เมื่อสองการโจมตีเข้าปะทะกัน หนานกงอวี่รู้สึกว่ามีพลังไร้เทียมทานบุกรุกเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้หนานกงอวี่ตัวสั่นสะท้าน เซถอยหลัง และเืไหลออกที่มุมปาก
“พลังของอู๋จ้านแกร่งกว่าเส้าเฉียงตามคาด ครั้งนี้หนานกงอวี่คงจะแพ้แล้ว!” ผู้คนเห็นหนานกงอวี่ถูกโจมตีเช่นนั้นต่างก็คิดในใจเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าสาเหตุที่หนานกงอวี่เอาชนะเส้าเฉียงได้ นั่นก็เพราะดวงดี
“สวะ การโจมตีต่อไป ข้าขอดูซิว่าเ้าจะรับได้หรือไม่?” อู๋จ้านแสยะยิ้ม โดยที่เขาไม่เคยเห็นหนานกงอวี่อยู่ในสายตา ทันทีที่สิ้นเสียงเขาก็วาดฝ่ามือโจมตีหนานกงอวี่อีกครั้ง
หนานกงอวี่กัดฟันยืนหยัด พยายามสู้กับอู๋จ้านอย่างสุดความสามารถ แต่ก็เสียเปรียบ พลังโจมตีของอู๋จ้านบ้าคลั่งเกินไป ผนวกกับตบะที่สูงกว่าหนานกงอวี่ไม่น้อย ไม่นานก็เป็ฝ่ายได้เปรียบในทันที
หนานกงอวี่ถูกบีบให้ถอยหลังไม่หยุด และมีหลายครั้งที่เกือบถูกการโจมตีอันบ้าคลั่งของอู๋จ้าน
“พลังกายช่างอ่อนแอยิ่งนัก”
ขณะที่เย่เฟิงดูหนานกงอวี่ถูกอู๋จ้านกดดันง่าย ๆ เขาก็อดถอนใจไม่ได้ แต่จู่ ๆ ดวงตาของเขาวาบประกายแสงวูบหนึ่ง พร้อมขบคิดวิธีที่จะทำให้หนานกงอวี่ชนะอีกฝ่าย ไม่นานนักเย่เฟิงส่งเสียงผ่านจิตไปหาหนานกงอวี่ “ตอนนี้เ้าอย่าเพิ่งปะทะกับคนคนนี้อย่างสุดกำลัง แต่ใช้เคล็ดวิชาท่าร่างของเ้าหลบหนีการโจมตีไปเรื่อย ๆ ไว้ข้าส่งสัญญาณเมื่อไร เ้าก็ค่อยโจมตี”
“ได้!” หนานกงอวี่ตอบกลับเย่เฟิง
บัดนี้มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น จากประสบการณ์ต่อสู้ของเย่เฟิง แม้หนานกงอวี่จะยังอ่อนแอ แต่ก็ง่ายที่จะจัดการกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่สูงสุดอย่างอู๋จ้าน นี่เท่ากับว่าเย่เฟิงยื่นมือเข้าช่วยและชี้แนะหนานกงอวี่
จากนั้นหนานกงอวี่ก็หลบหนีการโจมตีของอู๋จ้านตามคำชี้แนะของเย่เฟิง โดยไม่เป็ฝ่ายโจมตีอีกฝ่ายก่อน อู๋จ้านนั้นมีฝีมือมากกว่าหนานกงอวี่และมีสองครั้งที่เกือบโจมตีหนานกงอวี่ได้ ทว่าด้วยพลังจิตอันแกร่งกล้าของเย่เฟิง ทำให้รู้วิถีเคลื่อนไหวการโจมตีของอู๋จ้าน จากนั้นเขาบอกหนานกงอวี่ทันที จึงแก้ไขวิกฤตอันตรายสองครั้งนี้ได้
“สวะ เ้าคิดว่าจะหนีพ้นงั้นหรือ?” อู๋จ้านเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรหนานกงอวี่ จึงกล่าวเช่นนั้นด้วยโทสะ
