ขบวนคาราวานรถม้านับสิบคันรถได้มุ่งตรงสู่ทางสายหลัก เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างแคว้นอันเป็จุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ทว่าเมื่อออกจากเมืองหลวงของแคว้นได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นายกองผู้ควบคุมรวมไปถึงบรรดาผู้คุ้มกันนับครึ่งร้อยชีวิตต่างตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดอย่างเสียไม่ได้
เส้นทางรถม้าที่เคยผ่านไปกลับนับร้อย นับพันครั้ง เพื่อขนส่งสินค้าไปยังหัวเมืองตามแคว้นต่าง ๆ ใกล้เคียง ครั้งนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป หนึ่งชั่วยามให้หลังมานี้ผืนป่าใน่กลางวันอันเป็่เวลาแห่งการใช้ชีวิตของทุกสรรพสิ่งทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงขับขานดังกล่าว บรรยากาศโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยหมอกควันสีขาวลอยต่ำ ความเย็นะเืที่สายลมได้พัดพากระทบให้รู้สึกนั้นชวนให้หวาดกลัวยิ่ง
"พวกเ้าทุกคนเฝ้าระวังให้ดี อย่าได้ประมาทเป็อันขาด!!!" เสียงทุ้มต่ำจากชายวัยกลางคนผู้เป็หัวหน้าขบวนคาราวานรถม้าขนส่งสินค้า ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เพื่อเน้นย้ำว่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้หาใช่เื่ปกติไม่
อากาศที่ลดลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับกลุ่มหมอกควันหนาสีขาวได้ลอยต่ำลงจนแสงสว่างใดก็ไม่อาจเล็ดลอดจากยอดไม้สูงทั้งสิ้น เสียงสวบสาบอันไร้ซึ่งที่มาได้สร้างความหวั่นวิตกหวาดกลัวกัดกินในใจเหล่าบุรุษผู้กล้าในขบวนรถม้านี้ได้ไม่น้อย สองมือหยาบกร้านได้บีบกระชับกระบี่ในมืออย่างมั่นคง ท่ามกลางความสงบนิ่งไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดเคลื่อนไหว ทุกสายตาต่างสอดส่องระวังอย่างไม่ยอมให้สิ่งใดคาดสายตาไปได้
เสียงร้องะโอย่างสุดเสียงที่ดังขึ้นด้วยความใสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีเป้าหมาย นั่นคือบรรดาผู้คุ้มกันและผู้ร่วมเดินทางในคาราวานขบวนรถม้าครั้งนี้ เมื่อเข้ารัดร่างเป้าหมายตามที่้าแล้วจึงตวัดเส้นใยดึงเป้าหมายเหล่านี้ลอยหายไปในความมืดมิดอนันตกาลนี้ ก่อนที่เสียงร้องทรมานโหยหวนจะเงียบหายไปในระยะที่ห่างไปก่อนจะเงียบหายลงไปในที่สุด
"ปล่อยข้านะ!!! โอ้ย ช่วยข้าด้วย!!!" เสียงร้องอย่างเสียขวัญดังสะท้อนไปทั่วทั้งคาราวานขบวนรถม้า แม้จะขัดขืนด้วยพละกำลัง หรือต่อต้านด้วยพลังโจมตีต่าง ๆ ก็ไม่อาจหยุดเหตุร้ายในครั้งนี้ได้โดยง่าย
เสียงโหยหวนอ้อนวอนร้องขอชีวิตดังขึ้น ก่อนจะเงียบลงเมื่อลมหายใจสุดท้ายได้ถูกมัจจุราชพิพากษาให้ดับสูญไปอย่างไม่หวนกลับ ความหวังสุดท้ายที่จะมีชีวิตรอดเพื่อบอกลาบุคคลอันเป็ที่รักได้ถูกทำลายไปสิ้น ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งสมบูรณ์ได้แปรเปลี่ยนเป็เหี่ยวแห้งซูบผอมย่นติดกระดูก
เงาร่างสีดำทมิฬได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ปราณมารนับสิบสายได้พุ่งเข้าทะลุพร้อมกับดูดกลืนพลังิญญาด้วยความรวดเร็วหิวกระหาย ก่อนที่จะตวัดร่างไร้ิญญาที่ถูกดูดกลืนพลังชีวิตไปจนหมดสิ้นแล้วไปกองทับทมรวมกันตรงด้านหนึ่งกับผู้เคราะห์ร้ายก่อนหน้านี้ เพียงไม่ถึงเค่อเท่านั้นขบวนคาราวานรถม้าที่แต่เดิมมีผู้ร่วมเดินทางนับร้อยชีวิต ทว่าบัดนี้กลับไร้ซึ่งสัญญาณของชีวิตใดให้ััได้อีก
