แม้หลี่ลั่วจะไม่ชอบหลี่เหล่าไท่ไท่ แต่การที่องค์ชายสามกล่าวเช่นนี้ไม่ได้กำลังช่วยเหลือเขา ทว่ากลับชัดเจนยิ่งนักว่ากำลังตบหน้าของจวนโหว และเขาเป็เ้าของจวนโหว หลี่เหล่าไท่ไท่เกี่ยวพันกับหน้าตาของหลี่เหล่าไท่เหฺย หน้าของหลี่เหล่าไท่เหฺยและจวนโหวก็คือหน้าตาของหลี่ลั่ว ตบหน้าของหลี่ลั่วก็เท่ากับตบหน้าฉีอ๋อง
องค์ชายสามช่างเป็คนที่มีนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เสียจริง เมื่อสักครู่ถูกกู้จวิ้นเฉินฉีกหน้า ยามนี้จึงคิดจะเอาคืนต่อ แต่ทว่า ครอบครัวตระกูลขุนนางนั้นถือเป็ครอบครัวเดียวกัน หลี่ลั่วสามารถข่มขู่หลี่เหล่าไท่เหฺย ต่อสู้กับหลี่เหล่าไท่ไท่อย่างไรก็ได้เป็การส่วนตัว แต่นั่นก็คือส่วนตัว ต่อหน้าธารกำนัล เขาไม่ยอมให้ผู้อื่นมาตบหน้าเขาแล้วเขายังต้องทำหน้ายิ้มๆ ตอบรับหรอกนะ
“พูดถึงเื่การลักพาตัวขึ้นมาแล้ว เื่นี้ยังต้องขอบคุณท่านพี่ฉีอ๋อง หากไม่ใช่ท่านพี่ฉีอ๋องพบเบาะแส ขุดรากถอนโคนพวกโจรลักพาตัวเด็กค้าขายมนุษย์เ่าั้ ไม่รู้ว่ายังจะต้องสูญเสียชีวิตของเด็กๆ ไปอีกมากมายเพียงใด” หลี่ลั่วพูด “คิดว่าองค์ชายสามเองก็คงได้ช่วยเหลือไปไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?
“...เื่นี้เป็น้องสี่ที่พบ เปิ่นกง[1]จึงพอดีได้รับความดีความชอบจากน้องสี่ไปด้วย” องค์ชายสามกล่าว “พูดขึ้นมาแล้วก็ยังต้องกล่าวว่าท่านย่าเลี้ยงผู้นั้นของเ้าก่อเื่ อบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดเอาเสียเลย”
หลี่ลั่วได้ยินแล้วราวกับนึกถึงเื่อันใดขึ้นมาได้ พลันหัวเราะฮ่าๆๆ
องค์ชายสามและผู้คนรอบข้างล้วนแปลกใจ ไม่รู้ว่าเ้าเด็กคนนี้หัวเราะอะไร
“เปิ่นกงพูดอะไรน่าฟังขึ้นมาหรือ?” องค์ชายสามถาม
หลี่ลั่วส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าเพียงแต่คิดถึงเื่หนึ่งขึ้นมา เมื่อก่อนข้าไปเดินเที่ยวในตลาด ได้ยินชาวบ้านกำลังคุยกันว่าหลังเรือนของผู้ใดกันนะที่ไฟไหม้ ครอบครัวผู้ใดมีอนุอุ้มเด็กออกไปอาละวาด วันนี้องค์ชายสามพูดจาเช่นนี้ช่างเหมือนกับพวกเขายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าองค์ชายสามก็ชมชอบที่จะฟังเื่นินทาเหมือนกันใช่หรือไม่?”
“นี่เ้า...เ้าบังอาจ” องค์ชายสามโกรธเกรี้ยว “เ้ากำลังถากถางว่าเปิ่นกงเหมือนสตรีปากยืดปากยาวเ่าั้ใช่หรือไม่?”
หลี่ลั่วกะพริบตาปริบๆ “สตรีปากยืดปากยาวหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? ยามที่ข้าเรียนปูพื้นฐาน ท่านอาจารย์สอนแต่เพียงคัมภีร์สามอักษรให้เท่านั้น และในคัมภีร์สามอักษรก็ไม่มีคำว่าสตรีปากยืดปากยาวพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้า...”
