ยามที่ไทเฮายังไม่ได้ดูแลตำหนักหลัง เคยมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ต่อมาในวังหลวงเข้มงวดเื่สำรับอาหารในแต่ละมื้อที่ทางห้องเครื่องวังหลวงจัดเตรียมมา เนื่องจากเจิ้งเจี๋ยอวี๋ไม่ทราบว่าลี่เจาอี๋แท้งบุตร นางจึงไม่รู้เื่การส่งอาหารจานนั้นออกไป หรือว่าความจริงเป็ดั่งที่ลี่เจาอี๋คาดเดา ก็คือไทเฮา?
เมื่อนางขบคิดถึงเื่นี้พลันรู้สึกว่าคล้ายจะมีบางจุดที่นางมองข้ามไป
มีหนังสือนิยายเล่มใหม่วางอยู่บนโต๊ะ ซูอิ่งบอกว่าซ่งอี้เฉินส่งมาให้ นางพลิกดูสองสามหน้าอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ก่อนสายตานางจะไปหยุดอยู่ที่ประโยคหนึ่งในหนังสือ!
ยืมดาบฆ่าคน!
“รีบกลับไปที่ตำหนักเยถิง!” สีหน้าของเหยียนอู๋อวี้พลันเปลี่ยนไปทันที นางรีบลุกขึ้นยืนและนาง้าแน่ใจว่าอาหารจานนั้นของเจิ้งเจี๋ยอวี๋มีอุบายอันใดซ่อนอยู่หรือไม่
เมื่อป้าโฉ่วเห็นว่านางกำลังจะออกไปจึงรีบคว้าตัวนางพร้อมเอ่ยกระซิบว่า “คุณหนู ท่านกำลังจะทำอันใด?”
“อาหารจานนั้นเป็อาหารที่อยู่ในตำหนักของเจิ้งเจี๋ยอวี๋! หากเมื่อวานนี้นางได้ทำแท้งแล้วเด็กคนนั้นหายไป เหตุใดวันนี้จึงถูกโบยแล้วยังแท้งได้อีก?”
“แม้ปกติอาหารจานนั้นจะมีฤทธิ์เย็น ทว่าทารกในครรภ์วัยสามเดือนของเจิ้งเจี๋ยอวี๋ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะถูกตีเช่นนี้แล้วแท้ง!”
“ในเมื่อทารกในครรภ์ยังแข็งแรง ก่อนหน้านั้นยามที่พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ เหตุใดเจิ้งเจี๋ยอวี๋จึงไม่ดำเนินการใดๆ กลับปล่อยมาจนถึงตอนนี้ แล้วเกิดอันใดขึ้นกับอาหารจานนั้นอีก! นางไม่รู้เื่ซินเจาอี๋ ยามนี้ยัง......”
ป้าโฉ่วคุกเข่าต่อหน้านาง ก่อนจะดึงขานางแล้วเอ่ยว่า “ไม่ว่าความจริงจะเป็เช่นไรก็ตาม เราไม่อาจแทรกแซงเื่นี้อย่างเปิดเผยได้เ้าค่ะ มันเป็เื่ของศักดิ์ศรีในราชวงศ์ คุณหนู พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้เ้าค่ะ!”
นางสนมของฮ่องเต้กำลังตั้งครรภ์บุตรของผู้อื่น เื่นี้ไม่ควรแพร่งพรายออกไป อย่างน้อยก็ควรทำให้เื่ใหญ่กลายเป็เื่เล็ก จากนั้นจึงค่อยเริ่มการสอบสวนเื่นี้อย่างละเอียดด้วยเหตุผลแวดล้อมอื่น
ทว่าเมื่อคิดถึงเื่แท้งบุตรติดต่อกันสองวันที่ผ่านมา เหยียนอู๋อวี้ไม่อาจสงบสติอารมณ์ลงได้เลย หากตอนนั้นมีคนยื่นมือไปดูแลเด็กในครรภ์ของนาง บางทีตอนนี้.......ตอนนี้เด็กคนนั้นคง......
หัวใจนางรู้สึกเ็ปเสียจนเดินซวนเซไปหนึ่งก้าว โชคดีที่ป้าโฉ่วเข้าไปช่วยพยุงไว้ได้ทัน จนในที่สุดนางก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก
เป็จริงดังที่คาดไว้ หลังจากนั้นไม่นานพลันมีข่าวมาจากวังหลวงว่าเจิ้งเจี๋ยอวี๋เสียชีวิต
ค่ำคืนที่ยาวนานผ่านไปอย่างเงียบสงบ จิตใจของเหยียนอู๋อวี้เองก็สงบลงเล็กน้อยเช่นกัน และขณะที่กำลังจะเสวยอาหาร นางพลันได้ยินเสียงฮ่องเต้ดังมาจากระยะไกล
“อวี้เอ๋อร์ไม่รอเจิ้นเลยหรือ” ซ่งอี้เฉินเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมมองนางด้วยแววตาเปล่งประกาย
“หม่อมฉันคิดว่าวันนี้ฝ่าาจะไม่มาแล้วเพคะ!” นางกล่าวตรงไปตรงมาและมีน้ำเสียงจริงจัง “ลี่เจาอี๋แท้งแล้ว ฝ่าาไม่ไปดูนางหรือเพคะ?”
