หลินซีที่คิดวิธีหาเงินหลายวิธีแต่ในท้ายที่สุดเธอก็เลือกวิธีตั้งแผงขายอาหาร เพราะการตั้งแผงลอยขายอาหารในตอนนี้ง่ายและก็ยังไม่ค่อยมีคนทำ และที่สำคัญคือการตั้งแผงลอยขายอาหารใช้เงินทุนน้อย
ถึงแม้ลู่หานจะส่งเงินกลับมาให้เ้าของร่างทุกเดือน แต่เ้าของร่างก็ใช้เงินที่ถูกส่งกลับมาทั้งหมด ส่วนเงินสามสิบหยวนนี้เธอเพิ่งจะไปรับมา ตั้งใจจะเข้าไปซื้อของในเมืองในวันถัดมา แต่เธอกลับเสียชีวิตไปเสียก่อนทำให้เธอไม่ได้ใช้เงินสามสิบหยวนนี้ ทำให้หลินซีสามารถใช้เงินสามสิบหยวนนี้มาเป็ทุนสำหรับตั้งแผงลอยได้พอดี
เมื่อคิดได้แล้วว่าจะตั้งแผงลอยขายอาหารหลินซีก็คิดภายในหัวหลายอย่างว่าจะขายอะไรดี เมื่อลองวิเคราะห์ดูหลายอย่างแล้วในท้ายที่สุดหลินซีเลือกขายซาลาเปา เพราะซาลาเปากินง่ายซื้อแล้วก็สามารถเดินกินได้เลยไม่ต้องมีโต๊ะนั่งกินให้ยุ่งยาก
หลังจากกินข้าวเสร็จคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็นอนคุยกันอยู่บนเก้าอี้โยกในลานบ้าน
“ฉันว่าหลินซีดีขึ้นมากใน่นี้ทั้งทำอาหารและทำงานบ้าน” คุณแม่ลู่พูด
คุณพ่อลู่เองก็ทำหน้าครุ่นคิดและก็พูดว่า “ฉันว่าเป็แบบนี้มันก็ดีแล้วล่ะ”
“มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ ถ้าพวกเราทำงานในไร่กลับมาเหนื่อยๆ แล้วงานภายในบ้านเรียบร้อยหมดฉันกับคุณก็สบาย แล้วคุณก็ไม่ต้องฟังคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่ให้มากนักนะ” คุณแม่ลู่พูดพร้อมกับหันหน้าไปมองคุณพ่อลู่ด้วยสายตาจริงจัง
“ฉันไม่ค่อยสนใจคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่อยู่แล้ว คำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่จะเชื่อได้สักกี่ส่วนเชียว” คุณพ่อลู่ตอบกลับ
หลังจากนอนพักในลานบ้านไม่นานคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็ลงไปทำงานในไร่ส่วนหลินซีที่อยู่บ้านเธอก็ไม่ได้ออกไปไหน เพราะเธออยู่บ้านเพื่อเตรียมอาหารมื้อเย็น
อาหารมื้อเย็นก็เรียบง่ายมีเพียงแค่โจ๊กกับผักดองเพียงเท่านั้น
เช้าวันต่อมา
หลินซีตื่นั้แ่เช้าเพื่อลุกขึ้นมาทำอาหาร
คราวนี้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ไม่ได้ห้ามที่หลินซีจะเข้าครัวทำอาหาร แต่พวกเขาเพียงแค่นั่งมองจากลานบ้านเท่านั้น คุณแม่ลู่ก็รู้อยู่แล้วว่าหากไปเสนอตัวขอช่วยยังไงหลินซีก็ปฏิเสธอยู่ดี คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่เองก็ตั้งตารอสำหรับอาหารมื้อนี้เหมือนกัน
ส่วนหลินซีที่ทำอาหารอยู่ในครัวเธอก็ไม่ทำให้พ่อแม่สามีผิดหวัง เธอตั้งใจทำอาหารมื้อนี้เป็อย่างมากถึงแม้วัตถุดิบและเครื่องปรุงภายในบ้านจะมีไม่ครบก็ตาม
ไก่ในบ้านไข่ยังไม่ทันหายอุ่นหลินซีก็ไปเก็บไข่ของมันมาทำอาหารแล้วอาหารที่เธอเลือกทำวันนี้คือกุยช่ายผัดไข่
