มีใครคนหนึ่งก้าวออกมาจากความมืด
“ทำได้ดี แกจะลงมือเอง หรือจะให้ฉันลงมือ?”
นักเลงใช้ค้อนเหล็กด้ามโตทุบมือขวาของเซี่ยฉางเจิงเสียไม่มีชิ้นดี มือซ้ายก็หักเช่นกัน กระดูกมือขวาถูกทุบจนแหลกละเอียด มือซ้ายอาจเบากว่าเล็กน้อย บนค้อนยังเปรอะเือยู่เลย!
เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยให้ตนเองรอดไปได้!
นักเลงรายนี้บ้าบิ่นมากพอเหมือนกัน เขาหลับตาลง “แกจัดการเถอะ!”
จะให้เขาทุบมือของตนเองจนหัก เขาไม่ใจเด็ดถึงขนาดนั้น
เ้าคนขี้ขลาดเช่นนี้ยังเทียบสมุนของเคออีสยฺงไม่ได้ด้วยซ้ำ กลับทำให้เขาพลาดพลั้งในหน้าที่เสียได้ ต่อให้คุณผู้หญิงเซี่ยหักเงินเดือนของเขาเกลี้ยงก็ถือว่าสมควรแล้ว
“คุณผู้หญิงเซี่ยบอกว่าแกทำตัวดี ให้เก็บมือของแกไว้ หวังว่าแกจะไปช่วยดูแลธุรกิจแผงอาหารว่างของพวกเขาสม่ำเสมอนะ แกเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรสินะ?”
นักเลงเบิกตาโพลงโดยพลัน
ไม่หักมือของเขาทิ้งแล้ว?
ทำไมทั้งสี่ถึงเสียมือ ในขณะที่ปล่อยเขาเพียงคนเดียว?
ยามโพล้เพล้ของเดือนกรกฎาคมร้อนมาก เมื่อครู่นักเลงเพิ่งทุบตีมือของเซี่ยฉางเจิงอย่างบ้าคลั่ง เหงื่ออาบทั่วทั้งร่างกาย พอตอนนี้ถูกลมโชยกระทบ เขารู้สึกหนาวขึ้นมา ตัวเขาเองไม่อยากเสียมือเลยจริงๆ แค่ก่อกวนแผงลอยขายของธรรมดาไม่ใช่รึ แม้เก่อเจี้ยนไม่พูดเช่นนี้ นักเลงก็ไม่มีทางปรานีเซี่ยฉางเจิงอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยฉางเจิง เขาและเหล่าพวกพ้องจะยั่วโมโหหญิงสาวแห่งมหันตภัยร้ายได้อย่างไร
แม่สาวน้อยผู้ชักนำเคราะห์กรรมนั่นพูดจาฉะฉานตรงไปตรงมา เธอคือนักเรียนดีเด่นที่พร้อมสรรพทั้งคุณธรรมและสติปัญญา เ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่เชื่อว่าเธอสั่งคนให้ทุบตีมือของพวกเขาจนหักอย่างแน่นอน—แจ้งความ? ในหมู่เขากับเหล่าพี่น้องทั้งหลาย แต่ละคนล้วนมีคดีมิชอบติดตัวบานเบอะ ขนาดเห็นตำรวจยังต้องเดินอ้อมด้วยซ้ำ คงไปแจ้งความต่อเมื่อเสียสติเท่านั้น!
เอาชนะไม่ไหว ใจเด็ดสู้ไม่ได้ เป็เพียงนักเลงหัวไม้ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ กันทั้งนั้น นอกจากยอมรับความพ่ายแพ้ยังจะทำอย่างไรได้อีก?
แค้นหนนี้จะต้องทวงคืนกลับมาจากเซี่ยฉางเจิงให้ได้!
เก่อเจี้ยนไม่กลัว ตอนนี้หลี่ต้งเหลียงศิษย์พี่ของเขาน่าจะขึ้นรถไฟแล้ว หากทั้งสองร่วมมือกัน ยังต้องกลัวพวกนักเลงกระจอกแก้แค้นหรือ!