"ท่านนี่มันช่างน่ารังเกียจไม่เปลี่ยนเลยเสียจริง ความตะกละหิวกระหายโดยไร้ซึ่งความพอดีเช่นนี้ ช่างสิ้นเปลืองเกินความจำเป็ยิ่ง" เสียงหวานใสเอ่ยนำขึ้น ก่อนที่จะปรากฏเงาร่างที่งดงามน่าพิศมัย ทุกย่างก้าวเท้าเดินเต็มไปด้วยท่วงท่าที่ทรงเสน่ห์ยิ่ง
"มารราคะเช่นเ้าอย่าได้สอดรู้ เที่ยวสั่งสอนผู้อื่นเช่นนี้ บุรุษนับน้อยนับพันที่เ้าสะสมเป็ร่างสถิตมารในยามบำเรอนั่น ไม่แตกต่างจากข้าไปเท่าไหร่นัก!!" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหส่งตรงไปถึงร่างงามของผู้ที่มาเยือน
"วาจาของมารฝันเหตุใดจึงทำร้ายจิตใจอันบอบบางของข้ายิ่ง ช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเสียจริง..." ดวงหน้าที่งามล้ำเกินกว่ามนุษย์แสร้งเง้างอนอย่างมีจริต เมื่อเห็นว่ามารหนุ่มตรงหน้าไร้ซึ่งบทสนทนาตอบกลับมา นางจึงหยุดกิริยายั่วยวนไปเสียในที่สุด
เพียงแค่มารหนุ่มตวัดมือเพียงครั้ง ร่างไร้ิญญาอันเหี่ยวย่นของผู้เคราะห์ร้ายที่เข้าร่วมในขบวนคาราวานรถม้าครั้งนี้ ที่กองพะเนินอยู่ไม่ไกลนั้นได้สูญสลายเป็ฝุ่นละอองไปสิ้น ไม่เหลือหลักฐานในให้ได้สืบสาวได้ถึง เสียงหัวเราะอย่างมีจริตของมารสาวจะดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างของทั้งสองจะปรากฎอยู่ในที่คุ้นตา
มารหนุ่มได้ทรุดตัวนั่งลงบัลลังก์ที่มองไปแล้วคล้ายคลึงกับกองกระดูกสีดำวับ สายตาอันเฉยชาจ้องมองมารสาวที่ตอนนี้กำลังใช้มือเรียวงามของนางลูบไล้ตรงแผ่นอกอย่างมีความหมายโดยนัย นางผู้นี้แม้ภายนอกจะงดงามเพียงใดแต่นั่นเป็เพียงเปลือกนอกที่ทำจากหนังมนุษย์เท่านั้น เพราะภายในที่แท้จริงนั่นคือมารราคะผู้มีศักดิ์เป็ถึงหนึ่งในสามผู้นำลัทธิมารสาขาย่อย ผู้ชื่นชอบสูบกลืนพลังชีวิตจากเหยื่อบุรุษผ่านการเสพสังวาส เมื่อเห็นว่ามารหนุ่มไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมด้วย นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ท่านใจร้อนเกินไปรู้หรือไม่? พึ่งจบงานประลองของแคว้นเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ทว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงมากความสามารถที่เข้าร่วมลงประลองต่างหายตัวไปอย่างปริศนา แม้สิ่งนี้จะสามารถเพิ่มพูนพลังปราณแก่นายท่านได้ก็จริง แต่ด้วยความผิดปกติจนสังเกตเห็นในระยะหลังนี้พวกมันจึงได้เพิ่มการระวังมากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว..." สายตาอันทรงเสน่ห์จ้องมองไปทั่วทั้งร่างกายของมารหนุ่มอีกครั้ง มือเรียวบางลูบไล้เปิดเผยอกแกร่งที่ถูกซ่อนไว้ใต้ร่มผ้า ใบหน้างามวางทาบทับโน้มลงอย่างิ่เหม่
"นายท่านส่งสารแจ้งว่า่นี้ให้เหล่ามารจงปิดด่านเก็บตัวให้ข่าวลือในยุทธภพจางหายไปเสียก่อน และเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ทุกความแค้นใดที่ท่าน้าชำระ ข้าผู้นี้ล้วนสนับสนุนท่านทั้งสิ้น!!!" เสียงอันเย้ายวนปลอบประโลมอีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างทั้งสองจะเลือนหายไปในที่สุด...
ระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้บรรดาศิษย์พี่ร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ต่างทยอยออกเดินทางจากสำนักกันเกือบทุกคนแล้ว คงเหลือแต่เพียงศิษย์พี่ใหญ่โจวเซิน ศิษย์พี่ห้าไป๋เหลียนฮวา ศิษย์พี่หกหลิวหลวน ส่วนหนิงอ้ายที่เป็ศิษย์ผู้สืบทอด ศิษย์ลำดับที่เจ็ดคนสุดท้ายนั้นด้วยเพราะการตัดผ่านเลื่อนระดับราชทินนามเทวะิญญา่ที่ผ่านมา จึงถือว่ามีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับศิษย์พี่อื่น ๆ
ศิษย์พี่โจวเซินนั้นหนิงอ้ายรับรู้เพียงว่าไม่กี่เดือนก่อนอีกฝ่ายได้เข้าด่านเก็บตัวเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลื่อนขั้นตัดผ่านเป็ผู้ฝึกตนราชทินนามขั้นสูงอย่างเต็มตัว สำหรับศิษย์พี่หลิวหลวนอีกไม่ถึงสิบวันอีกฝ่ายก็จะเริ่มออกเดินทางแล้วเช่นกัน เนื่องจากว่าตอนนี้อีกฝ่ายสามารถเลื่อนระดับเป็ราชทินนามราชันิญญาขั้นต้นได้แล้วนั่นเอง
แน่นอนว่าศิษย์พี่ไป๋ หรือไป๋เหลียนฮวาด้วยเพราะเป็สตรี ดังนั้นกฎเกณฑ์ที่ถูกยึดถือปฏิบัติจึงมีความแตกต่างออกไป ครั้งอดีตตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาก็เคยรับศิษย์เป็สตรีเช่นกันด้วยความสามารถพร์อันโดดเด่น อีกฝ่ายจึงได้รับเลือกจากท่านบรรพชนเ้าตำหนักในขณะนั้น นางจึงเป็ศิษย์ผู้สืบทอดและเป็เ้าตำหนัก ผู้เป็สตรีเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้
นางจึงได้บัญญัติถึงข้อปฏิบัติเพิ่มเติมว่า ศิษย์ผู้เป็บุรุษยังคงต้องกระทำตามธรรมเนียมเดิมนั่นคือหลังจากบรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามต่อไปแล้ว ศิษย์คนดังกล่าวจะต้องออกจากสำนักเป็เวลาหนึ่งปี เพื่อนำวิชาความรู้ที่ได้รับการสั่งสอนจากสำนัก ใช้สิ่งนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าศิษย์ที่มีคุณสมบัติ สมควรแก่การปฏิบัติเช่นนี้ต้องเป็ผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาเป็ต้นไป
สำหรับศิษย์ผู้เป็สตรีสังกัดในตำหนักจะต้องอยู่ประจำการในตำหนัก มิต้องออกจากสำนักเพื่อทำภารกิจใด เพียงแต่หน้าที่ในการดูแลความเรียบร้อยของตำหนัก ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีให้หลังจะต้องเป็ผู้กำกับดูแลด้วยตนเองทั้งสิ้น และในทุก ๆ สามสิบวันจะต้องออกเดินทางไปยังเมืองหมอกทมิฬ อันเป็เมืองปกครองภายใต้การดูแลของทางสำนักศึกษา เพื่อช่วยดูแลในเื่ของการรักษานั่นเอง
วันคืนได้สลับหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน หนิงอ้ายยังคงฝึกฝนเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่ถือครองอยู่เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน นอกจากนั้นแล้วในตอนนี้โอสถระดับสามที่หนิงอ้ายได้ปรุงขึ้นมานั้นถือได้ว่ามีความบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่าแปดส่วนเลยทีเดียว อีกทั้งระยะเวลาในการหลอมโอสถนั้นยังใช้เวลาที่น้อยลงทว่ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพทั้งสิ้น
เหวินหวู่ผู้เป็อาจารย์ ผู้เป็เ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ คล้ายกับว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายก่อนหน้าถือว่าคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว จากที่ศิษย์พี่เฟยหลงได้บอกให้รับรู้ ตอนนี้ศิษย์ที่ถูกปราณมารนั้นได้รับการช่วยเหลือจนฟื้นคืนสติแล้ว จนสามารถให้ข้อมูลที่เป็ประโยชน์ไปไม่น้อยทีเดียว