เมื่อคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ได้กินอาหารที่หลินซีทำบนใบหน้าของทั้งสองก็มีแต่รอยยิ้มเพราะแต่ก่อนอาหารที่สองสามีภรรยากินในแต่ละวันก็มีเพียงแค่ผักต้มกับน้ำเปล่าเท่านั้นไม่ได้ใช้เครื่องปรุงเลย แต่หลินซีทำอาหารเธอใส่ทั้งน้ำมันใส่เกลือและน้ำตาลใส่เครื่องปรุงทุกอย่างที่มีในบ้าน ส่วนคุณแม่ลู่แม้แต่น้ำมันหยดเดียวก็ยังไม่กล้าใช้เพราะประหยัด
หลังจากทำความสะอาดโต๊ะ ล้างจานเสร็จแล้วหลินซีก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะวันนี้เธอตั้งใจจะเข้าไปในเมือง หากจะเดินเท้าเข้าไปในเมืองเธอต้องใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งชั่วโมง
หลินซีที่เดินเท้าเข้าเมืองในตลอดทางที่เธอเดินผ่านเธอเห็นความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติเห็นชาวบ้านลงไปทำงานในไร่ ถึงแม้งานในไร่จะลำบากแต่เธอก็ยังเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา
เมื่อเข้ามาถึงในเมืองเธอเห็นถึงความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทเป็อย่างมาก ภายในเมืองก็มีคนเดินไปมาคึกคัก เมื่อเธอเดินไปที่ตลาดตามความทรงจำเธอก็เห็นว่ามีพ่อค้าแม่ค้านำของมาขายที่ตลาดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้การขายของจะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระแล้ว แต่คนส่วนมากก็ยังมีความกังวลและกลัวอยู่เหมือนเดิม จึงมีเพียงคนกลุ่มน้อยที่มีความกล้าออกมาขายของหรือตั้งแผงลอยขายอาหารและคนกลุ่มนี้ต่อไปก็จะกลายเป็คนรวย
หลินซีที่เดินดูของในตลาดจนทั่วในที่สุดเธอก็ตัดสินใจซื้อหมูติดมันสองชั่งและก็หมูเนื้อแดงสองชั่งและก็ซื้อหมูสามชั้นอีกสองชั่งเธอต้องจ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ขายหมูรวมทั้งหมด สิบสองหยวน
และเธอก็เดินไปซื้อแป้งอีกยี่สิบชั่งเธอจ่ายเงินไปทั้งหมดสองหยวน และก็ซื้อเครื่องปรุงอีกหลายอย่างเกลือน้ำตาลซอสซีอิ๊วน้ำส้มสายชู และก็น้ำมันพืช น้ำมันงา
ส่วนพวกผักไม่จำเป็ต้องซื้อเพราะมีปลูกเอาไว้ที่บ้านหากผักในบ้านไม่พอกินก็สามารถไปขอซื้อกับชาวบ้านในหมู่บ้านได้เพราะไม่ว่าบ้านไหนๆ ก็ปลูกผักกินทั้งนั้น
หลังจากหลินซีซื้อของทั้งหมดแล้วเธอก็ไม่คิดจะเดินกลับหมู่บ้านเพราะเธอคงแบกของพวกนี้ไม่ไหวเธอเลยเลือกขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน หลินซีต้องจ่ายเงินสองเหมาสำหรับค่าโดยสารกลับบ้าน
หลังจากลงรถโดยสารที่หน้าหมู่บ้านหลินซีก็รีบเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็วเพราะใกล้จะถึงเวลาอาหารเที่ยงของที่บ้านแล้ว อีกไม่นานพ่อแม่สามีของเธอที่ทำงานในไร่ก็คงกลับบ้านมา