เก่อเจี้ยนหันหลังและเดินกลับเข้าไปในความมืด นักเลงนั่งหอบหายใจหนักบนพื้นอยู่นานสองนาน เมื่อลุกขึ้นมาก็เตะเซี่ยฉางเจิงที่สลบเหมือดอีกรอบ จากนั้นถึงแบกค้อนเหล็กด้ามโตจากไป
----------------------------------------
ขณะเก่อเจี้ยนจัดการธุระ เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังรับบททดสอบหนักจากน้ำตาของมารดา
แค่ไปรับบัตรเข้าสอบก็ล้มจนมีสภาพแบบนี้ได้เชียวหรือ หลิวเฟินร้องไห้เป็วรรคเป็เวรด้วยความเสียใจ สอบหรือไม่สอบนั้นช่างมันก่อน จะทำอย่างไรกับมือนี่เล่า?
“ไม่เป็ไรจริงๆ ฉันขยับให้แม่ดูดีไหม? หมอบอกว่าเคล็ดขัดยอก แนะนำฉันว่าเวลาปกติอย่าขยับเยอะ สอบได้ไม่มีปัญหาหรอก”
ใส่เฝือกข้อมือ ทั้งข้อศอกกับหัวเข่าถูกพันด้วยผ้าก๊อซ
เนื่องจากถอดเสื้อผ้าไม่สะดวก หลิวเฟินจึงยกอ่างน้ำร้อนมาช่วยเธอเช็ดตัว พบว่าบ่าของเซี่ยเสี่ยวหลานมีรอยฟกช้ำสองจุด และต้นขาด้านหลังเขียวช้ำเป็วงกว้าง เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าจักรยานกระแทกตอนล้ม ช่างเถอะ พอเซี่ยเสี่ยวหลานพูดว่าจะไปสอบที่เขตเหอตง หลิวเฟินก็ตื่นตระหนกทันที
“แม่จะไปกับลูกด้วย!”
อันที่จริงหลิวเฟินทำประโยชน์ได้ไม่มากนัก แต่ถ้ามีปัญหาอะไร หลิวเฟินยินดีที่จะขวางหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน
ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานอยากปฏิเสธ เมื่อเห็นว่าหลิวเฟินเสียใจหนัก เธอก็พยักหน้ารับ
“นี่แม่จะตามไปเป็เพื่อนฉันสินะ ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ แต่โรงเรียนจัดให้ฉันค้างในหอพักรวมกับคนอื่นนะ แม่พักกับฉันแล้วกัน”
ท่าทีของหลิวเฟินราวกับเซี่ยเสี่ยวหลานจะเข้าเมืองหลวงไปสอบขุนนาง เธอดตรียมขนมปิ่งจากบ้านเสียด้วย ทำเอาเซี่ยเสี่ยวหลานพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลย ยังดีที่ย่าอวี๋ปรามเธอไว้ “เธอดูสิว่าอากาศมันเป็อย่างไร ถ้าปิ่งที่ทำบูด เธอจะให้ลูกกินเข้าไปแล้วท้องเสียรึ? หาข้าวปลากินที่ภัตตาคารรัฐดีๆ ในเหอตงเสีย อย่าเขียมเงินโดยใช่เหตุ!”
หลิวเฟินเข้าใจแจ่มแจ้งโดยพลัน
เธอไม่ได้เสียดายเงิน แม้การเงินในบ้านของ่นี้ไม่ค่อยคล่องนัก เงินปันผลจากร้าน เงินเก็บประจำครอบครัว ถูกรวบรวมให้หลิวหย่งนำไปเผิงเฉิงหมดแล้ว ทว่าค่าครองชีพพื้นฐานไม่เคยลดลงเลย เธอกระวนกระวายเพราะเซี่ยเสี่ยวหลานเกิดอุบัติเหตุ นึกว่าตัวเธอในฐานะแม่ไม่ได้ดูแลลูกสาวให้ดี อย่างเช่นการไปรับบัตรประจำตัวเข้าสอบที่โรงเรียนครั้งนี้ หากเธอไปรับแทนเสี่ยวหลาน เสี่ยวหลานก็คงไม่ได้รับาเ็หรอก!