แม้ว่าเื่ที่ถูกโบยยังไม่สามารถสอบสวนเพิ่มเติมได้ ทว่าเซียวซิ่งเสวี่ยก็เป็ผู้เสียหาย
“อวี้เอ๋อร์อยากให้ข้าไปดูนางหรือ?” เขาขยับตัวและโอบกอดเหยียนอู๋อวี้ไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างนุ่มนวลราวสายน้ำ
นางซุกหน้าอย่างเขินอายในอ้อมอกเขา “แน่นอนว่าหม่อมฉันไม่้าเช่นนั้น ทว่าฝ่าามิใช่เป็ฮ่องเต้ของหม่อมฉันเพียงผู้เดียว ฝ่าาคือฮ่องเต้ของใต้หล้าและหม่อมฉันเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดีเพคะ”
ฮ่องเต้ของผู้คนในใต้หล้า เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ทำให้ซ่งอี้เฉินรู้สึกเย้ยหยันอยู่ภายในใจ หากเขาเป็ฮ่องเต้ในใต้หล้าจริง เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงถูกขังอยู่ในกรงทองแห่งนี้กัน เขาตีนางเบาๆ และใช้น้ำเสียงที่ไม่อาจปิดบังความเ็าไว้ได้กล่าวว่า “นางทำร้ายสตรีที่ข้ารักสุดหัวใจ เ้าคิดว่าข้าจะยกโทษให้นางหรือไม่เล่า?”
สตรีที่รักสุดหัวใจ? กำลังเอ่ยถึงฮวารั่วซีใช่หรือไม่?
ครั้งนี้ฮวารั่วซีเองก็ถูกวางยาพิษเช่นกัน
เพียงแค่เขามีแผนการและมีไหวพริบ ผู้ที่มีใจจึงจะเข้าใจหรือ?
นี่คือความแตกต่าง ผู้ใดก็ตามที่ทำร้ายฮวารั่วซีจะถูกกักบริเวณในตำหนักเย็น นางจะเทียบกับฮวารั่วซีได้อย่างไร?
“หม่อมฉันทำผิดไปแล้วเพคะ” เหยียนอู๋อวี้หรี่ตาพลางกัดริมฝีปาก
ท่าทางน่าเอ็นดูนี้ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวอยู่ในใจจนอดเอื้อมมือไปััริมฝีปากแดงระเรื่อนั้นไม่ได้
ซ่งอี้เฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ และหยิบตะเกียบคีบอาหารป้อนใส่ปากนาง
“ทานให้มากหน่อย รู้สึกว่าสองวันมานี้เ้าผอมลง” ดวงตาที่เคร่งขรึมแฝงด้วยรอยยิ้ม แววตาที่จ้องมองนางนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเลี่ยนเสียจนแทบจะอาเจียน
หลังจากยอมทานอาหารอย่างเชื่อฟังแล้ว ความเสน่หาอันลึกซึ้งของทั้งสองคนพลันอบอวลไปทั่วทั้งห้องจนล้นออกมา
ร่างของคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกฟังการสนทนาของทั้งคู่และจากไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะย่องเข้าไปในเรือนด้านข้าง ใบไม้สีเขียวใบสุดท้ายบนกิ่งร่วงลงสู่พื้นอย่างเงียบงัน ลี่เจาอี๋เสียชีวิตแล้ว
ข่าวนี้ราวกับก้อนกรวดเล็กๆ ที่ตกลงไปในมหาสมุทร ซึ่งไม่ได้สร้างความตื่นใใดเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งซ่งอี้เฉินก็มิได้ไต่ถามอันใด เต๋อเฟยพิจารณาและตัดสินให้คงสถานภาพเจาอี๋ต่อไป
ตามเหตุผลแล้วในขณะนี้ตระกูลเซียวที่ควรจะกำลังเสียขวัญกำลังใจนั้น กลับคล้ายว่าตระกูลเซียวไม่มีบุตรสาวผู้นี้แล้ว พวกเขากำลังเตรียมส่งสตรีนางใหม่เข้าวังหลวง
เรือนร่างที่งดงามยืนอยู่นอกหน้าต่าง มองเหล่านางกำนัลในวังหลวงกำลังรมยาใบโกฐจุฬาที่ตำหนัก เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไป
“คุณหนู ลี่เจาอี๋ผู้นี้ประมาทเกินไป” ป้าโฉ่วยืนอยู่ที่หน้าต่าง ขณะที่กำลังสวมอาภรณ์ให้นาง เหยียนอู๋อวี้พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำว่า
“ไม่เป็ไร เป็ข้าที่ใจร้อนเกินไป” น้ำเสียงของนางเรียบเฉย ราวกับนางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาด
ยามนี้นางเป็บุตรสาวของเ้าเมืองมณฑล มิใช่บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ในยามนั้นอีกแล้ว
ตำแหน่งเป่าหลินและฮองเฮานั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เป็นางที่ใจร้อนเกินไป
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น จู่ๆ กลับมีเสียงของซูอิ่งเข้ามาขัดจังหวะ
“นายหญิง เมื่อครู่มีขันทีจากวังหลวงนำผงน้ำผึ้งมาให้ท่านหนึ่งกล่องเ้าค่ะ ขันทีบอกว่าเพื่อเป็การแสดงความเคารพต่อนายหญิงเ้าค่ะ”
แสดงความเคารพหรือ? นายบ่าวต่างมองหน้ากันด้วยแววตาสับสน
ถึงแม้่นี้เหยียนอู๋อวี้จะได้รับความโปรดปราน ทว่าหากมิได้รับอนุญาตผู้ใดจะกล้านำของจากนอกวังหลวงมามอบให้นางกัน?
