ทิวทัศน์นอกหน้าต่างค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิดจากสีทองของฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็สีแดงของใบเมเปิ้ลที่ขึ้นอยู่ตามหุบเขาหลังจากนั้นไม่นานก็ราวกับว่ารถไฟได้เคลื่อนผ่านแดน์ในโลกมนุษย์เพราะท่ามกลางูเาหลายต่อหลายลูกนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้สีขาว และดอกไม้สีขาวเช่นเดียวกันเบ่งบานอยู่เต็มต้นกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันลอยมาเตะจมูกจนข้ารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝัน
...
หลังจากนั้นไม่นานกลิ่นหอมหอมก็ถูกลมพัดโชยเข้ามาในจมูกอีกครั้งจนข้าอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้และเมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่านอกหน้าต่างเป็ลานกว้างซึ่งมีสีเหลืองจางๆ
ปู้เสวียนยินยิ้มบางๆ“มันชื่อว่าดอกฉือจุ้ย กลิ่นของมันหอมมากๆ เลยล่ะ”
“ท่านพี่ ท่านเคยมาที่นี่มาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
“เรียกได้ว่ามาบ่อยเลยล่ะ”
นางพูดก่อนจะเว้น่หัวเราะเบาๆแล้วพูดต่อ “ข้าเคยฝึกฝนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายปีไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่มีพัฒนาการมากขนาดนี้หรอกนะดังนั้นวิหารศักดิ์สิทธิ์จึงเป็ที่ที่เ้าควรจะมาบางทีการประลองครั้งนี้อาจจะเป็แค่จุดเริ่มต้นก็ได้”
และในตอนนี้เองซูเหยียนก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม“ท่านรองเ้าสำนักคะ ในวิหารศักดิ์สิทธิ์มีพวกฝีมือดีแฝงตัวอยู่มากมายจริงๆ เหรอ?”
“เื่นี้มันก็...”
พี่เสวียนยินกลอกสายตาไปมาเหมือนกำลังชั่งใจก่อนจะพูดต่อ“ผู้คนทั่วไปต่างก็รู้จักกันแค่อันดับเทพศาสตราวุธ อันดับั และอันดับพยัคฆ์สามอันดับแต่กลับไม่รู้ว่าทั้งสามอันดับก็เป็เพียงราชทินนามที่ผู้คนใฝ่หากันเท่านั้นซึ่งคนที่อยู่ในสามอันดับนี้ต่างก็ต้องจงรักภักดีต่อสหพันธ์เท่านั้นดังนั้นเมื่อมีบางคนไม่ยอมจงรักภักดีก็จะถูกลบชื่อออกไปทว่านอกจากจอมยุทธ์ที่อยู่ในสามอันดับนี้แล้วยังมีจอมยุทธ์คนอื่นๆที่อยู่ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพและระดับดาวอยู่จำนวนมากบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้และนอกเมืองยังมีผู้ที่ฝีมือแกร่งกล้ามากกว่าคนที่อยู่ในสามอันดับรวมกันถึงห้าเท่าด้วยซ้ำ!”
ข้าถึงกับชะงักไปเมื่อได้ยินเพราะถ้าเป็อย่างที่พี่เสวียนยินพูดจริงๆ ก็เท่ากับว่ามีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอยู่บนแผ่นดินมากเลยทีเดียว!พอรู้แบบนี้แล้วข้าก็รู้สึกว่าเทพศาสตราวุธก็เป็เพียงราชทินนามปลอมๆที่สหพันธ์สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองผู้คนในแผ่นดินเท่านั้นทว่าความเป็จริงกลับมีคนมากมายที่สามารถต่อสู้หรือถึงขั้นจัดการกับเทพศาสตราวุธพวกนี้ได้แต่แค่ไม่อยากทำเท่านั้น
“เ้าคงกำลังคิดถึงเื่การจัดอันดับเทพศาสตราวุธอยู่สินะ?” ปู้เสวียนยินถามด้วยรอยยิ้ม
“จะไม่ให้ข้าคิดได้ยังไงล่ะ”
ข้าบอกไปพร้อมกับลูบจมูกตัวเองสองสามทีแล้วพูดต่อ“เพราะเทพศาสตราวุธจะได้รับเบี้ยเลี้ยงของทางสหพันธ์ ข้าจึงอยากเข้าไปเป็ส่วนหนึ่งของเทพศาสตราวุธไงล่ะ”
“เื่แค่นี้เนี่ยนะ” ปู้เสวียนยินหัวเราะเบาๆ
ซูเหยียนเองก็หัวเราะก่อนจะพูดขึ้น“จริงๆแล้วข้าว่าการประลองครั้งนี้ท่านรองเ้าสำนักไม่จำเป็ต้องตามมาด้วยก็ได้นี่คะหรือท่านกำลังกังวลว่าหยู่หวินชิงอาจจะคิดทำร้ายปู้อี้เชวียนอย่างนั้นเหรอคะ?”