ทว่าในตอนที่อู๋จ้านมีอารมณ์ฉุนเฉียวก็ได้ปรากฏช่องโหว่ เย่เฟิงจึงใช้โอกาสจากช่องโหว่นี้ โดยส่งเสียงผ่านจิตไปบอกหนานกงอวี่ทันที “รีบเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้วโจมตีที่จุดฮั่วไก่ของเขาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อหนานกงอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันที ซึ่งเย่เฟิงเตือนได้ทันเวลา ทำให้หนานกงอวี่มีเวลาโจมตีเพียงพอ จากนั้นหนานกงอวี่ทำตามคำชี้แนะของเย่เฟิงในทันที โดยเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบการโจมตีของอู๋จ้าน ก่อนจะเหวี่ยงหมัดโจมตีในเวลาเดียวกัน
ซึ่งรังสีหมัดจู่โจมไปที่จุดฮั่วไก่ของอู๋จ้านโดยไร้สิ่งกีดขวาง ตามมาด้วยเสียงดังปัง อู๋จ้านถูกหมัดของหนานกงอวี่อัดกระแทกจนร่างกระเด็นไปกองกับพื้น พร้อมกระอักเื
จุดฮั่วไก่นั้นอยู่บริเวณหน้าอก บนแนวกึ่งกลางลำตัว หากถูกโจมตีตรงจุดนี้ ถือว่าเป็การโจมตีที่ร้ายแรงและสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นหลังจากอู๋จ้านถูกหมัดนี้โจมตีก็สูญเสียพลังต่อสู้ไปในทันที หาก้าฟื้นฟูให้เหมือนตอนแรก ต่อให้ใช้เวลาอีกปีกว่าก็เกรงว่าจะทำไม่ได้
“นี่...”
ทุกคนในที่แห่งนั้นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าต่างก็ตกตะลึง ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นชัด ๆ ว่าอู๋จ้านกำราบหนานกงอวี่ได้อยู่หมัดจนหนานกงอวี่ไร้กำลังต่อต้าน แต่เมื่อครู่นี้เพียงเวลาสั้น ๆ หนานกงอวี่ได้ลงมืออีกครั้ง โดยโจมตีอู๋จ้านจนกระเด็นปลิวและสูญเสียพลังต่อสู้อย่างสมบูรณ์ สถานการณ์เช่นนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเป็อย่างมาก จนทุกคนคาดไม่ถึง
“แม้ตบะของหนานกงอวี่ผู้นี้จะไม่สูง แต่ชิงจังหวะโอกาสในการต่อสู้ได้น่าทึ่งมาก การโจมตีเมื่อครู่ก็น่าใกว่าการโจมตีที่หนานกงอวี่เอาชนะเส้าเฉียงเสียอีก ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก แม้แต่ข้าที่สู้รบมาหลายร้อยครั้งก็ยังไม่มีความสามารถเช่นนี้!” ลู่ตงพึมพำกับตัวเองพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้แต่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลลู่ที่นั่งด้านล่างก็ยังใ
ลู่หว่าน เฉียนหง และลู่เชาต่างหน้าถอดสีเล็กน้อย หากบอกว่าการที่หนานกงอวี่ชนะเส้าเฉียงคือความโชคดี เช่นนั้นการที่หนานกงอวี่ซัดอู๋จ้านกระเด็นได้ในครั้งนี้หมายความว่าอย่างไร?
