงนาทีคนที่คิดว่าจะตั้งใจทำงานก็เอ่ยบางประโยคขึ้นมา
“ทศ มึงอยากทำก่อนไหม ? กูลืมไปเลยว่าวันนี้เลื่อนนัดได้ กูไม่รีบไปไหนแล้ว มึงรีบไม่ใช่เหรอ มาทำงานเครื่องเมย์ดิ เครื่องเมย์เร็วนะ”
นิวอยากจะเข้าใกล้คุณพระจันทร์ใช่ไหม ?
ใกล้ใจรู้ทันหรอกนะ...
เป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ใกล้รู้สึกหงุดหงิด เขากำลังคิดหาทางกันพันลี้ออกจากคนที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณพระจันทร์
ใกล้คิดว่านิวตกข่าวแล้วแหละ
งั้นเดี๋ยวใกล้จะอัปเดตให้ว่า...ตอนนี้น่ะ ใกล้ใจเป็เพื่อนสนิทกับพันลี้แล้ว
ไม่มีใครแทรกกลางระหว่างเราได้หรอก
แต่...เดี๋ยวใกล้ขอหาวิธีที่จะกำจัดคนที่พยายามแทรกกลางระหว่างเราก่อนนะ
คนตัวเล็กมองคุณพระจันทร์ที่ทิ้งตัวนั่งลงตรงกลางระหว่างเขากับทศ ใกล้กำลังคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ทศเปลี่ยนใจไปทำงานเครื่องเมย์ เพราะดูสีหน้าที่อยากกลับบ้านใจจะขาดของทศแล้ว ใกล้คิดว่าทศจะต้องย้ายไปทำงานเครื่องของเมย์แน่ๆ ทว่าพันลี้ที่เปิดแม็กบุ๊กด้วยสีหน้าเรียบนิ่งหันไปมองคนข้างกายพลางเอ่ยถาม
“มึงชื่ออะไรนะ ? ”
“ทศ”
“ทศ? ”
“เออ”
“งั้นมึงนั่งทำงานกับกู ไม่ต้องไปทำเครื่องเมย์”
“…”
“กูเป็คนพูดไม่เพราะ มึงคงไม่ถือนะ”
“กูไม่ถือ”
“ดี”
ราวกับคุณพระจันทร์อ่านใจเขาได้ เ้าตัวถึงเลือกกันตัวเองให้ออกห่างจากนิวโดยที่เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย บทสนทนาของพันลี้กับทศฟังดูไม่ค่อยเป็มิตรสักเท่าไร ใกล้เลยได้แต่ภาวนาให้ทศทำงานกับคุณพระจันทร์ได้อย่างราบรื่น...
อย่าคิดดื้อกับคุณพระจันทร์นะทศ
ไม่อย่างนั้น...ทศอาจจะโชกเืก็ได้
ใกล้ใจจะไม่ห้ามเลย...เพราะคงห้ามไม่ไหว
“ไหนงานที่มึงบอกว่าทำไม่ได้ ? ”
“เอาแม็กบุ๊กของมึงมา เดี๋ยวกูทำเอง”
“กูถามว่างานส่วนไหนที่มึงทำไม่ได้ ไม่ได้ให้มึงมาออกคำสั่งกับกู”
ทศมองพันลี้ชั่วครู่ ก่อนเอ่ย “เข้าเมลกูก่อน ต้องเปิดรายงานถึงจะบอกได้”
“บอกชื่อเมลมา”
ทศบอกชื่อเมลกับพันลี้ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่หน้าจอแม็กบุ๊ก “หัวข้อนี้ กูหาข้อมูลเพิ่มไม่ได้”
“เออ ก็แค่นี้แหละ จะเก๊กทำเหี้ยอะไร ? ”
ใกล้กลืนน้ำลายลงคอพลางมองคุณพระจันทร์ในโหมดดุ เขาไม่เคยเห็นพันลี้จริงจังและเคร่งเครียดแบบนี้มาก่อน ในตอนที่เ้าตัวหันมามองเขา ใกล้เผลอเม้มริมฝีปากแล้วกลั้นหายใจ เพราะกลัวโดนดุเหมือนทศ ทว่าคิ้วของอีกคนที่ขมวดจนเป็ปมคลายออกอย่างรวดเร็วและแววตาเรียบนิ่งก็เปลี่ยนกลับมาอบอุ่นเหมือนเดิม
“คุณใกล้...เนื้อหาที่เป็ภาษาอังกฤษ เราต้องแปลเป็ภาษาไทยไหมคะ ? หรือว่าใส่เนื้อหาที่เป็ภาษาอังกฤษได้เลย”
ใกล้ยื่นหน้าไปดูที่หน้าจอ หัวข้อที่ทศบอกว่าหาข้อมูลเพิ่มไม่ได้ ตอนนี้เด็กกราฟิกอย่างพันลี้กลับหาเจออย่างง่ายดาย ทั้งยังมีคำถามในแบบที่ทศไม่เคยมีอีกต่างหาก “เราต้องแปลเป็ไทยก่อนใส่ในรายงาน”
“โอเคค่ะ”
“เดี๋ยวเราช่วยแปลนะ”
“ไม่เป็ไรค่ะ เดี๋ยวลี้อ่านแล้วจับใจความสำคัญให้ดีกว่า เพราะบางอย่างก็ไม่ได้สำคัญเท่าไร เราจะได้ทุ่นเวลาไม่ต้องแปลหมดทุกย่อหน้า”
พันลี้ทำงานสไตล์เดียวกับเขาเลย...