เมื่อกลับมาถึงบ้านหลินซีก็วางของที่ซื้อมาไว้ในลานบ้าน จากนั้นเธอก็รีบตัดเอาหมูติดมันประมาณครึ่งชั่งเพื่อนำไปทำอาหารมื้อเที่ยงนี้
หมูครึ่งชั่งสำหรับอาหารมื้อเดียวอาจจะมากไปหน่อยแต่หลินซีอยากจะทำอาหารมื้อพิเศษให้พ่อแม่สามีทาน หลินซีเลือกทำหมูผัดเปรี้ยวหวานซึ่งเป็เมนูโปรดของเธอและเธอก็หวังว่าพ่อแม่สามีจะชอบเมนูนี้ และก็ทำหมูตุ๋นผักกาดดองอีกหนึ่งอย่างและก็ทำยำหัวไชเท้าไว้แก้เลี่ยน
หลินซีที่ทำอาหารยังไม่เสร็จแต่พ่อแม่สามีของเธอก็กลับมาบ้านแล้ว ทันทีที่ทั้งสองเปิดประตูเข้ามาในบ้านทั้งสองก็ได้กลิ่นของอาหารโชยมาแต่ไกล เมื่อเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นของที่หลินซีซื้อมาวันนี้วางอยู่ในลานบ้าน
คุณแม่ลู่รีบเดินเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ามาก็เห็นหลินซีกำลังตักหมูผัดเปรี้ยวหวานจากกระทะมาใส่จานพอดี
“คุณแม่กลับมาพอดีเลยค่ะหิวหรือยังคะ ฉันทำหมูผัดเปรี้ยวหวานและก็ทำหมูตุ๋นผักกาดดอง แล้วก็ตั้งใจว่าจะทำยำหัวไชเท้าด้วยรออีกสักพักนะคะเดี๋ยวก็เสร็จ”
คุณแม่ลู่ที่เห็นอาหารที่หลินซีทำก็อึ้งไปจนพูดไม่ออก
“ทำไมถึงซื้อของมาเยอะขนาดนั้น” คุณแม่ลู่พูดพร้อมกับชี้ไปที่ของที่วางอยู่ในลานบ้าน
“อ๋อของพวกนั้นหรอคะไว้กินข้าวเสร็จก่อนเดี๋ยวฉันจะอธิบายให้คุณแม่ฟังนะคะ” หลินซีหันไปพูดกับแม่สามีด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่ลู่เดินออกจากครัวไปด้วยอาการเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว คุณพ่อลู่ที่เห็นภรรยาเดินออกมาก็เอ่ยถาม
“ทำไมหลินซีถึงซื้อของกลับมามากขนาดนี้ล่ะคุณ” คุณแม่ลู่ที่เดินเหม่อลอยออกมาจากห้องครัวเมื่อได้ยินเสียงของคุณพ่อลู่ถึงได้สติขึ้นมา
“เธอยังไม่ได้บอกอะไรกับฉันเพียงแค่บอกว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะอธิบายให้ฟัง”
เมื่อหลินซีทำอาหารเสร็จแล้วเธอก็ยกอาหารไปไว้ที่โต๊ะกินข้าวถึงแม้อาหารมื้อนี้จะอร่อยมาก แต่คุณแม่ลู่กับคุณพ่อลู่กลับรีบกินจนไม่ได้สนใจรสชาติของอาหาร เพราะอยากรู้ว่าทำไมหลินซีถึงซื้อของกลับมาที่บ้านมากมายขนาดนั้น ถ้าจะกินแค่ในครอบครัวแต่ก็ไม่ควรจะซื้อมามากขนาดนี้
หลังจากกินข้าวอิ่มสายตาสองคู่ก็จับจ้องมาที่หลินซีเพื่อรอคำตอบ
“คืออย่างนี้นะคะคุณพ่อคุณแม่ฉันเข้าเมืองบ่อยมากและก็เห็นคนตั้งแผงลอยขายของขายอาหารอยู่ในเมืองฉันเลยอยากจะลองขายอาหารในเมืองดูบ้างนะค่ะ” เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลินซีทั้งสองก็หันมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ
คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ถึงแม้จะได้ยินเื่การเปลี่ยนแปลงภายในเมืองมาบ้าง แต่ทั้งสองก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