ดังนั้นก่อนที่หนิงอ้ายจะต้องออกจากสำนักเพื่อออกทำภารกิจดังเช่นศิษย์พี่ท่านอื่นที่ได้ล่วงหน้าเดินทางไปก่อนแล้ว เหวินหวู่ผู้เป็อาจารย์ได้เร่งสั่งสอนและถ่ายทอดสิ่งที่คาดว่าจำเป็ให้แก่หนิงอ้ายทั้งสิ้น ยิ่งล่วงความลับที่ว่าศิษย์ผู้สืบทอดของตนได้สิ่งใดจากมิติพิเศษของตำหนักแล้ว เขาจึงไม่หวงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตลอดหลายสิบปีนี้
หนิงอ้ายถือได้ว่าระยะเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น ก็ครบถ้วนไปด้วยคุณสมบัติของสมญานามปัญญาจารย์โอสถขั้นสูงแล้ว โอสถระดับสามในยามนี้หาใช่เื่ยากสำหรับเด็กหนุ่มอีกต่อไป ดังนั้นเหวินหวู่จึงเริ่มสั่งสอนการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสี่ไปบางชนิด พร้อมกับถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรพิษพื้นฐานทั้งหมด รวมไปถึงโอสถพิษแปลกประหลาดต่าง ๆ ยิ่งหนิงอ้ายมีการตอบรับและเรียนรู้ได่อย่างรวดเร็วมากเท่าใด ชายชรายิ่งรู้สึกภูมิใจในตัวของเด็กหนุ่มผู้เป็ศิษย์ผู้สืบทอดของตนมากเท่านั้น
"วันนี้อาจารย์รบกวนเ้าไปยังร้านขายยาของสำนักประจำเมืองหมอกทมิฬให้อาจารย์ได้หรือไม่ มีสมุนไพรบางสิ่งที่จำเป็ต่อสูตรโอสถระดับสี่ที่อาจารย์ต้องสั่งสอนให้แก่เ้า..." เหวินหวู่แจ้งกับเด็กหนุ่มที่กำลังจัดเก็บสมุนไพรทั้งแบบสดและแบบแห้งที่อีกฝ่ายถือว่าเป็ผู้รับผิดชอบดูแลในระยะหลังมานี้
"ได้ขอรับท่านอาจารย์ สักยามเว่ย (13.00-14.59) ข้าจะจัดการธุระสิ่งนี้ให้เรียบร้อยนะขอรับ..." หนิงอ้ายรับคำดังกล่าว พร้อมกับรับกระดาษแผ่นหนึ่งที่จดสิ่งที่ชายชราผู้เป็อาจารย์ของตน้า เขารับรู้จากวิหคสอดแนมก่อนหน้านี้แล้วว่าวันนี้จะมีการเรียกประชุมหารือระหว่างท่านเ้าสำนัก เ้าตำหนักปกครองทั้งสี่ ผู้าุโคุมกฎสูงสุด รวมไปถึงบรรดาผู้าุโต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบสำคัญในสำนัก
หลังจากแยกตัวจากเรือนพักส่วนตัวของเหวินหวู่ผู้เป็อาจารย์แล้ว หนึ่งผู้ฝึกตน หนึ่งสัตว์อสูรต่างมุ่งตรงกลับเรือนพักติดป่าไผ่ของตน ครั้งนี้ต้าเฮยบอกให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายขอไปสำรวจตรงพื้นที่ส่วนด้านหลังของสำนัก หนิงอ้ายจึงเอ่ยเน้นย้ำให้อีกฝ่ายระวังตัว หากพบเจอสิ่งผิดปกติแล้วให้รีบถอยห่างในทันที แน่นอนว่าอสรพิษตัวน้อยได้พยักหน้ารับรู้พร้อมกับรับคำอย่างแข็งขันก่อนที่จะไปในเงามือทันที
หนิงอ้ายที่บรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามเทวะิญญา อีกทั้งได้ประสานร่างกายเข้ากับเสี้ยวดวงจิตของอสูริญญาัผีเสื้อจักรพรรดินิรันดร์รัตติกาลไป คล้ายกับว่าสายเืของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์จะเข้มข้นขึ้นอีกเล็กน้อย สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งส่งเสริมให้เนตรแห่ง์ของหนิงอ้ายสามารถมองทะลุทลวงได้มากยิ่งขึ้นหลายเท่า
เด็กหนุ่มจึงรับรู้ได้ว่าต้าเฮยนั้นถึงกับเป็สัตว์อสูรตำนานระดับสูงที่มีเศษเสี้ยวของสายเืาไหลเวียนอยู่ ด้วยสังกัดปราณรัตติกาลธาตุของเ้าอสรพิษตัวน้อยนี้จึงสามารถเคลื่อนไหวแฝงไปกับเงาได้อย่างอิสระ รวมไปถึงความสามารถทักษะเฉพาะตัว ดังนั้นหนิงอ้ายจึงมั่นใจว่าต้าเฮยย่อมไม่ตกอยู่ในอันตรายได้โดยง่าย ลูกไม้ในแขนเสื้อของอีกฝ่ายที่ถูกเก็บซ่อนไว้ไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด
หลังจากปรับเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าสีเขียวขาว อันเป็สัญลักษณ์ของศิษย์ประจำตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแล้ว หนิงอ้ายไม่ลืมห้อยป้ายหยกสำคัญระบุตัวตนทั้งสอง หนึ่งคือป้ายหยกประจกตัวของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา สองนั่นคือป้ายหยกสีเขียวอ่อนที่ได้รับมาจากสมาคมสมาพันธ์นักปรุงยา ที่แสดงถึงสมญานามปัญญาจารย์โอสถขั้นกลาง หรือนักปรุงโอสถระดับสองนั่นเอง
เพียงหนึ่งเค่อให้หลัง หนิงอ้ายก็มาถึงประตูทางออกของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแล้ว สองเท้าก้าวเดินผ่านอาคารต่าง ๆ ภายในตำหนัก ก่อนที่ตรงประตูทางออกนั้นจะปรากฏเป็สองบุรุษกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคุ้นเคย อีกหนึ่งบุรุษวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานนั้นย่อมเป็ท่านเจียงเฉิง ผู้เป็เ้าสำนักศึกษาแห่งนี้
"หนิงอ้าย คำนับท่านเ้าสำนักศึกษาเจียงเฉิงขอรับ!!" หนิงอ้ายประสานมือโค้งคำนับด้วยมารยาทของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่พึงกระทำต่อผู้าุโ
"เป็อย่างไรบ้างเ้า มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องอย่างไรหรือไม่??" เจียงเฉิงเอ่ยถามด้วยความเอ็นดู เขาย่อมรับรู้ถึงภูมิหลังของเด็กหนุ่มตรงหน้ามาบ้างแล้วเช่นกันจากคำบอกเล่าของผู้าุโเหวินหวู่ผู้เป็อาจารย์ของอีกฝ่าย กริยาท่าทางสุภาพอ่อนน้อมช่างสมกับเป็ลูกหลานของตระกูลหวังเสียจริง
ความก้าวหน้าของระดับพลังิญญาจากราชทินนามจักรพรรดิิญญาขั้นสูง ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้กลับบรรลุถึงเขตขั้นเทวะิญญาขั้นต้นได้อย่างสมบูรณ์ ความเลิศล้ำทางด้านโอสถยังกล่าวว่าเป็สิ่งน่าชื่นชมยกย่องไปไม่แพ้กัน เพราะเด็กหนุ่มสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จด้วย่วัยสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ สมญานามปัญญาจารย์โอสถที่อายุน้อยที่สุดในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ในรอบร้อยปี พันปี คงไม่เกินจริงไปนัก
ฐานะศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา หนึ่งในสี่ตำหนักปกครองของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ กล่าวได้ว่าความสำเร็จของเด็กหนุ่มได้สร้างชื่อเสียงแก่สำนักเป็อย่างมาก หลังจากทางสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถได้ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน ทางสำนักศึกษาต่างได้รับความสนใจ ได้รับแรงสนับสนุนจากหลากหลายทางไปไม่น้อยเลยทีเดียว
"ทุกอย่างล้วนเป็ไปด้วยดีขอรับ ท่านอาจารย์รวมไปถึงศิษย์พี่ท่านอื่นล้วนเมตตาเอ็นดูข้าเป็อย่างยิ่ง" หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย
เนตรแห่ง์ทำให้รับรู้ว่าภายนอกที่อาจดูว่าเป็เพียงชายวัยกลางคนท่าทางใจดีทั่วไป ทว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายเป็ถึงราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นผู้หนึ่งเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงเขตขั้นกลางได้แล้ว นับว่าเป็อีกหนึ่งผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง มากกว่านั้นท่านเ้าสำนักเจียงเฉิงผู้นี้ ยังเป็อีกหนึ่งในผู้ฝึกตนที่สามารถเรียกใช้สองิญญายุทธ์ สองปราณธาตุได้เช่นกัน
"อย่างไรข้าต้องขอแสดงความยินดีกับเ้าด้วยอีกครั้ง สมญานามปัญญาจารย์โอสถ นักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยปานนี้ เส้นทางเดินในฐานะนักปรุงโอสถของเ้าหลังจากนี้ย่อมโดดเด่นไม่แพ้ผู้าุโเหวินหวู่ ผู้เป็อาจารย์ของเ้าอย่างแน่นอน..."