เน้นรวดเร็ว แต่ไม่ขาดใจความสำคัญ
ใกล้มองคนที่ใช้มือเลื่อนเมาส์และทำงานอย่างคล่องแคล่ว เ้าตัวหันมองทศก่อนเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เดี๋ยวกูช่วยทำส่วนนี้ให้...ถ้าเสร็จแล้วมึงก็เอาไปใส่ในรายงานเองก็แล้วกัน”
“อือ”
“อือ คืออะไรอะ...คำขอบคุณของคนรุ่นใหม่เหรอ ? ”
พันลี้เอ่ยถามอีกฝ่ายทั้งที่สายตายังจดจ่ออยู่ที่หน้าจอแม็กบุ๊ก ส่วนมือก็พิมพ์เนื้อหาที่ถูกแปลออกมาเป็ภาษาไทย ใกล้กลั้นหัวเราะแทบไม่ทันเพราะประโยคคำถามกวนๆ ของพันลี้ เขาไม่ได้คิดเยาะเย้ยทศเลยสักนิด แต่ที่ต้องแกล้งหันมองทางอื่นแล้วกลั้นหัวเราะ เพราะเขาไม่คิดว่าคุณพระจันทร์จะเป็คนพูดจากวนได้ขนาดนี้
“มึงไม่เต็มใจช่วยกูก็ไม่ต้องช่วย แต่อย่ามาพูดจากวนตีนแบบนี้”
“มึงคิดว่ากูเต็มใจช่วยมึงมากเลยดิ กูไม่ได้อยากช่วยมึงเลย ไม่ใช่ธุระกูด้วยไอ้สัด”
“...”
“แต่ที่กูต้องมานั่งแปลงานให้มึงเนี่ย...ก็เพราะกูอยากไปดูหนังกับคุณใกล้เร็วๆ ”
“...”
“ถ้าไม่ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้นก็ช่วยสงบปากหน่อย อย่าพูดให้กูอารมณ์ขึ้นไปมากกว่านี้”
เท่าที่ฟัง...พันลี้บอกให้ทศนั่งเงียบๆ แค่คนเดียว แต่ทุกคนคงััได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากน้ำเสียงไม่พอใจของคุณพระจันทร์ ตอนนี้เลยไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลย เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว
“...”
“กูบอกเลยนะ ถ้าเป็งานกลุ่มกู ชื่อของมึงไม่ได้ัับนกระดาษหน้าปกหรอก โดนกูเขี่ยทิ้งไปนานแล้ว...นี่มึงยังโชคดีที่เจอคุณใกล้”
“กูต้องกราบใกล้เลยไหม ? ”
“คุณใกล้ไม่ใช่พระ มึงจะกราบทำเหี้ยไร” พันลี้พูดพลางส่ายหน้า
ตอนนี้ใกล้เริ่มสงสัยว่าพันลี้เคยเจอกับทศครั้งแรกจริงๆ หรือเปล่า เพราะทั้งสองคนเหมือนคู่อริที่โกรธแค้นกันมานาน ด่าทอกันราวกับเป็ธรรมดาของคนที่เคยฟาดฟันกันทางคำพูด
พันลี้ใช้มือเลื่อนแม็กบุ๊กของตัวเองไปตรงหน้าของทศ ก่อนเอ่ย “เอาเนื้อหาที่กูแปลแล้วใส่รายงาน”
“เสร็จแล้วใช่ไหม ? ”
“เออ !”
คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่คุณพระจันทร์กระแทกเสียงใส่อีกฝ่าย ใกล้รีบฉีกยิ้มทันทีที่พันลี้หันมามอง เ้าตัวหัวเราะร่า ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะของเขาเบาๆ อย่างที่ชอบทำ
“...”
