คนหนึ่งโต๊ะทานอาหารร่ำสุราและพูดคุยกันจนฟ้ามืด
จนกระทั่งหลี่ซื่อจุดตะเกียงน้ำมันขึ้น ทุกคนถึงได้สติจากความตื่นเต้นดีใจที่หลัวจิ่งกลับมา
หวังซื่อให้หูเฉวียนฝูจูงผิงซั่นกลับบ้านเก่าสกุลหูไปก่อน ส่วนนางอยู่ช่วยเก็บกวาดที่ห้องครัว
เจินจูกับหลี่ซื่อช่วยกันรื้อปลอกหมอนและเครื่องนอนเมื่อก่อนของหลัวจิ่งออกมาอยู่ในห้อง ทุกปีหลี่ซื่อจะทำความสะอาดตากแดดหนึ่งรอบแล้วเก็บรักษาไว้อย่างดี
ตอนนี้... ในที่สุดก็มีที่สำหรับพวกมันแล้ว
หลัวจิ่งกับหลัวสือซานเป็บุรุษคนนอก จึงจัดหาที่พักให้พวกเขาอยู่บริเวณลานด้านหน้า
เป็ห้องที่อยู่ข้างห้องโถงสองห้องจัดแต่งอย่างเหมาะสม หลี่ซื่อไล่ผิงอันที่ยังชวนหลัวจิ่งพูดคุยไม่หยุดอยู่ในห้องโถงให้กลับห้องไป ปล่อยให้พวกหลัวจิ่งล้างหน้าให้เรียบร้อยก่อน เร่งเดินทางมานานเพียงนั้น ตลอดทั้งเส้นทางทานไม่อิ่มนอนไม่หลับมาตลอด หากมีคำพูดอะไรก็เก็บไว้พรุ่งนี้หลังพักผ่อนดีแล้วค่อยพูดคุยกัน
ห้องอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันและห้องส้วมของสกุลหู ยังคงสร้างตามอย่างบ้านเก่าแบบเดิม ล้วนสร้างขึ้นทั้งหน้าบ้านและด้านหลังห้องโถงทั้งสิ้น
หลังจากหลัวจิ่งทำความสะอาดตัวเองั้แ่หัวจรดเท้าจนเรียบร้อย เขานอนอยู่ในผ้านวมที่คุ้นเคย ในใจมีความอบอุ่นขึ้นฉับพลัน
ปลอกผ้านวมสีน้ำเงินยังคงรักษาสีไว้อย่างดีไม่ซีดตก ดูออกได้ว่าใส่ใจเก็บรักษาไว้เป็พิเศษ พอคิดถึงสายตาเอาใจใส่ของหลี่ซื่อ มุมปากของหลัวจิ่งก็ยกขึ้นบางๆ
พวกเจินจู ผิงอัน และผิงซุ่นต่างก็สูงขึ้นไม่น้อย หวังซื่อกับชายชราสกุลหูกลับดูเด็กลงมาก ส่วนหลี่ซื่อกับหูฉางกุ้ยมีสีหน้าแดงชุ่มชื้น ร่างกายแข็งแรง ทั่วทั้งบนและล่างของสกุลหูต่างอยู่เย็นเป็สุข หลัวจิ่งจิตใจสงบลงเป็อย่างมาก
วันนี้เขากลับมา เพียงพูดคุยกับเจินจูคร่าวๆ ไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นนางก็ยุ่งกับเื่หลังบ้านอยู่ตลอด ทำได้เพียงเห็นเงากายของนางทะลุผ่านกลุ่มคนเป็บางครั้งบางคราวเท่านั้น
ยังดีที่เขามีวันหยุดสามเดือน เวลายังมีอีกมาก
ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่เร่งเดินทางทั้งวันคืน หลังจากจิตใจผ่อนคลายแล้ว หนังตาหนักหน่วงก็เข้ามาจู่โจม ไม่นานก็หลับใหลเข้าสู่นิทรา
ทว่าเจินจูกลับนอนไม่หลับ...