หลิวเฟินอยากทำสิ่งที่เป็ประโยชน์บ้าง ย่าอวี๋กลอกตาขาวให้เธอ
“อย่าปล่อยให้น้องสาวในเขตเหอตงของเธอรังควานเสี่ยวหลานและรบกวนการสอบของเด็กเขา นี่คือสิ่งที่คนเป็แม่อย่างเธอควรทำ!”
การขี่จักรยานสามารถล้มจนมีสภาพเช่นนี้ได้หรือ?
หลิวเฟินเชื่อ ส่วนย่าอวี๋มีความสงสัยแฝงอยู่ในใจ
เธอคิดว่าสองสามวันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างอับโชค ไปสอบถึงเขตเหอตง จะเคราะห์ร้ายเจอะเจอคนบ้านเหลียงก็ไม่แปลก แน่นอนว่าทุกวันนี้คนบ้านเหลียงอาจกำลังหัวหมุนกับเื่ของตัวเองอยู่ แต่ย่าอวี๋ก็แค่เตรียมพร้อมเพื่อเหตุไม่คาดฝันเช่นกัน
หลิวเฟินคิดไว้แล้ว หากใครกล้าขัดขวางไม่ให้ลูกสาวของเธอสอบเกาเข่า แม้เธอต้องแลกด้วยชีวิต ก็ต้องทำให้ทั้งโคตรเหง้าอีกฝ่ายไม่สงบสุข!
น้องสาวอะไรกัน ล่าสุดเธอไม่มีน้องสาวอย่างหลิวฟางผู้นี้อีกแล้ว ถือเสียว่าบิดามารดาให้กำเนิดเธอกับพี่ชายเพียงสองคนเท่านั้น
----------------------------------------
เซี่ยฉางเจิงไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน และจางชุ่ยก็นอนไม่หลับด้วย
จิตใจกระสับกระส่าย สองสามีภรรยาเคยชินกับการแทงข้างหลังผู้อื่น หลบยุยงปลุกปั่นอยู่เื้ั สำหรับการจ้างวานคนก่ออาชญากรรมโดยตรงแบบนี้ จางชุ่ยไม่เคยทำมาก่อนจริงๆ ถ้าเซี่ยฉางเจิงกลับมาโดยสวัสดิภาพย่อมเบาใจ แต่ตลอดทั้งคืนเขาก็ไม่ได้กลับมาเลย จางชุ่ยสับสนงุนงง เอาแต่คิดว่าเ้าหน้าที่จะพังประตูเข้ามาและจับเธอไปยังสถานีตำรวจได้ทุกเวลา
โทษเธอได้หรือ?