“คอยยิ้มเป็กำลังใจให้ลี้ใช่ไหมคะเนี่ย ? ”
ใกล้ย่นจมูกก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเดิม “อื้อ...แล้วกำลังใจของเราไปถึงพันลี้ไหม ? ”
บอกแล้วว่า...ใกล้ใจเก่งขึ้นเยอะแล้วนะ
วันนี้พูดหยอดพันลี้ได้หลายครั้งเลย
“คนที่ส่งกำลังใจมาให้เป็ถึงใกล้ใจเชียวนะ จะไม่ถึงได้ยังไงคะ ? ”
นั่นสินะ...
เป็ถึงใกล้ใจเชียวนะ
ทำไมจะทำให้คุณพระจันทร์ตกหลุมรักไม่ได้ล่ะ
:)
#ใกล้แค่พันลี้
“นิว มึงทำงานถึงไหนแล้ววะ ? ”
“กำลังจัดหน้าอยู่”
“เราช่วยจัดให้ไหม ? ”
ใกล้อาสาช่วยเพราะนิวทำงานไม่เสร็จสักที แม้จะมีเมย์และพายคอยช่วย แต่เ้าตัวก็ทำงานเชื่องช้าเหมือนตั้งใจให้พวกเรานั่งรอนานๆ ทศทำงานในส่วนของตัวเองเสร็จนานแล้ว ทว่ายังต้องอยู่รอเพื่อนสนิท เพราะนิวบอกให้กลับพร้อมกัน ใกล้มองดูนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ เพราะเลยเวลาหนังเข้าฉายมาสิบกว่านาทีแล้ว
เขาหันมองคนข้างกายที่กำลังเล่นเกมในโทรศัพท์ พันลี้ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทว่าเ้าตัวก็นิ่งเงียบจนเดาได้ว่าไม่ค่อยพอใจ
“ไม่ต้องๆ กูทำเองได้”
“ก็แค่จัดหน้า ทำไมทำช้าขนาดนี้วะนิว ? ”
“กูไม่ได้ทำงานชุ่ยๆ แบบมึงนะทศ”
ใกล้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ครั้นจะดึงโน้ตบุ๊กจากอีกฝ่ายมาทำเองก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็คนไม่มีมารยาทอีก เพราะเมื่อกี้เมย์หงุดหงิดจนกระชากโน้ตบุ๊กมาจากนิวครั้งหนึ่งแล้ว ทะเลาะกันไปหนึ่งยกจนเมย์ต้องออกไปเดินเล่นเพื่อสงบสติอารมณ์
“คุณใกล้เป็อะไรคะ ? ”
คนโดนถามเงยหน้ามองคุณพระจันทร์ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “พันลี้...หนังฉายไปแล้ว”
“โธ่...เศร้าขนาดนั้นเลยเหรอคะ ? ” พันลี้พูดปนหัวเราะ “เื่นี้ฉายไปแล้ว เราก็ไปดูเื่อื่นกันไงคะ ? ”
สาเหตุที่ใกล้เศร้า เพราะเขากลัวว่าวันนี้เราจะไม่ได้ไปดูหนังด้วยกัน เขายิ้มกว้างออกมาเมื่อรู้ว่ายังพอมีโอกาสไปดูหนังด้วยกันอยู่
“เดี๋ยวรอบนี้เราจ่ายค่าตั๋วเองนะ”
“คุณใกล้ไม่ต้องกังวลเื่นั้นหรอกค่ะ ขอแค่คุณใกล้บอกว่ายังอยากไปดูหนังกับลี้อยู่...ต่อให้ต้องซื้อตั๋วใหม่อีกกี่รอบ ลี้ก็ซื้อให้ได้”
แววตาที่แสนจริงใจของคุณพระจันทร์ที่ฉายชัดออกมาขณะพูดประโยคเมื่อสักครู่ทำให้ใกล้อยากพูดบางประโยค เป็ประโยคที่จริงใจที่สุดเหมือนกัน เขาลังเลอยู่เป็นาที ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“ถึงทุกรอบพันลี้จะไม่ซื้อตั๋วให้เรา เราก็ยังอยากไปดูหนังกับพันลี้อยู่นะ”
คุณพระจันทร์เผยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะส่งมือมาบีบจมูกเขาเบาๆ คล้ายมันเขี้ยว
“อะๆ เสร็จแล้ว”
“เฮ้อ ! เสร็จสักที ไม่รู้จะถ่วงเวลาไปถึงไหน ? ” เมย์ที่เพิ่งกลับมาจากเดินเล่นเอ่ยขึ้น
“งานเสร็จหมดแล้ว งั้นเราไปกันค่ะคุณใกล้”
ใกล้พยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืนตามคุณพระจันทร์ เขาหยิบกระเป๋าผ้าสีเหลืองขึ้นมาสะพายก่อนโบกมือลาเพื่อนๆ
“กูเคยเห็นมึงเดินอยู่กับไอ้เมฆวิศวะโยธา มึงเป็เพื่อนกับมันใช่ไหม ? ”
ประโยคคำถามของพันลี้เรียกความสนใจจากใกล้ได้เป็อย่างดี เขาละสายตาจากเพื่อนแล้วหันมองคุณพระจันทร์ที่กำลังจ้องมองทศที่นั่งอยู่
“เออ ทำไม ? ”
“ฝากบอกมันด้วยว่า...เบาได้ก็เบานะ นิสัยเหี้ยๆ ของมันอะ มีคนรอกระทืบอยู่เยอะ”
“...”