ใบหน้าของลู่เหยาเปื้อนรอยยิ้มสุกสกาว แม้นางไม่รู้ว่าศิษย์พี่ของตนเปลี่ยนไปเก่งมากเพียงนี้ได้เช่นไร แต่ตราบใดที่ศิษย์พี่ของนางคว้าชัยชนะมาได้ ลู่เหยาก็ดีใจแทนหนานกงอวี่จากใจจริง
“ทำได้ไม่เลว!” เย่เฟิงส่งเสียงผ่านจิตไปหาหนานกงอวี่
หนานกงอวี่เองก็เบิกบานใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาไร้ซึ่งความมั่นใจตอนเผชิญหน้ากับอู๋จ้าน ถึงอย่างไรพลังของทั้งสองคนก็ห่างชั้นกันมากโข แต่ด้วยคำชี้แนะจากเย่เฟิง ทำให้หนานกงอวี่เอาชนะอู๋จ้าน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“ขอบคุณคำชี้แนะของเ้า!” หนานกงอวี่ส่งเสียงผ่านจิตไปหาเย่เฟิง ขณะเดียวกันสองศึกของหลิวฉงและเฉียนเปียวทางด้านข้างก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
สองคนนี้ต่างใช้พลังอันแกร่งกล้ากำราบคู่ต่อสู้ของตน จึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้จำนวนมาก อีกอย่างสองคนนี้คือสองคนที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาผู้ที่ชื่นชอบลู่เหยา จึงเป็เื่ปกติที่เอาชนะคู่ต่อสู้ของตนเองได้อย่างราบรื่น
แม้พวกเขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนเอง แต่ก็ไม่น่าใเท่าศึกของหนานกงอวี่และอู๋จ้าน หลังจากเอาชนะอู๋จ้าน หนานกงอวี่ก็กลายเป็จุดสนใจของผู้คน ทั้งยังทำให้พวกเขาไม่กล้าดูถูกอีก ถึงอย่างไรหนานกงอวี่ก็เอาชนะเส้าเฉียงและอู๋จ้านซึ่งเป็สองอัจฉริยะมากฝีมือ ทั้งที่เขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 9 ถือว่ายอดเยี่ยมเป็อย่างมาก
หลังจากศึกของหลิวฉงและเฉียนเปียวจบลง ในเขตประลองก็เหลือเพียงหลิวฉง เฉียนเปียว และหนานกงอวี่ ซึ่งศึกต่อสู้เมื่อครู่นี้หลิวฉงและเฉียนเปียวต่างเอาชนะคู่ต่อสู้ที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 พลังนั้นจึงเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัว
โดยเฉพาะหลิวฉง เขาปลุกิญญาาขั้นเขียวซึ่งถือเป็ข้อได้เปรียบ หลิวฉงจึงเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่อยู่สูงกว่า นี่ทำให้คนตระกูลหลิวต่างเผยท่าทีพึงพอใจ
“ข้าชนะเ้าก็เท่ากับคว้าโอกาสไปมาหาสู่กับคุณหนูลู่ งั้นเราสองคนเริ่มเลยเถอะ!”
ขณะเดียวกันเฉียนเปียวเดินมาที่ด้านหน้าหลิวฉง ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นด้วยท่าทีหยิ่งผยอง เฉียนเปียวคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้หนึ่งเดียวในบรรดาสามคน ความแข็งแกร่งย่อมไม่เป็ที่กังขา ส่วนหลิวฉงก็เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้หนึ่งคน ดังนั้นผู้คนจึงรอคอยศึกของสองคนนี้
ถ้อยคำของเฉียนเปียวเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง หากเขาเอาชนะหลิวฉงก็จะได้รับโอกาสไปมาหาสู่กับลู่เหยา เห็นชัดว่าไม่เห็นหนานกงอวี่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“เ้าช่างมั่นหน้าเสียจริง เมื่อครู่ข้าเอาชนะคนที่อยู่ระดับเดียวกับเ้า เ้าก็มั่นใจว่าจะเอาชนะข้าได้แล้วหรือ?” หลิวฉงกล่าวเสียงเย็น เขาเองก็เชื่อมั่นในพลังของตนเองเช่นกัน
“หมอนั่นจะเทียบกับข้าได้เยี่ยงไร? เ้ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” เฉียนเปียวกล่าวขึ้น จากนั้นพลังปราณปะทุออกจากร่างเฉียนเปียว พร้อมแสงแห่งารายล้อมร่างกาย ทั้งยังมีพลังแห่งขั้นยุทธ์แท้แผ่ออกมา ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่