ป้าโฉ่วรู้สึกสงสัยก่อนเดินออกไปรับผงน้ำผึ้งเข้ามาและกำชับให้ซูอิ่งเฝ้าอยู่นอกประตู
ผงน้ำผึ้งนี้ดูปกติ เหยียนอู๋อวี้ยื่นมือเปิดออก เห็นเพียงภาพไม้ไผ่ที่วาดอย่างประณีตอยู่้า โดยมีคำว่า ‘จู๋ซู่’ สองคำที่เขียนซ่อนไว้จนมองเห็นไม่ชัดเจน
เมื่อนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงมองทั้งสองคำอย่างละเอียดอีกครั้ง ‘จู๋ซู่’ อาจจะเป็ตัวอักษรคำว่า ‘เซียว’ แซ่ของลี่เจาอี๋หรือเซียวซิ่งเสวี่ยที่เพิ่งเสียชีวิต
“มีคนของตระกูลเซียวเข้าวังหลวงมาหรือยัง?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
ป้าโฉ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “หนึ่งชั่วยามหลังจากลี่เจาอี๋เสียชีวิต คนผู้นั้นก็เข้าวังหลวงแล้วเ้าค่ะ!”
ตระกูลเซียวกระทำการได้รวดเร็วยิ่งนัก ทว่าเหตุใดจึงส่งคนผู้นั้นไปที่ซินเจาอี๋?
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหยียนอู๋อวี้ก็ตัดสินใจไปดู เนื่องจากตระกูลเซียวยังคงตั้งใจที่จะสานต่อความสัมพันธ์ จึงไม่น่าจะเป็เื่เลวร้ายสำหรับนาง
แม้ว่ายามนี้ตระกูลเซียวจะแลดูตกต่ำ กระนั้นยังคงมีอำนาจในราชสำนักอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังมีการติดต่อกับตระกูลอวิ๋นอีกด้วย เนื่องจากระหว่างเซียวเฟยกับไทเฮาในยามนั้นมีระยะห่างกันอยู่บ้าง อีกทั้งพวกเขายังค่อยๆ เหินห่างกันไปหลังจากอวิ๋นอู๋เหยียนขึ้นเป็ฮองเฮา แม้กระทั่งยามที่ตระกูลอวิ๋นประสบปัญหา พวกเขาไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ทว่าก็ไม่ได้เหยียบย่ำเช่นกัน สำหรับนางแล้ว แม้จะไม่ได้เป็มิตร ก็ไม่ขอเป็ศัตรูเช่นกัน ดังนั้นนางจึงสามารถลองเสี่ยงเอาเข้ามาเป็พวกได้
ทั้งสองไม่ได้เอ่ยอันใดมากนัก เพียงลุกขึ้นเดินไปที่เรือนหลินหลาง จากมุมนี้มองเห็นเรือนหลินหลางจากระยะไกลที่ดูคล้ายจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเข้าไปใกล้กลับได้ยินเสียงดนตรีและเสียงคนหัวเราะแ่เบาพลางเอ่ยว่า “ได้ยินว่าบุตรสาวคนที่สองของตระกูลเซียว นามหรูเสวี่ยเป็นางรำที่มีฝีมือยิ่งนัก วันนี้ได้พบนางแล้ว ช่างสมคําร่ำลือจริงๆ!”
น้ำเสียงนี้ฟังแล้วไม่คุ้นหู!
เพื่อระงับความสงสัยภายในใจ เหยียนอู๋อวี้จึงเดินเข้าไปในเรือนและเห็นซินเจาอี๋นั่งอยู่ในศาลาจากระยะไกล
ไม่รู้ว่าผู้ใดที่สังเกตเห็นนางเดินเข้ามา และเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของซินเจาอี๋ จากนั้นสายตาของซินเจาอี๋จึงหันมามองนาง
นางมิได้รีบร้อน หลังจากทำความเคารพแล้ว และเตรียมจะเอ่ยบางสิ่ง หากแต่ไม่คาดคิดว่าซินเจาอี๋จะไม่ให้เกียรตินางเลยแม้แต่น้อย
“ได้ยินว่าเหยียนเป่าหลินไม่มีความเชี่ยวชาญอันใดเลย และไม่รู้ว่าใช้เสน่ห์มารยาอันใดกับฝ่าา!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้