สีหน้าสงสัยของทศในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยแววตาเป็กังวล ทศไม่ได้ตอบอะไร เ้าตัวทำเพียงหลบสายตาพันลี้เท่านั้น
“ไปกันค่ะคุณใกล้” คุณพระจันทร์พูดพลางหยิบแม็กบุ๊กของตัวเองขึ้นมาแนบไว้ข้างกาย ก่อนจะใช้มืออีกข้างคว้ามือของเขาไปกุมไว้
“อะ อื้อ”
ใกล้เดินตามคนตัวสูงที่จูงมือเขาเดินออกมาถึงบริเวณหน้าลิฟต์ เขานิ่งเงียบพลางมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคุณพระจันทร์ เ้าตัวเงยหน้ามองลูกศรที่อยู่เหนือประตูลิฟต์ทั้งที่ยังจับมือเขาไว้อยู่
ตอนนี้ใกล้พอจะรู้ถึงสาเหตุที่พันลี้แสดงท่าทางไม่เป็มิตรกับทศแล้ว เพราะเ้าตัวเคยเห็นทศอยู่กับเมฆมาก่อน และคงรู้ว่าทั้งสองคนเป็เพื่อนกัน ใกล้รู้ดีว่าเมฆมีนิสัยอย่างไร ไม่แปลกที่พันลี้จะพูดไปแบบนั้น เพราะเมฆคงเผลอไปทำให้ใครหลายคนไม่พอใจ
และั้แ่ที่ได้รู้จักกับพันลี้ เ้าตัวเป็คนมีเพื่อนเยอะพอสมควร ใกล้เดาว่าเมฆน่าจะทำให้เพื่อนของคุณพระจันทร์ไม่พอใจหลายคนจนถูกหมายหัว แต่สำหรับคุณพระจันทร์...เมฆคงไม่ได้เผลอทำตัวไม่ดีใส่หรอก
ใกล้ไม่อยากคิดว่าสาเหตุที่ทำให้พันลี้ไม่ชอบเมฆ เพราะมีเหตุการณ์ในวันนั้นเป็ต้นเหตุ ทว่าเมื่อย้อนนึกถึงบทสนทนาที่ทั้งสองคนพูดคุยกันในคืนนั้น มันก็ช่วยยืนยันว่าพันลี้กับเมฆเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกจริงๆ
และเป็ครั้งแรกที่ไม่เหลือความประทับใจต่อกันเลย แม้จะไม่อยากยอมรับว่าพันลี้มีปัญหากับเมฆเพราะช่วยเขาไว้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคงเป็เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นจริงๆ
ตอนที่คุณพระจันทร์พูดถึงเมฆกับทศ ใกล้รู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจ ไม่ใช่เพราะใกล้คิดว่าคุณพระจันทร์จะรู้ว่าคนที่เ้าตัวเคยช่วยไว้เป็เขา ใกล้มั่นใจว่าเ้าตัวไม่มีทางรู้ เพราะเขาเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับอย่างดี แม้แต่พี่ดอมก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง มีเพียงแค่เพื่อนสนิทเท่านั้นที่รู้เื่นี้ และใกล้ก็ขอร้องให้เพื่อนสนิทเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับเหมือนกัน ดังนั้นเื่นี้ไม่มีทางรั่วไปถึงพันลี้แน่นอน แต่สาเหตุที่ทำให้รู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจ เพราะความทรงจำในวันนั้นถูกเรียกกลับมาฉายในหัวอีกครั้ง
ติ๊ง !