จู่ ๆ เขาเหวี่ยงหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลเข้าโจมตี ราวกับสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง ทำให้หลิวฉงชะงักไปชั่วครู่ แต่เขาเตรียมพร้อมที่จะสู้แล้ว จึงสำแดงพลังโจมตีที่แกร่งสุดของตัวเองเข้าสู้กับเฉียนเปียว
ทั้งสองคนสู้กันอย่างบ้าระห่ำ พลังโจมตีของเฉียนเปียวแข็งแกร่ง โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านตบะ จึงสามารถกดดันหลิวฉงจนตกเป็เบี้ยล่าง จากนั้นเขาปลดปล่อยิญญาาขั้นเขียวของตัวเองออกมา ซึ่งถือได้ว่าเป็ระดับสุดยอดสำหรับอาณาจักรจ้าว
พลังของิญญาาทรงอานุภาพอย่างเห็นได้ชัด มันโจมตีเฉียนเปียวครั้งแล้วครั้งเล่า ทำผู้ชมต่างตาเบิกกว้างด้วยความใ
ทั้งสองคนนั้นเป็ยอดฝีมือในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีของเมืองชิงโจว ศึกนี้จึงดุเดือดเป็อย่างมาก แต่ในระหว่างศึกของพวกเขาสองคน เย่เฟิงก็ได้ใช้วิธีส่งเสียงผ่านจิต โดยเรียกให้หนานกงอวี่มาหาเขา
“ข้ามีเคล็ดวิชาฝ่ามือจะถ่ายทอดให้เ้า เคล็ดวิชานี้มีชื่อว่าฝ่ามือสะท้านนภา ซึ่งมีด้วยกันสามกระบวนท่า แต่ถ้าเ้าฝึกถึงขั้นพื้นฐาน ทุกกระบวนท่ามีพลังพอที่จะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 เ้าจงใช้โอกาสนี้เรียนรู้มัน ยิ่งเรียนรู้ได้มากก็ยิ่งดี”
เย่เฟิงส่งเสียงผ่านจิตไปหาหนานกงอวี่ จากนั้นเขาใช้วิธีส่งเสียงผ่านจิตนี้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝ่ามือสะท้านนภาทั้งสามกระบวนท่าให้กับหนานกงอวี่
เมื่อหนานกงอวี่ได้มาก็หลับตาเรียนรู้เคล็ดวิชานั้นอย่างไม่รีรอ เขารู้ว่าเคล็ดวิชาที่เย่เฟิงถ่ายทอดให้ย่อมมีระดับสูงและลึกซึ้ง
ความจริงก็เป็อย่างที่หนานกงอวี่คิดเช่นนั้น ตัวเย่เฟิงเปรียบเสมือนคลังสมบัติเคลื่อนที่ เขาสามารถนำเคล็ดวิชาออกมาได้ทุกเมื่อ มีแม้กระทั่งเคล็ดวิชาระดับสูง ๆ
ก่อนหน้านี้เย่เฟิงได้รับแหวนมิติมาจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสี่คนจากสามกองกำลังแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว ต่อมาหลังจากเย่เฟิงเข่นฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลอู๋ไปหลายคนที่เมืองลอยฟ้า เขาก็ได้สมบัติมาอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้เย่เฟิงมีสมบัติมหาศาล
หลังจากผ่านการคัดสรร เย่เฟิงก็หาฝ่ามือสะท้านนภานี้เจอซึ่งเหมาะกับหนานกงอวี่มาก แม้พร์ของหนานกงอวี่ไม่แข็งแกร่ง แต่เขามีความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยาน ทั้งยังมีความดื้อรั้นในการฝึกฝน ซึ่งสามารถฝึกฝนโดยไม่ว่อกแว่กได้
ไม่นานหนานกงอวี่ก็เข้าสู่สภาวะเรียนรู้ฝ่ามือสะท้านนภา พร้อมร่างกายเรืองรองแสงจาง ๆ ดูไปแล้วช่างน่ามหัศจรรย์อย่างมาก
“ดูเหมือนว่าหมอนี่จะตระหนักรู้อะไรสักอย่าง!” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองหนานกงอวี่ จู่ ๆ คนมากมายหันไปมองหนานกงอวี่เป็ตาเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครสนใจ บางทีในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าหนานกงอวี่ตระหนักรู้อะไรก็ไม่มีทางเทียบเคียงสองคนนั้นได้
อีกด้านหนึ่ง ศึกของเฉียนเปียวและหลิวฉงยังคงดำเนินต่อไป เฉียนเปียวปลดปล่อยิญญาาของตัวเองออกมาเช่นกัน แม้ิญญาาอยู่ขั้นเหลือง แต่กลับทรงพลัง เขาจึงเป็ฝ่ายขึ้นนำและกดดันหลิวฉง
ในที่สุดด้วยการโจมตีของเฉียนเปียวก็ซัดร่างหลิวฉงกระเด็นไปกองกับพื้น พร้อมกับกระอักเืและสีหน้าขาวซีด
“ข้าบอกแล้วไงว่าเ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่เ้ากลับไม่เชื่อฟัง ตอนนี้รู้แล้วหรือยังว่าระหว่างเราสองคนมันห่างชั้นกันแค่ไหน?” เฉียนเปียวกล่าวอย่างโอหังขณะมองหลิวฉงบนพื้น