นางกำลังคิดถึงจุดประสงค์ในการกลับมาของเขา
เตรียมสู่ขอกับครอบครัวของนางหรือ? เอ่อ... ไม่ใช่นางคิดเข้าข้างตัวเองนะ แต่สายตาที่หลัวจิ่งมองนางช่างแรงกล้าเหลือเกิน ขอแค่นางปรากฏตัวอยู่ภายในพื้นที่สายตาของเขา เจินจูรับรู้ได้ถึงสายตาที่เร่าร้อนของเขาติดตามนางอยู่ตลอด
ทำเอานางรู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะวิ่งไปในห้องโถง กลัวมากว่าหากไม่ทันตรวจสอบเพียงนิดจะถูกคนทั้งห้องระแคะระคายได้
จะทำอย่างไรดีนะ? เจินจูรู้สึกขัดแย้งเป็อย่างมาก นางนอนกลิ้งอยู่บนเตียงอิฐ
ตอนนี้หลัวจิ่งเป็ขุนพลขั้นสี่ หากแต่งให้เขา เช่นนั้นต้องติดตามไปชายแดนด้วยไหมนะ? หรือต้องรอทุกปีให้เขาลาหยุดแล้วถึงจะกลับมาบ้านสักรอบ?
โอ๊ย... เจินจูฝังใบหน้าลงบนที่นอน รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองจวนจะไหม้ขึ้นมาอยู่แล้ว ข่มความรู้สึกอยู่พักหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
เพ้ย! คิดบ้าบออะไรกัน คนเขาอาจมาเยี่ยมพวกนางด้วยใจบริสุทธิ์เฉยๆ ก็ได้ แม้สายตาของเขาจะแวววาววิบวับ แต่ก็เป็หลักฐานยืนยันการคิดเพ้อเจ้อไม่ได้นี่
เชอะ... รอจนเขาเอ่ยปากออกมาจริงๆ ค่อยว่ากันเถอะ
เจินจูดึงผ้านวมขึ้นมาห่มให้ดี แล้วบังคับตัวเองให้นอนหลับ แต่สมองกลับบังคับความรู้สึกฟุ้งซ่านไม่ได้เลย
วันต่อมาท้องฟ้าเพิ่งจะสาง หมอกเย็นปกคลุมทั่วทั้งหมู่บ้านในเขตูเา
เจินจูเปิดเปลือกตาขึ้น ได้ยินเสียงพูดคุยภายในลานบ้าน
นางมองปราดไปทางนอกหน้าต่างหนึ่งที คนกลุ่มนี้ตื่นกันเช้าเกินไปแล้วกระมัง
นางซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มแล้วบิดี้เี ครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้า
เมื่อสวมชุดกระโปรงเสร็จ จึงหันมาพับผ้านวมให้เป็ระเบียบ เดินไปนั่งอยู่หน้ากระจกทองแดง แปรงมวยผมให้ตนเองอย่างเรียบร้อย
บนมวยผมมัดด้วยเชือกพลิ้วไหวสีเรียบสองเส้น บนติ่งหูสวมต่างหูไข่มุกเม็ดเล็กหนึ่งคู่ การแต่งกายสำหรับหนึ่งวันก็เรียบร้อย
หญิงสาวในกระจก เครื่องหน้าราวกับภาพวาด จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากแดงฟันขาว แก้มป่องดั่งลูกกระวานที่มีเฉพาะในสาวน้อย น่ารักและดูเฉลียวฉลาด
เจินจูยิ้มบางๆ หันไปกะพริบตาอย่างทะเล้นในกระจก แล้วถึงยกกะละมังไม้ออกมาจากในห้อง
“เจินจู ตื่นแล้วหรือ ในหม้อต้มน้ำร้อนไว้แล้ว” จ้าวหงยู่กำลังนึ่งหมั่นโถว เมื่อเห็นนางเข้าจึงรีบลุกขึ้นมาตักน้ำให้นาง
“ท่านอาหงยู่ ข้าทำเองได้เ้าค่ะ วันนี้ท่านตื่นเช้าเสียจริง” เจินจูวางกะละมังบนแท่นเตา เปิดฝาหม้อน้ำร้อนขึ้น แล้วตักน้ำร้อนอย่างชำนาญ