เสียงแจ้งเตือนจากลิฟต์ช่วยดึงใกล้ออกมาจากความคิดมากมายที่กำลังผุดขึ้นในหัว เขาเดินตามคนตัวสูงที่จูงมือเข้าไปในลิฟต์ ใกล้ก้มหน้ามองรองเท้าหนังของตัวเองพลางคิดถึงคำถามหนึ่งที่อยากได้คำตอบมานาน
‘พันลี้จะจำเื่วันนั้นได้ไหมนะ ? ’
เหตุผลที่ใกล้ปล่อยให้คำ ‘ขอบคุณ’ ติดค้างอยู่ในใจโดยไม่เอ่ยบอกกับคุณพระจันทร์ทั้งที่มีโอกาสหลายครั้ง นั่นเป็เพราะใกล้ไม่มั่นใจว่าเ้าตัวจะจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ไหม หากเขาพูดไปแล้วพันลี้จำไม่ได้ ใกล้อาจจะต้องเล่าเท้าความกันยาว การเล่าเื่ในวันนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่อะไร แต่เขากลัวว่าพันลี้ที่ลืมไปแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจ
ไม่สบายใจที่ต่อให้นึกถึงยังไงก็ยังจำไม่ได้…
….ใกล้กลัวจะเป็อย่างนั้น
และคนที่จำได้ขึ้นใจอย่างเขาจะต้องทำอย่างไรต่อไป
ใกล้เลยตัดสินใจเก็บเื่ทั้งหมดไว้ โดยที่ไม่รู้ว่าจะได้ส่งคำ ‘ขอบคุณ’ ไปถึงดวงจันทร์วันไหน แต่เป็ในตอนนี้ที่ใกล้คิดไตร่ตรองเป็อย่างดีอีกครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่จับมือเขาไว้แน่
“พันลี้...เคยรู้จักกับเมฆด้วยเหรอ ? ”
คนตัวสูงละสายตาจากตัวเลขที่ปรากฏอยู่เหนือประตูลิฟต์แล้วหันมามองเขา ก่อนเอ่ย “ลี้เคยมีปัญหากับไอ้เมฆนิดหน่อยค่ะ”
คำตอบของพันลี้ยังไม่ชัดเจนมากพอจะช่วยยืนยันความจริงบางอย่างในใจได้ เขาเผลอเม้มริมฝีปากพลางสบตากับคุณพระจันทร์ ก่อนรวบรวมความกล้าเพื่อถามเ้าตัวอีกครั้ง
“เราพอจะถามได้ไหมว่าพันลี้มีปัญหาอะไรกับเมฆ…”
คุณพระจันทร์นิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนเอ่ย “ลี้เคยเจอมันกำลังโวยวายอยู่หน้าห้องน้ำ มันเรียกให้คนที่อยู่ในห้องน้ำออกมา”
“...”
“แต่ลี้คิดว่าคนที่อยู่ในนั้นคงอยากจะหนีมันมากกว่า ลี้ก็เลยเข้าไปช่วยไล่มันให้ออกไปจากห้องน้ำ”
“...”
“ลี้รู้จักมันเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นแหละค่ะ”
“อะ อ๋อ...” ใกล้พยักหน้าเป็เชิงบอกว่าเข้าใจที่อีกคนพูด ก่อนจะหลุบตามองฝ่ามือหนาทีจับกระชับมือของเขาให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ประโยคหนึ่งที่แวบเข้ามาในหัวทำให้ใกล้รู้สึกแสบซ่าที่จมูก
‘พันลี้ยังจำได้’
‘คุณพระจันทร์ยังจำเื่วันนั้นได้อยู่’
“คุณใกล้เป็อะไรหรือเปล่าคะ ? ”
คนตัวเล็กรีบโกยอากาศเข้าปอดแล้วส่ายหน้า ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้คุณพระจันทร์ที่มองเขาด้วยสีหน้าเป็กังวล
“เราไม่ได้เป็อะไร ลูกหมาไม่ต้องเป็ห่วงนะ”
และรอยยิ้มของลูกหมาใจดีที่ตอบกลับมา...
...ทำให้ใกล้ใจ
อยากเอ่ยคำ ‘ขอบคุณ’
#ใกล้แค่พันลี้
“รัดเข็มขัดเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ ? ”
“อะ อื้อ...” ใกล้ตอบพลางมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ระหว่างทางที่เดินมาลานจอดรถ ใกล้พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยบางอย่าง แต่เขาก็ยังไม่มีความกล้ามากพอ จนกระทั่งตอนนี้ที่ใกล้เลือกละสายตาจากคุณพระจันทร์แล้วลอบถอนหายใจ
“ถอนหายใจแบบนี้ คุณใกล้มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ระบายกับลี้ได้นะคะ”
ประโยคคำพูดของพันลี้ทำให้เขาเงยหน้ามองเ้าตัวอีกครั้ง ใกล้คิดว่าจะมีสักกี่คนที่พร้อมรับฟังเื่ราวของเรา พันลี้เลือกใช้คำว่า ‘ระบาย’ นั่นแสดงให้เห็นว่า...
