ลั่วหยิ่งเล่าต่อ “ปีนั้นมารดากระหม่อมอายุสิบแปดปี นางติดตามท่านยายของกระหม่อมมาไหว้พระที่วัดเสวี่ยโต้ว ตอนนั้นบังเอิญบิดาของกระหม่อมได้รับาเ็จากการทำา ถูกไต้ซือในวัดช่วยเหลือและรักษาาแอยู่ในวัด วันหนึ่งบิดาของกระหม่อมได้พบมารดาของกระหม่อม และรู้สึกหลงรักนางั้แ่แรกพบ แต่เขาเป็แค่ทหารคนหนึ่งไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร ยิ่งเขียนกลอนยาวเ่าั้ไม่เป็ ทุกวันจึงได้แต่ติดตามมารดาของกระหม่อมห่างๆ ไม่กล้าเข้าไปพูดคุยแม้แต่ประโยคเดียว...”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ปีนั้นสภาพอากาศแปรปรวน ในูเามีฟ้าร้องและฝนตกหนักติดต่อกันสามวัน มารดาของกระหม่อมกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าที่สุด ทันทีที่สภาพอากาศแปรเปลี่ยนฟ้าคะนองก็จะนั่งจะยืนล้วนไม่เป็สุข หลังจากบิดาของกระหม่อมได้ยินเข้า ไม่รู้ว่าเขาไปสอบถามใครและใช้วิธีการใด บอกว่าขอเพียงเป็คนที่มีคุณธรรมและจริยธรรมไปยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้านและสวดบทพระสูตรหนึ่งพันรอบ ก็จะทำควบคุมฟ้าร้องและสิ่งที่ไม่ดีได้ ทำให้คนในบ้านเข้านอนได้อย่างเป็สุข บิดาของกระหม่อมเป็คนที่เชื่ออะไรแล้วก็จะดื้อรั้น คนอื่นกล่าวเช่นนี้เขาก็เชื่อทันที กลางค่ำกลางคืนเขาถือทวนเล่มหนึ่งสวมชุดเกราะทั้งชุด เฝ้าอยู่หน้าบ้านมารดาของกระหม่อม ราวกับจงขุย[1]ตัวเป็ๆ ก็ไม่ปาน ทำให้มารดาของกระหม่อมใจนสะดุ้งโหยง! มารดาของกระหม่อมยังคิดว่าเขาคิดจะวางแผนทำมิดีมิร้าย ต่อมาจึงรู้ว่าเขามาเฝ้านาง มารดาของกระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก บิดาของกระหม่อมเฝ้าอยู่หน้าบ้านมารดากระหม่อมติดๆ กันสามวันเต็มๆ เพื่อเฝ้ามารดาของกระหม่อม ในที่สุดก็ทำให้หัวใจของมารดากระหม่อมหวั่นไหว ได้อุ้มหญิงงามกลับเรือนพ่ะย่ะค่ะ!”
“เฝ้ายาม?” ปลายนิ้วเรียวยาวประดุจหยกของเซวียนหยวนเช่อเคาะโต๊ะเบาๆ ราวกับกำลังใช้ความคิด
ด้านนอกหน้าต่างฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง เฟิ่งเฉี่ยนเดินมาหยุดข้างหน้าต่าง คิดจะปิดหน้าต่าง พลันเห็นไท่จื่อน้อยที่เดินอยู่ท่ามกลางขันทีมุ่งหน้ามายังตำหนักบรรทม
แม้จะมีนางกำนัลและขันทีคุ้มกัน ทำให้ไม่ถึงกับเปียกชุ่ม แต่รองเท้าบู๊ทสีเหลืองสว่างนั้นเปียกปอนไปทั้งคู่
เขาโผเข้ามาในอ้อมกอดของเฟิ่งเฉี่ยนและเรียกนางด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เสด็จแม่!”
เ้าตัวเล็กทั้งนุ่มทั้งกะจิดริดนั้นราวกับเพียงแค่ััก็จะละลาย เฟิ่งเฉี่ยนย่อกายลงกอดเขาเข้ามาแนบอกแล้วถามว่า “ด้านนอกฟ้าร้องเช่นนี้ ไฉนเ้าจึงมาที่นี่? ไหนให้เสด็จแม่ดูซิ เปียกฝนหรือไม่?”
ไท่จื่อน้อยซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของนางแล้วออเซาะ “เสด็จแม่ คืนนี้เย่เอ๋อร์อยากนอนกับเสด็จแม่”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “เป็เพราะเสียงฟ้าร้องใช่หรือไม่ เ้าหวาดกลัว?”
ไท่จื่อน้อยอายจนหน้าแดง เอาแต่ซุกเข้ามาในอ้อมกอดของนาง
เฟิ่งเฉี่ยนลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา “ก็ได้ เช่นนั้นเ้าก็รั้งอยู่ที่นี่เถิด!”