“ที่บ้านมีแขก ต้องเตรียมล่วงหน้าหน่อย” จ้าวหงยู่เม้มปากยิ้มบางๆ นางไม่คุ้นเคยกับหลัวจิ่งมากเท่าไร แต่อย่างไรก็อยู่ร่วมกันมาระยะเวลาหนึ่ง เลยนับว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง
“ฮ่าๆ อย่าถือว่าเขาเป็แขกเลย ปกติทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถอะเ้าค่ะ เขายังต้องอยู่อีกสักพัก” เจินจูยักไหล่หนึ่งที
“เขาเป็ขุนนางใหญ่ขั้นสี่เลยนะ” จ้าวหงยู่กระซิบกระซาบเสียงเบาอย่างระมัดระวัง
เมื่อคืนตอนนางได้ยินผิงอันกล่าวก็ตื่นใอย่างมาก สามปีก่อนยังเป็เ้าหนุ่มน้อยไร้นามอาศัยอยู่สกุลหู สามปีต่อมากลับเปลี่ยนเป็นายทหารฝ่ายการรบขั้นสี่ ช่างทำให้คนขยี้ตามองใหม่ [1] จริงๆ
“ฮ่าๆ ต่อให้เขาเป็ขุนนางใหญ่แค่ไหน ก็ยังเป็ยู่เซิงเหมือนเดิม ท่านอย่าสนใจเขาในสิ่งเหล่านี้เลย ปฏิบัติต่อเขาอย่างเมื่อก่อนก็พอแล้วเ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะ แล้วยกน้ำร้อนออกไปล้างหน้า
นางคิดเช่นนี้จริงๆ หากเขาเป็นายทหารขั้นสี่แล้ว อุปนิสัยก็เปลี่ยนไปด้วย เช่นนั้นก็ไม่ใช่ยู่เซิงที่นางรู้จักอีกต่อไป
ล้างหน้าแปรงฟันจนสะอาด จึงยกกะละมังกลับเข้าไปในห้อง หลังจากนั้นวิ่งไปห้องส้วมหนึ่งรอบ จัดการธุระเสร็จก็ล้างมือและเช็ดจนแห้งสะอาด ถึงได้เดินเตร็ดเตร่ไปหน้าบ้าน
ผิงอันกำลังแลกเปลี่ยนความรู้การต่อสู้อยู่กับหลัวจิ่งในลานบ้าน
วิถีหมัดของผิงอันมีกำลังดั่งเสือ [2] แต่ละหมัดแต่ละกระบวนท่าแฝงไว้ด้วยกำลังไม่น้อย ใบหน้าหลัวจิ่งประดับด้วยรอยยิ้ม เขาทำการป้องกันเป็หลัก ก้าวย่างใต้ฝ่าเท้ามั่นคงเป็ระเบียบ เห็นได้ชัดว่าฝีมือยอดเยี่ยม
หลัวสือซานยืนชมอยู่ด้านข้างด้วยความสนใจเป็อย่างมาก
ผิงอันขยับท่วงท่าอ่อนช้อย ลมปราณยาวเหยียด ต่อสู้ระยะประชิดได้นานมาก ยังคงไม่เห็นอาการหอบเหนื่อย หลัวจิ่งค่อนข้างรู้สึกตะลึงเล็กน้อย เด็กชายอายุสิบเอ็ดปีก็สามารถมีฝีมือได้ปานนี้ ไม่อาจหรี่ตามอง [3] ได้เลย
อาจารย์ฟางเป็ผู้ที่มีฝีมือสูงส่งนัก เด็กที่สอนออกมามีทักษะการต่อสู้อยู่ในมือจริงๆ
หลัวสือซานมองอย่างเพลิดเพลิน ในฐานะที่เขาคุ้มกันอยู่ติดกายคุณชายใหญ่แห่งสกุลหลัว ั้แ่เด็กได้รับการฝึกฝนที่เข้มงวดมาทุกรูปแบบ เขาย่อมรู้ว่าเด็กชายอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปี หากสามารถมีฝีมือเช่นนี้ได้นับว่ามีพร์ยิ่งนัก
หลัวจิ่งสวมชุดสีเข้มอยู่บนกาย ดูจากการตัดเย็บแล้วน่าจะซื้อจากร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาใส่ชั่วคราว เนื้อผ้าค่อนข้างใหม่อย่างมาก รอยเย็บธรรมดา เหมือนกันกับชุดบนกายของหลัวสือซาน คิดๆ ไปแล้วสองคนคงเลือกไปตามอำเภอใจในร้านเดียวกัน