คุณพระจันทร์ไม่ได้สนใจว่าเื่ที่เล่าจะเป็เื่ดีหรือร้าย
เ้าตัวพร้อมจะรับฟังเสมอ...ขอแค่ทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น
เป็ในตอนนี้ที่เราได้สบตากันท่ามกลางความเงียบ คงเพราะใกล้เห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาของคุณพระจันทร์ จึงทำให้มีความกล้าเพิ่มมากขึ้น และรอยยิ้มสดใสที่เป็กำลังใจสำคัญของเขาที่ทำให้ใกล้เอ่ยบางอย่างออกไป...
“ขอบคุณนะพันลี้”
“ขอบคุณเื่อะไรคะ ? ลี้ยังไม่ได้ช่วยอะไรคุณใกล้เลย” พันลี้พูดปนหัวเราะ
“ขอบคุณที่วันนั้นช่วยเราเอาไว้”
รอยยิ้มสดใสค่อยๆ เลือนหายไป พันลี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายสงสัยในสิ่งที่เขาพูด ใกล้ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาอยากถ่ายทอดความรู้สึก ‘ขอบคุณ’ ให้คุณพระจันทร์ได้รับรู้
“...”
“คนที่โดนเมฆบังคับให้ออกมาจากห้องน้ำในวันนั้น...”
“...”
“คือใกล้เอง”
“...”
พอได้พูดออกไปใกล้ก็รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก แต่ความรู้สึกมากมายที่กำลังก่อตัวขึ้นทำให้เขาไม่รู้จะพูดต่อยังไง ใกล้กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเอ่ย “ตอนนี้เรา...เราไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี”
ในตอนแรกพันลี้ดูใไม่น้อยเมื่อได้ยินประโยคคำพูดของเขา ทว่าในวินาทีถัดมาเ้าตัวกลับละทิ้งทุกความรู้สึกของตัวเองเพียงเพราะเห็นเขาเริ่มประหม่า มือหนาเคลื่อนมากุมมือของเขาไว้
ใกล้หลุบตามองมือของเราสองคนที่จับกันไว้แน่น กระบอกตาร้อนผ่าวและรู้สึกแสบซ่าที่ปลายจมูก เขากลืนก้อนความรู้สึกขนาดใหญ่ลงคอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคุณพระจันทร์อีกครั้ง ใกล้ส่งยิ้มให้อีกคนที่มองเขาอยู่
“ค่อยๆ เล่านะคะ...ลูกหมารอได้”
คนตัวเล็กยิ้มบางเบาเพราะคำพูดอบอุ่นนั้น ก่อนเริ่มเรียบเรียงเื่ราวต่างๆ เพื่อเล่าให้อีกคนฟัง “ตอนนั้นเรากับพวกทศยังเป็เพื่อนกลุ่มเดียวกันอยู่ เมฆเป็เพื่อนต่างคณะของทศ...ก็เลยทำให้เมฆได้มาเจอกับเรา เมฆชอบเรา และตามจีบเรามาได้สักพักแล้ว แต่เราไม่ชอบเลยปฏิเสธไป เราพยายามหลบเมฆตลอด”
“...”
“แต่วันนั้นที่เราไปเที่ยวผ่อนคลายกับเพื่อนหลังจากสอบเสร็จ เราไม่รู้มาก่อนว่านิวกับทศจะชวนเมฆไปด้วย...เราก็เลยต้องเจอกับเมฆ”
“…”
“พอเจอกันก็เหมือนเดิม...เมฆพยายามตื๊อเรา แต่เราก็หนีเหมือนเดิม ตอนนั้นเรากำลังจะกลับคอนโดแล้ว แต่แวะเข้าห้องน้ำก่อน เราคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ในห้องน้ำห้องเล็ก เมฆที่เข้าห้องน้ำมาทีหลังคงได้ยินเสียงเราแล้วจำได้...เมฆก็เลยบังคับให้เราออกไปคุยด้วย แต่เรากลัวก็เลยไม่ออกไป...”
“...”
น้ำตาเอ่อรอบขอบตาตอนที่ใกล้คิดถึง่เวลานั้น... “จนกระทั่ง...พันลี้มาช่วยเราไว้”
“...”
“เรารู้ว่าคนที่มาช่วยไว้เป็พันลี้เพราะตอนนั้นเมฆเรียกชื่อพันลี้ และตอนที่พันลี้กำลังเดินออกไปจากห้องน้ำ เราก็แอบเปิดประตูออกไปดู ถึงได้รู้ว่าเป็พันลี้จริงๆ ”
ใกล้ก้มหน้าพลางมองมือของเขาที่มีมือของอีกคนกุมไว้ เขาเม้มริมฝีปากที่สั่นเทาเพื่อเก็บกลั้นความรู้สึก ใกล้รู้ดีว่าน้ำตาที่ยากจะกลั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่น้ำตาจำนวนมากเกิดจากความรู้สึกขอบคุณ
ขอบคุณคุณพระจันทร์ที่เข้ามาเป็แสงสว่างในชีวิต...