“ตอนนี้ประชาชนคนธรรมดาสามารถออกไปตั้งแผงลอยขายอาหารหรือสามารถนำสินค้ามาขายได้อย่างอิสระแล้วค่ะ” หลินซีพูดด้วยความตั้งใจ
“จริงหรอถ้าเปิดร้านขายของแล้วจะไม่ถูกทหารแดงจับไปใช่ไหม” คุณแม่ลู่พูดด้วยใบหน้ากังวล
“ไม่แน่นอนค่ะถ้าเป็หลายปีก่อนอาจจะถูกจับแต่ตอนนี้ทางรัฐบาลเปิดกว้างให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพธุรกิจได้อิสระ หากฉันมีเงินทนมากกว่านี้ฉันก็คงเช่าร้านแล้วล่ะค่ะแต่ตอนนี้ฉันยังมีเงินทุนน้อยจึงคิดว่าจะตั้งแผงลอยขายอาหารเพื่อเก็บเงินไปสักพักหากมีเงินพอค่อยเช่าร้าน” หลินซีพยายามอธิบายให้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ฟังด้วยความตั้งใจ
“แม่กับพ่อของเธอก็เป็ชาวไร่มาทั้งชีวิตไม่รู้เื่การขายของไม่รู้ว่าจะพอช่วยเธอได้ไหม” คุณแม่ลู่พูดด้วยน้ำเสียงกังวล และก็หันมองไปที่คุณพ่อลู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่เป็ไรเลยค่ะ ฉันตั้งใจจะลองขายดูถ้าขายได้ก็ขายต่อไปแต่ถ้าขายไม่ได้ก็ไม่เป็ไรถือว่าเป็ประสบการณ์ เพราะไม่ว่ายังไงก็ยังมีเงินเดือนสามสิบหยวนที่สามีส่งมาให้ทุกเดือนอยู่แล้วนี่คะ” หลินซีพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายเพราะเธอคิดแบบนั้นจริงๆ
แต่เธอมั่นใจอยู่แล้วว่าในยุคนี้ไม่ว่าจะขายอะไรก็ขายได้ทั้งนั้น เพราะใน่ทศวรรษปี 1980 ถูกขนานนามว่าเป็ยุคที่มีทองอยู่ทุกที่ เป็ยุคที่แค่ตั้งแผงลอยขายอาหารธรรมดา ก็สามารถกลายเป็คนรวยได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่ก็จะช่วยเธอเอง” คราวนี้คุณพ่อลู่พูดด้วยใบหน้าจริงจัง
“ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากนะคะที่ไม่ห้ามฉัน” หลินซีพูดด้วยรอยยิ้มยินดี
เธอคิดเอาไว้ว่าตอนแรกเธอคงต้องใช้เวลาโน้มน้าวพ่อแม่สามีอยู่นานกว่าจะสามารถทำให้พวกเขาเข้าใจได้ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเชื่อในตัวของเธอขนาดนี้หลินซีคิดว่าที่พวกเขาเชื่อในตัวเธอ เพราะพวกเขาเห็นว่าเธอคือครอบครัวเดียวกันั้แ่วันที่เธอแต่งงานเข้ามาเป็ลูกสะใภ้ของพวกเขาแล้ว
“เอาล่ะในเมื่อตั้งใจจะวางแผนขายอาหารแล้วคิดหรือยังล่ะว่าจะขายอะไร” คราวนี้คุณพ่อลู่ก็ถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“ฉันตั้งใจจะขายซาลาเปาค่ะ” หลินซีตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
“มันจะขายได้หรอซาลาเปาใครๆ ก็ทำเป็นะ” คุณแม่ลู่ถามพร้อมกับหันหน้าไปมองหลินซีด้วยความกังวล
“ขายได้แน่นอนค่ะ” หลินซีตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลินซีอธิบายวิธีการทำซาลาเปาของเธอและก็อธิบายวิธีการขายให้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ฟัง ถึงแม้ทั้งสองจะไม่เข้าใจแต่ก็รู้ว่าวิธีที่หลินซีคิดและบอกทั้งสองนั้นมันดีมากแล้ว