ต้องโทษหลิวเฟินทั้งหมด ที่ดึงดันหย่ากับเซี่ยต้าจวิน หากสองแม่ลูกยังอยู่ตระกูลเซี่ย จางชุ่ยจะไม่แยกบ้านอย่างแน่นอน ใช้เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถควบคุมหลิวเฟินกับลูกสาวได้อยู่หมัด และยกเซี่ยเสี่ยวหลานให้พ่อม่ายภรรยาตายหรือชายไม่เอาถ่านที่ไม่มีปัญญาหาภรรยาสักคนไปตั้งนานแล้ว
เป็สาวบ้านนอกซื่อๆ ไม่ได้รึไร จะต้องเรียนหนังสือให้จงได้ อยากสอบเกาเข่า อยากเหยียบย่ำบุตรสาวของเธอไว้ใต้เท้า อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อแก้แค้นพวกเขา... ตีมือจนหักเสียก็ไม่สำเร็จแล้ว จางชุ่ยรู้สึกหวาดหวั่น ทว่าไม่เสียใจที่ทำลงไป เื่นี้เซี่ยฉางเจิงจัดการด้วยตัวคนเดียว แต่มันเป็ผลการตัดสินใจจากการพูดคุยระหว่างทั้งสองคน
เซี่ยฉางเจิงยังไม่กลับมา จางชุ่ยไม่มีกะจิตกะใจจะเตรียมค้าขาย
จนกระทั่งแปดโมงเช้า เธอคิดว่าจะไปตามหาเซี่ยฉางเจิงแล้ว เจียงเหลียนเซียงน้องสะใภ้ของเธอวิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“พี่ใหญ่ พี่เขยถูกพาส่งโรงพยาบาล หม่านฝูตามคนแจ้งข่าวไปก่อนแล้ว พี่ไปพร้อมกับฉัน”
จางชุ่ยก้าวขาไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ เจียงเหลียนเซียงดึงเธอออกไปข้างนอก “ฉันพกเงินติดตัวอยู่ ไปไปไป เร็วเข้า!”
ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาไม่แน่นแฟ้นเหมือนเก่า แต่ก็มีลูกชายลูกสาวอย่างละคนแล้ว แม้จางชุ่ยไม่ไว้หน้าเซี่ยฉางเจิง ในเวลาแบบนี้ยังคงห่วงใยเซี่ยฉางเจิงอยู่ดี เซี่ยฉางเจิงออกไปเพียงเพื่อจ่ายเงินให้คนพวกนั้น ทำไมถึงไม่กลับมาตลอดคืน แถมส่งตัวเองเข้าโรงพยาบาลเสียแล้ว?
จางชุ่ยมือเท้าโรยแรง ไม่ใช่แค่กังวลเกี่ยวกับเซี่ยฉางเจิง ยังกังวลว่าเื่ราวจะถูกเปิดโปงอีกด้วย
ทั้งสองยังคงอยู่ระหว่างรีบไปโรงพยาบาล ด้านเซี่ยฉางเจิงได้ล่วงหน้าเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว เขาถูกพบโดยคนกวาดถนน่เช้า พลเมืองดีนึกว่าเกิดคดีฆาตกรรมเสียอีก สุดท้ายพอรวบรวมความกล้าจับดูปรากฏว่ายังมีลมหายใจ จึงรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที ตอนส่งถึงโรงพยาบาล เซี่ยฉางเจิงได้สติขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง บอกชื่อกับที่อยู่ของคนในครอบครัวเสร็จก็สลบไสลอีกครั้ง
เนื่องจากวันนี้จางชุ่ยไม่ได้ตั้งแผง คนอื่นๆ พบเพียงจางหม่านฝูเท่านั้น
เมื่อจางหม่านฝูเดินทางมาถึงโรงพยาบาลก่อน หมอคนหนึ่งได้ยินว่าเขาคือสมาชิกครอบครัว รีบร้อนแจ้งอาการผู้ป่วยกับเขา
“มือทั้งสองข้างได้รับาเ็ มือขวาสาหัสมาก กระดูกกับเนื้อเละจนไม่เหลือชิ้นดี และส่งมาช้าเกินไปด้วย เรารักษามือขวาไว้ไม่ได้แล้ว ทำได้แค่ตัด! ครอบครัวช่วยรีบไปลงชื่อยอมรับเถอะ!”
“คุณหมอ อะไรคือตัดทิ้ง?”
“เป็การเลื่อยแขนขวาทิ้ง ั้แ่ข้อศอกลงมาไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้ว! คุณอย่ามัวเสียเวลาเลย รีบไปลงชื่อรับรอง พวกเราจะดำเนินการผ่าตัดทันที!”
จางหม่านฝูจะกล้าตัดสินใจทำสิ่งนี้ได้อย่างไรเล่า หั่นมือของคนทิ้ง อนาคตจะทำเช่นไร?