“เราขอโทษที่ไม่เคยบอกเื่นี้กับพันลี้เลย...” ใกล้เลือกจะพูดต่อทั้งที่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น “เรากลัวพันลี้จะจำเื่วันนั้นไม่ได้...และเราก็ไม่คิดว่าจะได้มาเป็เพื่อนสนิทกับพันลี้”
“...”
“แต่พอเราได้คำตอบจากพันลี้ตอนที่อยู่ในลิฟต์ เราถึงมั่นใจว่าพันลี้จำเื่วันนั้นได้ เราเลยอยากขอบคุณพันลี้”
“…”
“เราอยากขอบคุณพันลี้มาตลอดเลยนะ” ใกล้เงยหน้าขึ้นมองคุณพระจันทร์ ใบหน้าของพันลี้ถูกม่านน้ำตาบดบังจนเบลอไปหมด เขาพยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่นเครือ แค่ปล่อยให้น้ำตาเอ่อล้นต่อหน้าเ้าตัวก็ดูแย่มากพอแล้ว “ตอนนี้เรากล้าพูดขอบคุณพันลี้แล้ว แต่เพราะมันช้าไปมากๆ และเราก็ไม่รู้ว่าพันลี้จะรู้สึกยังไงที่เราเลือกไม่เล่าเื่นี้ให้ฟังทั้งที่รู้จักกันมาสักพักแล้ว...”
“...”
“พันลี้...ให้อภัยใกล้ใจได้ไหม ? ”
ภาพตรงหน้ายังคงเลือนรางไม่ชัดเจนเพราะกำแพงน้ำตาที่ก่อตัวหนา ทว่าประโยคคำพูดของคุณพระจันทร์ชัดเจนทุกถ้อยคำ “ลี้ให้อภัยคุณใกล้ได้เสมอ และลี้เข้าใจในเหตุผลที่คุณใกล้เลือกเก็บเื่นี้ไว้”
“...”
“ทุกอย่างที่คุณใกล้ตัดสินใจทำ...ลี้เชื่อว่าคุณใกล้จะคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อนเสมอ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ลี้คิดว่าคุณใกล้ก็คิดมาดีแล้วว่าควรจะพูดตอนไหน...มันไม่ช้าเกินไปหรอกค่ะ คุณใกล้แค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น และตอนนี้ก็เป็เวลาที่เหมาะสมแล้ว”
“...”
ม่านน้ำตาพังทลายในตอนที่มือหนาััข้างแก้มของเขาแ่เบา ภาพแรกที่ได้เห็นอย่างชัดเจนคือรอยยิ้มของคุณพระจันทร์ ใกล้เม้มริมฝีปากแน่น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกจากหางตา ทว่าพันลี้ส่ายหน้าเบาๆ เป็เชิงห้าม ก่อนเ้าตัวจะใช้นิ้วหัวแม่มือปาดคราบน้ำตาให้แทน
“ลี้ขอโทษนะคะ...ที่วันนั้นลี้เดินออกมาแล้วปล่อยให้คุณใกล้อยู่ในห้องน้ำคนเดียว”
ใกล้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ก่อนเอ่ย “พันลี้ไม่ต้องขอโทษเราหรอก ก็พันลี้ไม่รู้นี่...”
คุณพระจันทร์เผยยิ้มบางเบา ในแววตาของเ้าตัวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ใกล้ไม่สามารถเดาได้ว่าพันลี้รู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เ้าตัวใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยที่ข้างแก้มของเขาเบาๆ ก่อนเอ่ย
“ในตอนที่เรายังไม่ได้เจอกัน ในตอนที่ลี้ยังไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณใกล้เหมือนในตอนนี้...คุณใกล้ต้องผ่านอะไรมาบ้างคะ ? ”
เป็ประโยคคำถามที่ทำให้น้ำตาพรั่งพรูออกมา ทว่าใกล้ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เพียงแค่ปล่อยให้ทุกความรู้สึกถูกกลั่นออกมาเป็น้ำตาเท่านั้น ใกล้พยายามยิ้มกว้าง ก่อนเอ่ย “เราผ่านอะไรมาหลายอย่างเลย แต่ทุกอย่างก็ทำให้เราเป็ใกล้ใจที่เติบโตอย่างเข้มแข็ง”
เป็ในตอนนี้ที่ดวงจันทร์ดวงเดิมโคจรรอบตัวเขาอย่างแท้จริง พันลี้วาดแขนข้างหนึ่งรั้งร่างเขาเข้าไปใกล้เ้าตัว ก่อนที่ท่อนแขนหนาทั้งสองข้างจะโอบกอดเขาไว้ และในวินาทีต่อมาคุณพระจันทร์ก็กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
ริมฝีปากบางประกบเข้าหากันจนแน่นตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของพันลี้ ใกล้ซบใบหน้าลงบนไหล่กว้าง เขาหลับตาลงแล้วปล่อยให้ของเหลวสีใสไหลออกมาเรื่อยๆ ก่อนจะตัดสินใจกอดคุณพระจันทร์ตอบ
“กอดนี้ไม่ได้เป็กอดปลอบใจจากเพื่อนสนิท...แต่เป็กอดที่ลี้อยากชดเชยให้คุณใกล้ใน่เวลาที่ผ่านมา”
“...”