พี่เสวียนยินมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายไปแล้วพูดขึ้น“จริงๆ ข้าก็ไม่ได้เป็ห่วงเื่ของหยู่เหวินชิงหรอกนะเพราะตอนนี้ปู้อี้เชวียนก็ไม่จำเป็ต้องกลัวคนอย่างเขาอีกแล้วล่ะแต่สิ่งที่ข้าเป็ห่วงก็เพราะว่าในทุกๆ ปีจะต้องมีคนสังเวยชีวิตให้แก่การประลองซึ่งมีทั้งถูกสัตว์ิญญาฆ่า หรือถูกผู้เข้าร่วมการประลองด้วยกันฆ่าก็มีแถมครั้งนี้...ทางสำนักวรยุทธ์นักปราชญ์ก็ส่งศิษย์ที่แข็งแกร่งมากๆเข้าร่วมการประลองด้วยน่ะสิ ศิษย์ที่เยว่หลิงคัดมาประลองมีทั้งฟางชิงยวนและมู้เซวี่ยนที่ต่างก็รับมือได้ยากโดยเฉพาะเคล็ดวิชาโลกชิตของฟางชิงยวนที่ฝึกฝนจนสามารถผสานพลังระหว่างผู้ใช้กับ์ได้ซึ่งคนธรรมดาไม่มีทางจะสู้เขาได้และระหว่างที่อยู่ในสนามประลองคนที่พวกเ้าทั้งสามจะต้องคอยระวังมากที่สุดก็คือฟางชิงยวนกับมู้เซวี่ยนสองคนนี้แหละ”
ถังเชวียหรานพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้น“พวกเราจะจำเอาไว้ค่ะ!”
ปู้เสวียนยินได้ยินแล้วก็พูดต่อ“ถึงแม้ว่าฟางชิยวนจะได้รับฉายาว่าอัจฉริยะไร้เทียมทานทว่าจิตใจกลับคับแคบและโหดร้ายได้ยินมาว่าก่อนที่เข้าจะอายุได้ยี่สิบปีเคยถูกตระกูลหนึ่งซึ่งเป็อริกันสังหารล้างตระกูลจึงกลายเป็แผลลึกฝังใจฉะนั้นเมื่อใดที่ถูกทำร้ายก็จะต้องล้างแค้นและเป็ที่หนึ่งให้ได้ซึ่งในแต่ละปีเขาจะพยายาม่ชิงการเป็ที่หนึ่งด้วยฝีมือที่ร้ายกาจเมื่อเยว่หลิงเห็นว่าเขามีทั้งพร์ที่ร้ายกาจและฝีมือที่เด็ดเดี่ยวก็เลยรับเขาเป็ศิษย์ดังนั้นเมื่อพวกเ้ามีความจำเป็ที่จะต้องเผชิญหน้ากับฟางชิงยวนอย่างห้ามไม่ได้ก็จะต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับเขา”
ข้าขมวดคิ้วพลางถามด้วยความสงสัย“ท่านพี่ ท่านคิดว่าฟางชิงยวนจะฆ่าข้าหรือเปล่า?”
ปู้เสวียนยินตอบกลับด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความมั่นใจ“ถ้าเกิดเ้าขวางทางเขามันก็ไม่แน่...”
“แล้วถ้าถึงตอนนั้นพวกข้าควรทำยังไง?”
“ยังต้องถามอีกเหรอ?”