“หลินซีเธอบอกว่าจะขายซาลาเปาไส้ผักลูกละหนึ่งเหมาและก็จะขายซาลาเปาไส้หมูลูกละสองเหมามันไม่แพงไปหน่อยหรอ” คุณแม่ลู่ถาม
“หนู้าทำซาลาเปาให้มีความแตกต่างจากซาลาเปาทั่วไปที่หนูคิดเอาไว้หนู้าทำซาลาเปาไส้แน่นและก็แป้งนุ่มพิเศษ และก็ต้องลูกใหญ่พอสำหรับกินแทนอาหารมื้อหนึ่งได้ และหนูคิดว่าสำหรับคนในเมืองหนึ่งถึงสองเหมาสำหรับพวกเขาถือว่าไม่แพงเลยค่ะ การเสียเงินหนึ่งถึงสองเหมาแล้วได้กินอาหารอร่อยและสะดวกถ้าเป็ฉัน ฉันก็ยอมจ่าย”
คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็พยักหน้าตามคำพูดของหลินซี
“่นี้งานในไร่ของพ่อกับแม่ไม่ยุ่งมากเดี๋ยวพวกเราจะไปช่วยเธอขายเอง” หลินซีที่ได้ยินคำพูดของพ่อสามีก็ทำเอาเธอน้ำตาไหลออกมาเพราะพ่อแม่สามีช่างเป็คนดีเหลือเกิน
“แล้วเงินทุนมีพอไหมพ่อกับแม่ยังมีเงินทุนที่เก็บเอาไว้อยู่นะ” พูดจบคุณแม่ลู่ก็เดินเข้าไปในห้องนอนแล้วก็หยิบเงินเก็บทั้งหมดในชีวิตของทั้งสองออกมาให้กับหลินซี
“ฉันขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากจริงๆ นะคะ แต่ไม่ต้องหรอกค่ะคุณแม่เก็บเงินนี้เอาไว้เถอะฉันมีเงินเพียงพอสำหรับลงทุนแล้ว คุณแม่เอาเงินนี้ไปรักษาอาการป่วยของคุณพ่อเถอะนะคะ” หลินซีรีบปฏิเสธเงินนั้นอย่างรวดเร็ว
ในแววตาของเธอมีความมั่นคงแน่วแน่ทั้งสองจึงมั่นใจในตัวของหลินซี จนลืมไปว่าใน่สองปีที่ผ่านมาเธอเป็คนอย่างไรเธอเป็ผู้หญิงที่ี้เีใช้เงินฟุ่มเฟือย และยังใช้งานพ่อแม่สามีราวกับคนรับใช้
เมื่อตกลงกันได้แล้วว่าจะทำซาลาเปาขาย วันต่อมาทั้งสามก็ตื่นั้แ่ตีสามเพื่อลุกมาทำซาลาเปาไปขายในวันแรก
คุณพ่อลู่ตื่นเต้นจนประหม่าทำอะไรไม่ถูก ส่วนหลินซีก็ตั้งใจทำไส้ซาลาเปาให้อร่อยที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
ส่วนคุณแม่ลู่ก็มีหน้าที่ห่อซาลาเปาให้สวยงามที่สุดตามที่หลินซีบอกส่วนคุณพ่อลู่ก็มีหน้าที่คุมไฟกับนึ่งซาลาเปา
เมื่อซาลาเปาชุดแรกที่นึ่งเสร็จหลินซีก็ให้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ได้ลองชิม เมื่อทั้งสองได้ลองชิมเพียงแค่คนละลูกก็รู้สึกอิ่มจนแน่นท้องแล้ว
ซาลาเปาที่หลินซีทำนั้นทั้งลูกใหญ่และก็ไส้แน่นส่วนแป้งที่ห่อซาลาเปาก็นุ่มมาก
วันนี้เป็วันแรกของการขายซาลาเปาหลินซีจึงทำซาลาเปาไปขายเพียงแค่ร้อยห้าสิบลูกเท่านั้นเธอทำซาลาเปาไส้หมูห้าสิบลูก และก็ทำซาลาเปาไส้ผักกาดขาวสามสิบลูกและก็ทำไส้กุยช่ายอีกสามสิบลูกและก็ไส้เห็ดหอมอีกสี่สิบลูก
หลังจากนึ่งซาลาเปาเสร็จหมดแล้วทั้งสามก็ช่วยกันเก็บของขึ้นรถเข็นที่มีอยู่ในบ้านจากนั้นก็ช่วยกันเข็นรถออกจากบ้านเพื่อเข้าเมือง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้