“ลี้มาช้ามากจริงๆ …แต่ลี้มาแล้วนะคะคุณใกล้”
“...”
“ต่อจากนี้ไป...เราจะอยู่เคียงข้างกัน และผ่านวันร้ายๆ ไปด้วยกันนะคุณใกล้”
คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักขณะกอดคุณพระจันทร์อยู่ ใกล้รีบยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาในตอนที่เราผละกอดออกจากกัน ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะมีรอยยิ้มติดขี้เล่นเปื้อนอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้มีแต่แววตาที่แสนจริงใจและรอยยิ้มบางเบาที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น
รอยยิ้มของพันลี้ในตอนนี้...
...คล้ายๆ กับแสงสีเหลืองนวลของพระจันทร์
เป็ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นจาก ‘ดวงจันทร์’
ไม่ใช่ดวงอาทิตย์…
และเป็ในตอนนี้ที่ใกล้คิดว่าควรจะใช้ความกล้าที่มีอยู่มากล้นของตัวเองให้หมดภายในคราวเดียว เขาจ้องลึกเข้าไปในแววตาของคุณพระจันทร์ ก่อนจะตัดสินใจพาตัวเองออกมาจากสถานะ ‘เพื่อนสนิท’ แม้ใกล้จะกลัวซ้ำรอยในอดีตมากแค่ไหน แต่เขาก็อยากสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักอีกครั้ง
“พันลี้...ถ้าเราจะต้องผ่านวันร้ายๆ ไปด้วยกัน เป็แค่เพื่อนสนิทคงไม่พอหรอก”
“...”
“พันลี้เป็ ‘คนสนิท’ ของเราได้ไหม ? ”
“...”
“คนสนิทที่มีความสำคัญมากกว่าเพื่อนสนิท เป็คนที่พร้อมจะผ่านทุกเื่ราวไปด้วยกัน เป็คนที่อยู่เคียงข้างกันในทุก่เวลา”
ไม่ใช่มีเพียงแค่ความกล้าเท่านั้นที่ทำให้ใกล้กล้าพูดแบบนี้ แต่เป็เพราะเขาเห็นบางอย่างในแววตาของคุณพระจันทร์ แม้บางอย่างที่อยู่ในนั้นจะไม่สามารถอธิบายได้ แต่ใกล้รู้สึกว่ามันเป็ความรู้สึกที่ ‘พิเศษ’ เขาจึงตัดสินใจพูดออกไป ใกล้มั่นใจว่าคุณพระจันทร์เข้าใจความหมายของคำว่า ‘คนสนิท’
หากเ้าตัวตอบตกลง นั่นหมายถึงความสัมพันธ์ของเราสองคนจะพัฒนาไปอีกขั้น ความรู้สึกของเราสองคนที่มีต่อกันจะมากกว่าแค่ ‘เพื่อนสนิท’
แต่ใกล้ก็เผื่อใจไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว
เพราะบางทีพันลี้อาจจะอยากเป็แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น
ใกล้สบตากับดวงตาเรียวยาว เ้าตัวนิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้าใดๆ หัวใจของเขาสั่นไหวขณะรอคอยคำตอบ และรอยยิ้มสดใสที่ปรากฏขึ้นทำให้หัวใจดวงน้อยๆ เต้นเร็วแรงมากกว่าเดิม
“ถ้าคุณใกล้ยอมเป็คนสนิทของลี้เหมือนกัน”
“...”
“ลี้ก็จะยอมเป็คนสนิทของคุณใกล้ค่ะ”
“...”
ใกล้เผยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เขาพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนเอ่ย “เราตกลง”
ใครจะไปเชื่อ...ขนาดใกล้ใจยังไม่อยากเชื่อเลย
...ว่าวันหนึ่งจะได้เข้าใกล้ดวงจันทร์มากขนาดนี้
แต่ใกล้ก็ลืมไปว่า…ตัวเองเป็ถึงใกล้ใจเชียวนะ
...จะเดินไปไม่ถึงดวงจันทร์ได้ยังไง
:)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้