ไท่จื่อน้อยร้องขึ้นด้วยความดีใจ เขาหัวเราะเสียงดัง ดวงตาโค้งลงเป็รูปจันทร์เสี้ยว “เสด็จแม่ ได้ยินพวกเขาพูดกันว่าวันนี้ท่านประลองกับหลานเฟยที่ตำหนักชิวหวา ได้แสดงทักษะการใช้เข็มบินอันร้ายกาจ จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า
ไท่จื่อน้อยดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า “เช่นนั้นเสด็จแม่จะปักเหอเปาให้เย่เอ๋อร์สักใบได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เหอเปา?” เฟิ่งเฉี่ยนเลิกคิ้ว
ไท่จื่อน้อยทำปากยู่ด้วยความน้อยใจ “ซิงกู่และลั่วเฟิงพวกเขาทุกคนต่างมีเหอเปา เป็เหอเปาที่มารดาของพวกเขาปักให้ มีเพียงเย่เอ๋อร์ที่ไม่มี เย่เอ๋อร์อยากได้มากพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนอดที่จะแลบลิ้นปลิ้นตาในใจไม่ได้ ไฉนจึงเป็เ้าเด็กน้อยสองคนนั้นอีกแล้ว ซิงกู่ ลั่วเฟิง?
มารดาของพวกเขาทำอะไรอีกกันแน่?
ช่างว่างเหลือเกิน!
“ก็แค่เหอเปามิใช่หรือ? ไม่มีปัญหา! เสด็จแม่จะปักให้เ้าเดี๋ยวนี้ ปักอันใหญ่ๆ เลย ให้พวกเขาอิจฉาริษยาเ้าแทบตาย!”
ไท่จื่อน้อยร้องขึ้นด้วยความเบิกบานใจ
พูดด้วยปากนั้นง่าย แต่ลงมือทำกลับยาก
เฟิ่งเฉี่ยนปักเหอเปาเป็ครั้งแรก นางไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ไม่รู้ว่าลงมืออย่างไร นางคงปักแผนที่ลงบนเหอเปาไม่ได้กระมัง?
ปักอะไรดีนะ?
ไท่จื่อน้อยปีนขึ้นเตียงนอนหลับไปนานแล้ว นางยังนั่งคิดอยู่ที่นั่น
ปักอะไรดี ปักอะไรดี นางนั่งสัปหงกโดยไม่รู้ตัว และฟุบหลับไปบนโต๊ะอย่างนั้นเอง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กลางดึกพลันมีเสียงฟ้าร้องคะนองมาแต่ไกลทำให้ตื่นขึ้น เฟิ่งเฉี่ยนขยี้ตา นางมองเห็นนอกหน้าต่างมีเงาร่างใหญ่โตร่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าในมือถืออะไรเอาไว้ ราวกับภูติผีก็ไม่ปานทำให้นางใจนสะดุ้ง
นางคว้าจวักพันชั่งไว้ในมือทันที นางเดินไปที่ข้างหน้าต่างอย่างตื่นเต้นด้วยคิดจะดูว่าเป็อะไรกันแน่
นางเปิดหน้าต่างและมองลอดช่องของหน้าต่างออกไป เห็นเพียงนอกหลังคาลานเรือนที่ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนักนั้น มืดไปหมด ทว่ากลับมองเห็นรางๆ นั่นคือโคมไฟหนึ่งดวง เป็ตะเกียงน้ำมันที่มีลักษณะพิเศษ!
นางมองตามตะเกียงดวงนั้นขึ้นไปเรื่อยๆ นางเห็นเงาร่างสีดำของคนๆ หนึ่ง ถือตะเกียงน้ำมันตากฝนอยู่ เขายืนอยู่ตรงกลางของลานเรือน ไม่เคลื่อนไหว นางใจนสูดลมหายใจแรง เกือบจะร้องะโออกมาอยู่แล้ว!
กระทั่งนางมองเห็นโฉมหน้าของคนผู้นั้น นางจดจำคนๆ นั้นได้ “เซวียนหยวนเช่อ?!”
คนที่ตากฝน ถือตะเกียง สวมเสื้อคลุมสีดำ ยืนอยู่กลางลานเรือนมิใช่ใครอื่น แต่เป็เซวียนหยวนเช่อ!
ต่อให้ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แต่กลับไม่พบเห็นสภาพอเนจอนาถบนตัวเขา ในทางตรงข้าม ใบหน้าคมสันของเขาชวนมองราวกับเทพเ้า ดวงหน้าแข็งกระด้างที่ปรากฏท่ามกลางแสงมลังเมลืองของตะเกียงกลับดูเย้ายวนอย่างร้าย...
เฟิ่งเฉี่ยนทั้งใและแปลกใจ
เขามาทำอะไรที่นี่?