หลี่ซื่อจูงซิ่วจูเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลังของเจินจู และขมวดคิ้วขึ้นเช่นกัน หลัวจิ่งรูปร่างค่อนข้างสูง เสื้อผ้าชุดนั้นบนกายของเขาไม่เหมาะกับรูปร่างเล็กน้อย
“ผิงอัน อย่ากวนพี่ยู่เซิงของเ้าเลย รีบมาทานอาหารเช้าและไปเรียนเร็ว”
ผิงอันหยุดการกระทำในมือทันที หันไปหัวเราะทางหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อดุเขาทางสายตา พร้อมกับส่งมือเล็กของซิ่วจูให้เจินจู ส่วนตนเองเข้าไปช่วยยกอาหารมาจากในครัว
“พวกเ้าล้างหน้าแปรงฟันกันแล้วหรือ?” เจินจูหันไปถามทางพวกเขา
“ล้างั้แ่เช้าแล้ว ท่านพี่ ข้ายกน้ำร้อนไปให้พวกพี่ชายยู่เซิงแล้วด้วย” ผิงอันเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“มา เช็ดเหงื่อก่อน อีกเดี๋ยวลมหนาวพัดจะเป็หวัดเอาได้” นางยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งไปให้ผิงอัน
“อื้มๆ ข้าทราบแล้ว” ผิงอันเช็ดสะเปะสะปะอย่างไม่สนใจเลยสักนิด เขาฝึกการต่อสู้อยู่ทุกวัน เหงื่อออกมากยิ่งกว่านี้ มีครั้งไหนบ้างที่ต้องลมเย็นแล้วเป็หวัด
เจินจูจนปัญญา หยิบผ้าเช็ดหน้าคืนมาและเช็ดให้เขาด้วยตัวเอง
หลัวจิ่งมองการกระทำที่สนิทสนมต่อกันของพี่สาวน้องชาย ในใจอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อไรกันที่นางจะทำกับเขาเช่นนี้อย่างสมเหตุสมผลได้บ้าง
ซิ่วจูกอดขาของเจินจูไว้ แล้วเงยศีรษะเล็กๆ มองคนแปลกหน้าสองคนที่ไม่รู้จักอยู่ในลานบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลัวจิ่งสังเกตเห็นเด็กสาวตัวน้อยที่ดวงตาจ้องตรงมาที่เขาในทันที
“นี่เป็ซิ่วจูกระมัง” เมื่อวานยุ่งอยู่กับงานเลี้ยง ไม่ได้ทักทายกับเ้าหนูน้อยผู้นี้เลย
“อื้ม ใช่แล้ว ซิ่วจู ทักทายพี่ยู่เซิงสิ” เจินจูเก็บผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มเหงื่อไปครึ่งหนึ่ง รออีกเดี๋ยวค่อยรีบเอาไปซัก
“พี่ยู่เซิง” เสียงของเด็กสาวอ่อนวัยเรียกชื่อของเขา ดวงตาหลัวจิ่งอ่อนโยนขึ้นมาทันที
เขานั่งยองลงไป พลางใช้มือคลำกระเป๋าติดตัวใบเล็กสีเรียบหนึ่งใบในหน้าอก และล้วงเอาเจดีย์โบราณ [4] ชิ้นเล็กที่ทำจากเงินออกมาจากด้านใน หลังจากนั้นแขวนขึ้นบนลำคอเล็กของนาง
“โอ๊ะ ซิ่วจูมีของขวัญด้วย เร็ว ขอบคุณพี่ชายสิ” เจดีย์โบราณลวดลายประณีต ประดับไว้ด้วยกระดิ่งเงิน พอขยับเล็กน้อยก็เกิดเสียงกระดิ่งไพเราะน่าฟังขึ้น