“แต่ข้าก็ชมชอบฟังเื่นินทาอยู่เช่นกัน” หลี่ลั่วใช้สายตาเทิดทูนบูชามองไปที่องค์ชายสาม “องค์ชายสาม ต่อไปหากท่านมีเื่นินทาของครอบครัวใดจะพูดให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เื่ของครอบครัวข้านั้นช่างเถิด เหล่าไท่ไท่บ้านข้านั้นอดีตสามีนางตายไปั้แ่นางยังสาวๆ มาแต่งให้กับท่านปู่ของข้าช่วยอบรมสั่งสอนลูกหลาน ท่านลุงใหญ่ของข้ารั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ในกั๋วจื่อเจียน บิดาของข้าเป็จงหย่งโหวขั้นหนึ่ง ต่อให้ไม่มีความดีของเหล่าไท่ไท่ก็มีความยากลำบากอยู่ดี ดังนั้น ข้าจึงยังคงคิดว่าฟังเื่นินทาของบ้านอื่นจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้า...เ้าพูดจาเหลวไหล” องค์ชายสามหรี่ตาลง “เสี่ยวโหวเหฺยอายุน้อยเท่านี้ ปากคอเราะร้ายนัก”
“ไฉนจะมิใช่เล่าพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วยิ้มอ่อนหวานอีกครั้ง “แม้ข้าจะตัวเล็ก แต่พอจะเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง คนโบราณกล่าวไว้ว่า เื่ในครอบครัว เื่ในแคว้น เื่ในใต้หล้านี้ เื่นินทาเริ่มจากเื่ในครอบครัว ครอบครัวกระทบต่อขุนนางใหญ่ทุกท่าน ทำให้พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจหรือสมาธิที่จะทำงาน กระทั่งมองข้ามเื่ระดับภาคแคว้น สำหรับเื่ในใต้หล้านี้นั้น ข้ายังเล็ก ไกลตัวเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆๆ...ช่างเป็ประโยคที่กล่าวถึงเื่ครอบครัว เื่แคว้น เื่ใต้หล้าได้ดียิ่ง” เสียงก้องกังวานของจ้าวหนิงฮ่องเต้ลอยเข้ามา “ช่างเป็บุตรชายหลี่ซวี่โดยแท้ ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อแคว้นเช่นเดียวกับหลี่ซวี่”
“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นรีบคารวะตามธรรมเนียม กู้จวิ้นเฉินลุกจากที่นั่งมายืนข้างกายหลี่ลั่ว จ้าวหนิงฮ่องเต้ผายมือขึ้น “ลุกขึ้นเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนลุกขึ้น สายตามองไปที่จ้าวหนิงฮ่องเต้
มองเห็นเพียงจ้าวหนิงฮ่องเต้ในชุดคลุมัสีเหลืองสว่าง ยืนเด่นเป็สง่าน่าเกรงขามอยู่ทางด้านหนึ่ง ข้างกายของเขายังมีนักบวชอีกท่านหนึ่ง นักบวชท่านนั้นอยู่ในชุดคลุมจีวรห่มด้วยกาสาวพัสตร์แบบพระสงฆ์จีน มองดูแล้วเคร่งขรึมยิ่งนัก
นักบวชท่านนี้มีทั้งคนที่รู้จักและก็มีคนที่ไม่รู้จักเช่นกัน ท่านผู้นี้ก็คือก่วงฉือไต้ซือนั่นเอง
“เ้าลองพูดมาซิ ว่าเมื่อใดที่เ้าจะไม่สนใจเื่นินทา แล้วเริ่มให้ความใส่ใจเื่แคว้น?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เดินมาเบื้องหน้าหลี่ลั่ว
คำตอบของหลี่ลั่วรวดเร็วยิ่งนัก “รอให้ฝ่าาแต่งตั้งให้กระหม่อมรั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมจะเอาใจใส่เื่แคว้น”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ตกตะลึง จากนั้นจึงร้องฮึขึ้นครั้งหนึ่ง “ฝีปากไม่เบาเลยทีเดียว เ้ามีความสามารถนี้หรือไม่?”
หลี่ลั่วยืดอกขึ้น ร่างกายเล็กๆ ของเขา ทว่ากำลังใจไม่เล็ก “ในสมัยโบราณมีกานหลัวอายุสิบสองปีเป็อัครมหาเสนาบดี กระหม่อมหลี่ลั่วในฐานะลูกหลานของหลี่หนานผู้มีความดีความชอบในการก่อตั้งราชวงศ์ สกุลหลี่ทั้งครอบครัวมีจิ้นซื่อสองคน ย่อมมีความสามารถเช่นนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“นิทานอิงประวัติศาสตร์นั่นเป็จริงเป็จริงเช่นนั้นหรือ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ฟังเขาพูดแล้วหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แม้หลี่หนานจะเป็ขุนนางก่อตั้งราชวงศ์ แล้วเกี่ยวข้องกับที่เ้าจะมีความสามารถในการเป็อัครมหาเสนาบดีอย่างไรเล่า?”
“การสืบทอดทางพันธุกรรมพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วตอบอย่างไหลลื่น แล้วยังพูดประจบฝ่าาอีกว่า “ไท่จู่ผู้ทรงก่อตั้งราชวงศ์คือบรรพบุรุษของฝ่าา พระองค์ทรงเป็แม่ทัพนำสามเหล่าทัพ วีรบุรุษไร้ซึ่งศัตรู นี่มิใช่สิ่งที่สืบทอดจากองค์ไท่จู่หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ในเมื่อมีบรรพบุรุษที่เก่งกาจสืบทอดลงมา กระหม่อมเองก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
พรืด...คำสอพลอนี้...จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ยืดอกขึ้นคงไม่ได้ “หากวันนี้เจิ้นให้เ้าเป็อัครมหาเสนาบดีเล่า เ้าจะทำอย่างไร?”
“ฝ่าา?”
“เสด็จพ่อ?”
“เสด็จอา?”
จ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นเป็ฮ่องเต้ของแผ่นดิน อัครมหาเสนาบดีเป็หัวหน้าของหกกรมในฝ่ายบริหารบ้านเมือง เื่เช่นนี้หากจะนำมาล้อเล่น ก็ยังทำไม่ได้
“กระหม่อมสามารถทำให้นักรบที่ปกป้องรักษาชายแดนไม่ต้องทนหิวและทนเหน็บหนาวอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วคุกเข่าลง ทว่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่จ้องมองจ้าวหนิงฮ่องเต้
ที่จริงแล้วคำพูดของจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นไม่ได้มีความหมายจริงจังอันใด เขาเพียงแต่้าหยอกล้อหลี่ลั่วเท่านั้น หากแต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับปฏิกิริยาตอบรับรุนแรงถึงเพียงนี้ เมื่อหกปีก่อนเมื่อยามที่ไท่จื่อเยี่ยนทรงสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งอัครมหาสนาบดีนี้ก็ว่างลง เว้นว่างไว้มาเป็เวลาถึงหกปีจึงได้มีคนยกเื่นี้ขึ้นมากล่าวถึง มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังลอบเคลื่อนไหวอยู่ภายในเงามืดอย่างช้าๆ
บางทีคำพูดประโยคนี้ของจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นก็เพื่อนำมาใช้กล่าวหยอกล้อหลี่ลั่ว และก็เพื่อนำมาใช้หยั่งดูท่าทีของทุกฝ่าย ผู้ใดเลยจะรู้ว่าความคิดของจ้าวหนิงฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาสามารถและชำนาญการศึกนั้นยากแก่การคาดเดายิ่งนัก ยกตัวอย่างเช่น การที่พระองค์พระราชทานสมรสหลี่ลั่วให้กับกู้จวิ้นเฉิน
“ได้ หากเ้ามีวิธีจริงแล้วละก็ เจิ้นย่อมให้เ้ารั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี” ฮ่องเต้...มีคำพูดดุจทองพันชั่ง กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ
“ฝ่าาโปรดใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฉินคุกเข่าลง
“ฝ่าาโปรดใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนอื่นๆ ล้วนคุกเ ข่าตาม
จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่เคลื่อนไหวใดๆ “เจิ้นนั้นออกมาจากชายแดน รู้ว่าความอบอุ่นสำหรับกำลังทหารนั้นสำคัญเพียงใด สำหรับความ้าของกองทัพแล้วนั้นสำคัญเพียงใด หากว่าเ้า...เ้า...และยังมีพวกเ้า ผู้ใดมีความสามารถแก้ไขปัญหาเสบียงอาหารและความอบอุ่นของกองทัพได้ เจิ้นล้วนสามารถให้ตำแหน่งโหวได้ทันที” ผ่านไปครู่หนึ่ง จ้าวหนิงฮ่องเต้จึงตรัสเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “หรือว่าจะให้เจิ้นสละตำแหน่งฮ่องเต้ให้ เจิ้นก็ให้ได้”
“เฉินมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางนับร้อยคุกเข่าลง ถูกทำให้ใเสียจนก้มหน้าต่ำ เหงื่อไหลเป็ทาง งานฉลองพระราชสมภพดีๆ งานหนึ่ง ไฉนจึงกลายเป็เช่นนี้ไปได้
“ลุกขึ้นเถิด วันนี้คือวันคล้ายวันพระราชสมภพของเจิ้น อย่าให้เื่นี้มาทำให้เสียบรรยากาศ” จ้าวหนิงฮ่องเต้เดินผ่านกลุ่มคนมานั่งในตำแหน่งประธาน
ขุนนางนับร้อยยืนขึ้น ได้ยินจ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสขึ้นว่า “ก่วงฉือไต้ซือ ถัดไปก็ยกให้ท่านแล้ว”
ก่วงฉือไต้ซือพยักหน้า
“ขุนนางเตรียมตัว ขึ้นไปชั้นหกหอลิ่วฉงเพื่อทำพิธีกราบไหว้” ไห่กงกงส่งเสียง
ขุนนางนับร้อยลุกขึ้นยืนตรง เข้าแถวทีละคนๆ จ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นนำหน้า ก่วงฉือไต้ซือเดินช้าลงหนึ่งก้าว ต่อมาคือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง ถัดมาคือองค์ชายสามและกู้จวิ้นเฉิน ด้านหลังองค์ชายสามคือเสนาบดีฉินเป็ผู้นำขุนนาง และด้านหลังกู้จวิ้นเฉินคือหลี่ลั่วเป็ผู้นำขุนนางผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์มาจากทางเชื้อสาย หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว กั๋วกงย่อมต้องอยู่หน้าโหว แต่ด้วยหลี่ลั่วนั้นถูกพระราชทานสมรสให้แก่ฉีอ๋อง และจงกั๋วกงยังเป็หลี่เฉินที่อยู่หลังเขา พวกเขาเกี่ยวข้องเป็อาหลานในครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจในเื่เหล่านี้
หอลิ่วฉงแน่นอนว่ามีหกชั้น เป็อาคารที่สร้างขึ้นมาั้แ่ก่อตั้งแคว้นจีน ทั้งเมืองหลวงรวมไปถึงทั่วทั้งแคว้นจีนหอที่สูงที่สุดก็เป็หอนี้ หอชมจันทร์มีเพียงแค่ห้าชั้น
แม้ว่าด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ทักษะการก่อสร้างอาคารของแคว้นจะล้ำหน้าเกินกว่าอาคารหกชั้นไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากหอลิ่วฉงนั้นเป็สถานที่ที่ใช้ทำพิธีกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษของราชวงศ์มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ดังนั้นการก่อสร้างหลังจากนี้ ล้วนต้องไม่สูงกว่าหอลิ่วฉง นอกเสียจากว่า...หอลิ่วฉงจะถูกสร้างใหม่
เมื่อไปถึงชั้นหก จ้าวหนิงฮ่องเต้ชูแก้วขึ้น ในแก้วรินเหล้าไว้เต็ม ไหว้บรรพบุรุษรุ่นก่อนเป็อันดับแรก จากนั้นก่วงฉือไต้ซือจึงเริ่มสวดมนต์ คนอื่นๆ นั่งสมาธิ นอกจากจ้าวหนิงฮ่องเต้ที่นั่งลงบนพรมแล้ว คนอื่นๆ ล้วนนั่งบนพื้น แต่บนพื้นสะอาดสะอ้าน มีคนมาทำความสะอาดทุกวัน
พื้นที่บนชั้นหกนั้นมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นขุนนางขั้นสามลงไปจึงนั่งสมาธิอยู่ที่ชั้นห้าและชั้นสี่
น้ำเสียงของก่วงฉือไต้ซือนั้นดังก้องกังวานราวกับสามารถทะลุทั้งหกชั้นได้ เสียงของเขาเริ่มสะท้อนออกไปจากชั้นที่หกก้องไปจนถึงชั้นล่าง พระธรรมนั้นลึกล้ำยิ่งนัก ขุนนางนับร้อยที่นั่งสมาธิอยู่ต่างก็เสแสร้งทำทีเป็จริงเป็จัง ผู้ใดจะฟังออกจริงๆ เล่า?