"ทุกอย่างล้วนเป็ความเมตตาที่ท่านอาจารย์คอยสั่งสอนแก่ข้าขอรับ!!" หนิงอ้ายยิ้มรับคำด้วยรอยยิ้ม กว่าครึ่งของความสำเร็จนี้ล้วนเป็ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานหลายสิบปีของชายชราที่ถ่ายทอดแก่เขาทั้งสิ้น
"ช่างนอบน้อมถ่อมตนยิ่งนัก...แล้วนี่เ้าคงต้องจัดการบางสิ่งอย่างให้กับอาจารย์ใช่หรือไม่?"
"เป็เช่นนั้นขอรับ ท่านอาจารย์ไหว้วานให้ข้าไปหาซื้อสมุนไพรรวมไปถึงสิ่งของจำเป็อื่น ๆ ที่เมืองหมอกทมิฬขอรับ... "
"เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาเ้าแล้ว รีบไปจัดการธุระให้ผู้าุโเหวินหวู่เสียเถอะจะได้เสร็จก่อนมืดค่ำ อย่างไรให้เ้าตงหยางไปด้วยเสียแล้วกัน..." แม้ว่าเมืองหมอกทมิฬจะเป็เมืองปกครองของทางสำนักศึกษาก็จริง ระยะทางไปกลับจะกล่าวว่าไม่ใกล้ไม่ไกลก็ไม่เชิง
"ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็กังวล ข้าจะดูแลศิษย์น้องให้เป็อย่างดีขอรับ..." เจียงเฉิงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะมุ่งตรงไปยังทางเข้าของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา คาดว่าคงมีธุระจัดการบางอย่างกับเหวินหวู่ผู้เป็เ้าตำหนักอย่างแน่นอน
"ข้าสะดวกเดินทางเพียงผู้เดียว ไม่รบกวนศิษย์พี่ตงหยางขอรับ" แน่นอนว่าผู้อื่นยังไม่ทราบถึงตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้า ดังนั้นการเรียกขานยามพบเจอกันข้างนอก หนิงอ้ายจึงเรียกชื่อเ้าของร่างของอีกฝ่ายแทน
"ไม่ถือว่าเป็การรบกวนแต่อย่างใด อีกอย่างท่านเ้าสำนักได้ฝากฝังศิษย์น้องไว้กับศิษย์พี่แล้ว ย่อมไม่สามารถปฏิเสธได้" เฟยหลงตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มเ้าเล่ห์ออกมาให้หนิงอ้ายเห็นแต่เพียงผู้เดียว ก่อนที่จะเดินนำอีกฝ่ายไปในทันที
"นี่ท่าน!!" หนิงอ้ายย่อมรู้ดีที่สุดว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นเอาแต่ใจเพียงใด
ภาพของศิษย์พี่ตงหยาง ผู้เป็ศิษย์สืบทอดของท่านเ้าสำนักเจียงเฉิง หรืออีกหนึ่งฐานะที่ทุกคนล้วนกระจ่างแก่ใจว่าศิษย์พี่ผู้นี้คือว่าที่เ้าสำนักศึกษาคนต่อไปในวันข้างหน้า ท่าทางคุ้นเคยสนิทสนมที่ชายหนุ่มมอบให้กับศิษย์ใหม่นามว่าหนิงอ้าย ศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้น ล้วนเป็การกระทำที่เรียกความสนใจแก่ผู้คนโดยรอบอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้เื่ราวของเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายต่างเป็ที่พูดถึงเป็อย่างมาก ฐานะศิษย์ผู้สืบทอดที่อีกฝ่ายได้รับมาใน่ไม่กี่เดือนนับว่าเป็เื่น่าแปลกประหลาดใจแล้ว ยิ่งกับข่าวลือที่ว่าหลังจากจบการทดสอบเข้าสำนักศึกษาได้เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน อีกฝ่ายกลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสอง สมญานามปัญญาจารย์โอสถได้สำเร็จ สิ่งนี้ล้วนน่าเหลือเชื่อเกินไปในความรู้สึก ทว่าเมื่อเห็นเด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ ตรงข้างเอวนั่นป้ายหยกอันแสดงตัวตนของนักปรุงโอสถระดับสองที่ไม่อาจปลอมแปลงได้โดยง่าย นับว่าเป็การตอกย้ำว่าข่าวลือที่พูดถึงอีกฝ่ายในระยะหลังมานี้ล้วนเป็จริงทั้งสิ้น
ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองคนก้มาถึงบริเวณทางออกของสำนักศึกษาแล้ว ผู้าุโท่านหนึ่งที่ดูแลประจำการในวันนี้ได้พูดคุยกับเฟยหลงอย่างถูกคอก่อนที่จะเอ่ยลากันเล็กน้อย จากนั้นหนิงอ้ายกับเฟยหลงจึงมุ่งตรงไปยังเส้นทางตรงหน้า นับว่าเป็เส้นทางสายหลักที่ใกล้ที่สุดในการเดินทางไปยังเมืองหมอกทมิฬ แม้จะอยู่ห่างไปถึงร้อยลี้แต่ยังนับได้ว่าเมืองนี้นั้นถือว่าอยู่ใกล้กับสำนักศึกษามากที่สุดเช่นกัน
"จากตรงนี้หากใช้วิชาตัวเบาคงใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ศิษย์น้องสนใจแข่งกับข้าหรือไม่?? ผู้ชนะสามารถร้องขอบางสิ่งกับผู้แพ้ได้หนึ่งประการ" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเ้าเล่ห์ออกมา
"ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าข้าเป็ฝ่ายที่เสียเปรียบไปไม่น้อย หวังว่าท่านจะไม่ใช้กลโกงพิศดารใดในครั้งนี้..." จนถึงตอนนี้เนตรแห่ง์ยังไม่อาจรับรู้ได้ถึงระดับพลังิญญาของอีกฝ่ายได้ สิ่งนี้จึงได้สร้างความรำคานใจแก่เขาไปไม่น้อย
"ฮ่าฮ่าฮ่า ครั้งนี้ข้าจะใช้เพียงเคล็ดวิชาตัวเบาขั้นพื้นฐานแต่เพียงเท่านั้น และให้หนิงเอ๋อร์ล่วงหน้าไปก่อนข้าสักหนึ่งเค่อ..."
"ท่านเอ่ยแล้วอย่าได้คืนคำเป็อันขาด เช่นนั้นตามข้าให้ทันแล้วกัน!!" หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส
ไม่รอช้าเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ในยามถูกเรียกใช้ด้วยระดับพลังเทวะิญญาเช่นนี้ กล่าวได้ว่าไม่อาจดูเบาได้ ร่างบางของเด็กหนุ่มพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความรวดเร็ว เฟยหลงได้แต่ยกยิ้มชอบใจออกมา นิสัยชอบแข่งขันของอีกฝ่ายนั้นยังคงเป็สิ่งที่สร้างความประทับใจแก่เขาไม่รู้ลืม
เวลาผันผ่านครบกำหนดถึงหนึ่งเค่อ เฟยหลงเร่งเร้าพลังลมปราณระดับราชันิญญาที่ถูกสะกดข่มให้อยู่เพียงเขตขั้นดังกล่าว หลังจากโคจรเร่งเร้าลมปราณประสานเข้ากับเคล็ดวิชาตัวเบาแล้ว จึงรีบเร่งไล่ตามหลังหนิงอ้ายไปตามเส้นทางในทันที ครั้งนี้เป็เขาที่ต้องเป็ฝ่ายชนะเท่านั้น แม้จะพุ่งทะยานด้วยความรวดเร็วมาก ทว่าภายในใจของชายหนุ่มยังคงเฝ้าครุ่นคิดว่าคำขอหนึ่งประการนั้นเป็ควรเป็สิ่งใด...