“ขอบคุณพี่ชาย” ซิ่วจูหันมาฉีกยิ้มทางนาง ใบหน้าเล็กอ้วนตุ้ยนุ้ยยิ้มจนดวงตาเป็เสี้ยวพระจันทร์ ทันทีหลังจากนั้นก็ก้มหน้าลงหยิบเจดีย์โบราณขึ้นมาทันที เขย่ากระดิ่งใบเล็ก้าขึ้น
“ไม่ต้องขอบคุณ” หลัวจิ่งยืนขึ้น ล้วงเอาของอีกหนึ่งชิ้นออกมาจากในกระเป๋าเช่นกัน “นี่เป็ของขวัญให้เ้า”
“ข้าก็มี?” เจินจูยิ้มและค่อยๆ รับมา
นั่นเป็ปิ่นปักผมเงินฝังไข่มุกสีขาวชิ้นหนึ่ง รูปแบบเรียบง่ายมาก แต่ฝีมือกลับประณีตยิ่ง โดยเฉพาะไข่มุกสีขาวเม็ดนั้น สีสันขาวสะอาดและมันวาว เม็ดกลมและดูอิ่มเอิบ รูปร่างไม่เล็ก คิดไปแล้วคงไม่ถูกเลย
“อื้ม สวยงามมาก ข้าชอบยิ่งนัก ขอบคุณ” มุมปากเจินจูยกขึ้นบางๆ นางชื่นชอบจริงๆ รูปแบบปิ่นปักผมเรียบง่ายทว่าประณีตมาก อีกทั้งมีไข่มุกฝังอยู่้า มีความนัยแฝงไว้ไม่เลวเลย
ปิ่นปักผมไข่มุกนี้หลัวจิ่งซื้อมานานแล้ว ครั้งแรกที่เขาได้เห็นก็คิดถึงนางขึ้นมาทันที ดังนั้นเขาจึงซื้อมาโดยไม่คิดเลยสักนิด
เขาพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ก่อนนอนตอนค่ำมักหยิบออกมาเล่นอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้มีโอกาสมอบให้นาง
ผิงอันอยู่ด้านข้างมองเขาตาปริบๆ พวกนางล้วนมีของขวัญ แล้วของเขาล่ะ?
แววตารอคอยอย่างกระตือรือร้นของเขาทำเอาทุกคนขบขันยิ่งนัก หลัวจิ่งกลับไปถึงในห้อง หยิบเอาดาบยาวแบบเดียวกันจากด้านในออกมาสามเล่ม
“นี่เป็ดาบยาวที่ตีขึ้นจากช่างเหล็กที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งทางชายแดน ข้างในเพิ่มเหล็กชั้นยอดเข้าไป แหลมคมและแข็งแกร่งยิ่ง นับเป็ดาบดีที่หาได้ยาก ข้าซื้อให้เ้า ผิงซุ่น และอาชิงคนละเล่ม อีกเดี๋ยวเ้ามอบให้พวกเขาเถอะ” เขาส่งดาบให้ผิงอัน
ผิงอันรับมา ในใจตื่นเต้นจนฉีกยิ้มขึ้น ของขวัญชิ้นนี้เขาชื่นชอบนัก
“ขอบคุณพี่ชายยู่เซิง ข้าชื่นชอบอย่างมาก”
คำนี้เป็เขากล่าวเลียนแบบท่านพี่ แสดงออกว่าความรู้สึกภายในใจของเขายามนี้ลิงโลดอย่างมาก
เจินจูเผลอยิ้มออกมา เด็กผู้นี้ คำที่นางกล่าวออกมาโดยไม่ทันยั้งคิดในบางครั้ง เขากลับเอาไปใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
หลี่ซื่อยกหมั่นโถวร้อนกรุ่นหนึ่งถาดใหญ่ออกมา เรียกทุกคนมาทานอาหารเช้า
เจินจูส่งซิ่วจูไปให้ผิงอัน ส่วนนางไปหลังบ้านเพื่อช่วยยกอาหาร
ผิงอันกำลังเลือกดาบยาวอย่างตื่นเต้น “ซิ่วจู เ้ายืนด้านนี้ ดาบนี่แหลมคมนัก ระวังกระแทกเข้ากับเ้า เ้ามาเล่นกับพี่ชายยู่เซิงทางนี้ พี่จะเลือกดาบก่อน”
ดวงตากลมโตดั่งผลองุ่นสีดำของซิ่วจูวาววับ หลัวจิ่งที่มองอยู่ใจอ่อนยวบ เขาโค้งกายลงและยื่นมือออกไปทางนาง “ซิ่วจู พี่ชายอุ้มเ้าหน่อยดีหรือไม่?”