หลี่ลั่วรู้สึกว่าในหัวสมองมีเสียงดังหึ่งๆ เขารู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย จนกระทั่งรู้สึกว่าสายตาเริ่มฝ้าฟาง เขาอยากจะลืมตาค้างเอาไว้ แต่เปลือกตาของเขาราวกับมีแรงกดทับหนักนับพันชั่งคอยถ่วงรั้งไว้อยู่ ทำให้เขามองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ความรู้สึกเดียวที่เขายังรับรู้ได้อยู่ก็คือ เสียงของก่วงฉือไต้ซือ
“ตื่น เ้ารีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า” ทันใดนั้นก็มีคนกำลังเรียกเขา
เป็ผู้ใด...เป็ผู้ใดที่กำลังเรียกเขา? เป็กู้จวิ้นเฉินใช่หรือไม่? ไม่ใช่กู้จวิ้นเฉิน เสียงของกู้จวิ้นเฉินไม่ใช่แบบนี้ เสียงนี้...หลี่ลั่วลืมตาขึ้นพรึ่บ นี่เป็เสียงของตนเอง เป็เสียงที่เหมือนกับเสียงของตนเป็อย่างยิ่ง หรืออาจจะพูดได้ว่า เป็เสียงของเ้าของร่างนี้
“เ้า...” หลี่ลั่วอ้าปากค้าง น้ำเสียงนั้นแหบพร่ายิ่งนัก “เ้าคือ...หลี่ลั่ว” ที่แห่งนี้เป็ความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็สีขาว หลี่ลั่วมองเห็นเพียงเด็กชายตัวน้อยเบื้องหน้าที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับตนเองทุกประการ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเป็เสื้อผ้าที่สวมใส่เมื่อยามที่อยู่กับครอบครัวสกุลหลี่ในหมู่บ้านชนบท มันเก่าและเต็มไปด้วยรอยเย็บปะ แต่ทว่าได้รับการซักล้างอย่างสะอาดสะอ้านเป็อย่างดี
เด็กน้อยคนนี้ ไม่เหมือนตนเองเลยแม้แต่น้อย
เขาผู้มีความสุภาพอ่อนโยนและสง่างามยิ้มบางๆ มองมาที่ตน
นี่ต่างหากคือบุตรชายของหลี่ซวี่กับคุณชายลั่วผู้นั้นที่เล่าเรียนปูพื้นฐานเมื่อยามมีอายุได้สามขวบปี
“ข้าก็คือเ้า” เด็กน้อยเอ่ยปาก
“ไม่” หลี่ลั่วยืนกรานหนักแน่นพร้อมส่ายหัว “เ้าคือหลี่ลัว หลี่ลั่วที่เป็เ้าของร่างนี้ ข้าก็คือหลี่ลั่วเช่นกัน แต่ข้ามาจากโลกอีกใบหนึ่งซึ่งเป็โลกในอนาคต ในโลกของข้าใบนั้นก็มียุคสมัยโบราณ ทว่าไม่ใช่รัชสมัยเช่นนี้ ข้า...เป็เพียงแค่ดวงิญญาดวงหนึ่ง” บางทีอาจจะมีสักวันที่เขาจะจากที่นี่ไปอย่างกะทันหัน บางทีตัวเขาที่อยู่ในโลกใบนั้นอาจจะยังไม่ตาย เขาเพียงแต่ถูกญาติคนไข้แทงไปครั้งหนึ่งเท่านั้น เขาก็เพียงแค่...
หมดสติไป
และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเป็อยู่ในตอนนี้ก็อาจจะเป็เพียงแค่ความฝัน เมื่อตื่นจากฝันแล้ว เขาจะกลับไปถึงโลกเดิมของเขา ั้แ่ตอนที่หลี่ลั่วกลับมาถึงเมืองหลวง กลับมาถึงจวนโหว การกระทำของเขาในแต่ละเื่ล้วนไม่ได้เป็ฝ่ายกระตือรือร้นที่จะทำ อย่างเช่นการต่อสู้กับหลี่เหล่าไท่ไท่ ซึ่งเขาก็แค่ไม่อยากให้เหล่าไท่ไท่หนักข้อจนเกินไปก็เท่านั้น เขาสงสารหลี่หยางซื่อสามคนแม่ลูก
ที่ช่วยเหลือกู้จวิ้นเฉิน ก็คงจะเป็เพราะรู้สึกว่าการที่ชายหนุ่มหน้าตาดีเช่นเขาต้องมาตายั้แ่วัยหนุ่มเช่นนี้มันช่างน่าเสียดาย ที่ประจบจ้าวหนิงฮ่องเต้ ก็เพียงเพื่อ้าให้ตนเองอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยมีขุนเขาให้พึ่งพิงไม่ต้องพบกับความโศกเศร้าทุกข์ทรมาน แต่ตลอดมานั้นเขาไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเลย ความรู้สึกเช่นนั้นมักจะทำให้ผู้คนหลงระเริงมองโลกในแง่ดีมากเกินไป และหากคิดจะทำอะไรสักเื่ก็จะไม่รู้สึกปลอดภัยขึ้นมา
[1] เปิ่นกง (本宫) คือ คำที่องค์ชายใช้เรียกแทนตนเอง