ซ้ำยังตากฝน?
เขายืนอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ในมือของเขาถือตะเกียงและใช้มุมของเสื้อคลุมบังเอาไว้ จึงทำให้ไฟในตะเกียงไม่ดับ
เขาไม่ได้ถือร่ม อาภรณ์บนร่างกาย เส้นผมเปียกชุ่มนานแล้ว เขากลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรและยังคงยืนอยู่ที่นั่นประหนึ่งเป็ูเาอันมั่นคง
เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้วกำลังจะเรียกเขา ประจวบเหมาะเห็นลั่วหยิ่งถือร่มวิ่งเข้ามาในลานเรือนอย่างรีบร้อน มาถึงเขารีบนำร่มไปบังศีรษะของเซวียนหยวนเช่อ
“ฝ่าา พระองค์มาเฝ้าเหนียงเหนียงจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ลั่วหยิ่งตกตะลึงพรึงเพริด “เหตุใดพระองค์จึงไม่กางร่มพ่ะย่ะค่ะ?”
เซวียนหยวนเช่อไม่พูดไม่จา คนทั้งคนราวกับถูกปิดผนึกอย่างไรอย่างนั้น ไม่ขยับไม่เคลื่อนไหว
ลั่วหยิ่งร้อนใจ “ล้วนเป็เพราะกระหม่อมปากมาก กระหม่อมไม่ควรเล่าเื่นั้น! แต่ต่อให้พระองค์จะมาเฝ้าเหนียงเหนียงก็ต้องกางร่มมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อครั้งบิดาของกระหม่อมยืนเฝ้านั้นเขายืนอยู่ใต้ชายคาเรือนจึงไม่ได้ตากฝน!”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวใจสะดุดกึก เฝ้า? เขามาเฝ้านางหรือ?
เซวียนหยวนเช่อพูดแค่คำเดียว “ไป!”
ลั่วหยิ่งไม่วางใจ “พระองค์เฝ้าเหนียงเหนียงเช่นนี้ ตากฝนจะทำให้ประชวรได้พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อพูดเสียงเฉียบขาด “ไป!”
“ฝ่าา...” ลั่วหยิ่งคิดจะเกลี้ยกล่อม เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตาคมปลาบถลึงใส่ เขารีบเก็บปากเก็บคำ ไม่กล้าพูดอะไรอีก และถอยออกไปเงียบๆ
นอกประตู เฟิงหยิ่งถลึงตากล่าวโทษลั่วหยิ่ง “เ้าออกความเห็นบ้าบออะไรไป?”
ลั่วหยิ่งแบมือ “ข้าคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าฝ่าาจะเอาจริง”
เฟิงหยิ่งถอนใจ “อย่าเห็นว่ายามปกติฝ่าาดูแล้วเ็าแล้งน้ำใจ ทันทีที่เขารักใคร เขาจะรักหัวปักหัวปำกว่าใครทั้งสิ้น ขอให้เหนียงเหนียงเข้าใจถึงความในใจของฝ่าาโดยเร็ววันเถอะ!”
ในเรือน เฟิ่งเฉี่ยนมองเงาร่างสูงใหญ่ของเซวียนหยวนเช่อที่ยืนตากลมตากฝนอยู่ด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น
นางรู้ว่าเขากำลังใช้วิธีเช่นนี้ขอให้นางเข้าใจเขา แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่านาง้าอะไร!
ไม่ได้ นางจะใจอ่อนไม่ได้!
ทันทีที่นางใจอ่อน นางก็จะหมดสิ้นหนทางไปจากที่นี่ จะต้องถูกกักขังอยู่ในตำหนักในที่นางแทบจะหายใจไม่ออกตลอดกาล ต้องอยู่ท่ามกลางมารยาเล่ห์กลของสตรีนับร้อยและการแย่งชิงความโปรดปราน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า วันหนึ่งตัวนางจะกลายเป็คนชนิดนั้นที่นางดูแคลนที่สุด
นางไม่อยากมีชีวิตเช่นนี้
ต่อให้เขาเป็บุรุษที่ทำให้จิตใจของนางอ่อนไหว ต่อให้ความรักครั้งนี้จะงดงามเพียงใด แต่นางยอมรับไม่ได้ สิ่งที่นาง้าคือความรักระหว่างคนสองคนที่จะมีเพียงกันและกันไปตลอดชีวิต สิ่งนี้เขามอบให้นางไม่ได้!
[1] จงขุย คือเทพปราบในตำนานผู้เลื่องชื่อของจีน ที่ผู้คนนิยมใช้ภาพของท่านแขวนไว้ในบ้านเพื่อขับไล่ปัดเป่าสิ่งไม่ดีภูติผีปีศาจรวมไปถึงคุณไสยมนต์ดำทั้งหลาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้