ซิ่วจูเอียงศีรษะเล็กมองเขา
“ท่านพี่ข้าบอกว่า ห้ามให้คนอุ้มไปทั่ว เพราะว่ามีคนไม่ดีอุ้มเด็กไปขาย”
ใบหน้าเล็กของนางแข็งกระด้าง แสร้งทำท่าทางไม่ตรงกับรูปลักษณ์ความเป็จริง เสียงเด็กน้อยอ่อนวัยกล่าวอย่างมีเหตุผลถูกต้อง
หลัวจิ่งใทันที อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ ใช่สิ... สำหรับนางแล้ว เขายังเป็เพียงคนแปลกหน้า
“ซิ่วจู พี่ชายยู่เซิงไม่ใช่คนไม่ดี เขาเป็สหายที่ดีของท่านพี่และข้า ต่อไปจะอยู่ด้วยกันกับพวกเรา” ผิงอันที่กำลังเลือกดาบอยู่พลางกล่าวไปอย่างตามใจปาก
หลัวจิ่งได้ยินดังนั้น ปรากฏรอยยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจต่อผิงอัน ไม่เสียแรงที่เขาพกดาบยาวน้ำหนักไม่เบากลับมาด้วย จากระยะทางยาวไกลหลายพันลี้
ซิ่วจูกุมเจดีย์โบราณ “กริ๊งๆ” เสียงกระดิ่งดังขึ้น เป็การย้ำเตือนนางว่าคนผู้นี้เป็พี่ชายที่มอบของขวัญให้นางเมื่อครู่
นางยิ้มยิงฟันออกมาฉับพลัน และยื่นมืออ้วนป้อมเล็กๆ ออกไปทางหลัวจิ่ง
ความยินดีปรีดาปรากฏขึ้นบนหางคิ้ว [5] ของหลัวจิ่งทันที เขาอุ้มเ้าเด็กอ้วนกลมตัวน้อยขึ้น และเล่นด้วยการยกเด็กน้อยชูขึ้นสูง
ชั่วขณะหนึ่ง ในลานบ้านเกิดเสียงน่ารักอ่อนวัยของเด็กสาวดังขึ้นไม่หยุด
เชิงอรรถ
[1] ขยี้ตามองใหม่ หมายถึง มองด้วยสายตาที่ทึ่งหรือให้เกียรติมากกว่าเดิม
[2] มีกำลังดั่งเสือ หมายถึง ทำให้คนรู้สึกเคารพยำเกรงเหมือนกับเสือ
[3] ไม่อาจหรี่ตามอง หมายถึง ไม่สามารถดูถูกได้
[4] เจดีย์โบราณ คือ เครื่องประดับแขวนคอเด็ก เป็สัญลักษณ์แสดงว่าอายุยืน
[5] ความยินดีปรีดาปรากฏขึ้นบนหางคิ้ว หมายถึง ความยินดีปรากฏขึ้นที่หางตาและหางคิ้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้