นางขมวดคิ้วเข้มก่อนจะพูดอย่างไม่ไว้หน้าใคร“ถึงจะเป็ศิษย์ของเยว่หลิงแล้วไงล่ะ? ถ้าฟางชิงยวนฆ่าเ้าจริงๆเ้าก็สู้มันให้ถึงที่สุดไปเลย ข้าเชื่อว่าน้องชายของข้าไม่มีทางแพ้ให้เขาหรอกนะ!ดังนั้นถ้าเขาคิดจะฆ่าเ้าจริงๆ ก็ไม่ต้องออมมือแต่จัดการมันให้สิ้นซากไปเลย!และถ้าเยว่หลิงคิดว่าฟางชิงยวนจะสามารถกลายเป็ผู้ฝึกฝนิญญาอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้เ้าก็ทำให้พวกมันผิดหวังเสียก็สิ้นเื่!”
“อืม!”
ปู้เสวียนยินหันไปมองซูเหยียนก่อนจะพูดขึ้น“ซูเหยียน ข้าว่าตอนนี้พ่อของเ้าน่าจะไปถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะ”
“ฮะ?”
ซูเหยียนถึงกับชะงักไปก่อนจะถามขึ้นอีก“เขา...เขาไปที่นั่นทำไมเหรอ?”
“เ้าเป็ถึงลูกสาวสุดที่รักของเขาที่กำลังจะเข้าร่วมการประลองเขาก็ต้องมาดูเป็ธรรมดาอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็การมองอยู่เฉยๆ ก็จะทำให้ผู้เข้าร่วมการประลองคนอื่นๆรู้สึกเกรงในอำนาจและไม่กล้าทำร้ายเ้าแม้ปลายเส้นผมข้าว่าถึงจะเป็ฟางชิงยวนก็ยังต้องหยุดคิดอยู่นานเลยล่ะ”
“อ่อ...”
ซูเหยียนตอบอย่างจำยอม
...
เสียงรถที่ดังฉึกฉักนานหลายชั่วโมงทำให้พวกเราหลับใหลไปด้วยความเมื่อยล้าซึ่งกว่าจะตื่นขึ้นมาก็เป็่พลบค่ำและเริ่มมาถึงสถานที่ที่ขนาบข้างไปด้วยทะเลกว้างซึ่งเส้นทางที่รางรถไฟวางอยู่มีขนาดเพียงหาสิบเมตรลาดยาวเข้าไปยังเกาะกลางทะเลนอกจากนั้นด้านข้างยังเต็มไปด้วยต้นสาลี่ที่ดอกกำลังบานสะพรั่งตลอดสองข้างทางยิ่งเข้าไปใกล้วิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศนั้นเงียบสงบลงไปทุกที
“ใกล้ถึงแล้ว”
ตอนนี้ทั้งซูเหยียนและถังเชวียหรานต่างก็ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว
พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่ามีแท่งหินสูงกว่าร้อยเมตรถูกสลักเป็รูปเป็ร่างตั้งเรียงรายอยู่ข้างทางโดย้าสุดรายล้อมไปด้วยพลังิญญาจางๆ ส่องแสงแพรวพราวและส่วนใหญ่ของหินที่ว่าต่างก็มีทั้งเห็ดและพืชเล็กๆ ขึ้นเกาะเต็มไปหมดซึ่งน่าจะเป็อารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนอย่างที่ผู้คนเคยเล่าขานกันมาพวกนั้นสินะ...
รถไฟขับเคลื่อนเข้าไปอีกไม่นานก็มีคนสวมชุดเกราะสีขาวซึ่งแต่ละคนต่างก็มีพลังในขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพเป็อย่างต่ำทั้งยังเหาะเหินเดินอากาศลอยวนไปมาระหว่างูเาสูง บ้างก็ถือกระบี่บ้างก็ถือหอกซึ่งแต่ละคนก็กำลังกวัดแกว่งอาวุธในมือเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์กันอย่างแข็งขันกันทั้งนั้น
หลังจากที่รถไฟหยุดลงและประตูถูกเปิดออกปู้เสวียนยินก็จัดกระโปรงของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น“ถึงที่หมายแล้ว พวกเราลงไปกันเถอะ!”
เมื่อเดินลงมาก็เจอกับผู้ฝึกฝนิญญาของวิหารศักดิ์สิทธิ์ยืนเรียงกันเป็ตับก่อนที่ชายแก่คนหนึ่งจะก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับไม้เท้าในมือแม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยตีนกาแต่สายตากลับชัดเจนแจ่มแจ้งและที่สำคัญคือการหายใจที่แปลกไป...เพราะจอมยุทธ์ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพทุกๆคนจะหายใจช้าตามพลังที่มากขึ้นซึ่งการหายใจเข้าและออกของจอมยุทธ์ในขั้นนี้จะห่างกันประมาณสิบวินาทีทว่าการหายใจของชายแก่ท่านนี้กลับห่างกันถึงยี่สิบวินาที!นั่นแปลว่าพลังของเขามีมากเกินกว่าจะคาดเดา...
“ในที่สุดพวกเ้าก็มากันสักทีนะ เสวียนยิน...สำนักใหญ่อื่นๆต่างก็มาพร้อมกันหมดแล้ว เหลือก็แต่พวกเ้านี่แหละ”
ปู้เสวียนยินเห็นแล้วก็โค้งคำนับอย่างสง่างามก่อนจะพูดขึ้น“ข้าน้อยปู้เสวียนยินคารวะท่านผู้าุโ!”
ที่แท้ชายแก่คนนี้ก็คือผู้าุโที่คอยควบคุมเื่ต่างๆของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ซึ่งมีพลังรองจากพวกเจ็ดเทพแห่งแผ่นดินใหญ่แห่งนี้สินะ!และแน่นอนว่าเจ็ดเทพเป็ถึงจอมยุทธ์ผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินใหญ่และไม่มีทางจะปรากฏตัวออกมาให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับพวกเรา
คนที่ได้รับการขนานนามว่าผู้าุโท่านนั้นมองดูศิษย์แต่ละคนที่เดินลงจากขบวนรถไฟแล้วพูดขึ้น“ไม่เลว...ดูเหมือนว่าศิษย์ที่สำนักหมื่นิญญาคัดมาครั้งนี้จะมีพวกเสือซ่อนเล็บอยู่ด้วยสินะ...”
หลัวเสียนได้ยินแล้วก็พูดขึ้น“ไม่ขนาดนั้นหรอกขอรับท่านผู้าุโ”
“ไปกันเถอะเดี๋ยวข้าจะพาพวกเ้าไปยังที่พักเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประลองที่จะเกิดขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้”
“ขอรับ!”
...
ที่พักของวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็สถานที่ง่ายๆซึ่งแต่ละคนต่างก็มีห้องพักเล็กๆ เป็ของตัวเองเมื่อพวกเราจัดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาของอาหารเย็นพอดีจึงทำให้ผู้เข้าร่วมการประลองแต่ละคนต่างก็มาออกันอยู่ในวิหาริญญาขนาดใหญ่
โดยอาหารการกินก็ง่ายๆคือโจ๊กคนละชามกับอาหารประเภทหัวมันหนึ่งจานที่เหมือนกันทุกคน
ท่านผู้าุโยืนอยู่ด้านข้างรูปปั้นเทพขนาดใหญ่พร้อมกับไม้เท้าในมือพูดขึ้น“ผู้เข้าร่วมการท้าประลองทุกท่านพวกเ้าจงไปรับสายรัดข้อมือิญญากับขลุ่ยของตัวเองอย่างเป็ระเบียบ”
พวกเราต่างเดินเรียงแถวกันไปรับสายรัดข้อมือสีเขียวกับขลุ่ยเลาหนึ่งจากทหารองครักษ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนายที่ยืนอยู่
พอเสร็จเรียบร้อยท่านผู้าุโก็พูดขึ้นต่อ“ตอนนี้ก็ใช้พลังิญญาและจิตใจในตัวของพวกเ้าผูกเข้ากับสายรัดข้อมือเส้นนั้นซะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นข้าก็ทำตามอย่างที่เขาว่าหลังจากนั้นก็มีแสงสีเขียวเกิดขึ้นภายในสายรัด ซึ่งพลังมีความยาวเพียงครึ่งเิเเท่านั้น
ท่านผู้าุโคนเดิมพูดต่อ“สายรัดข้อมือจะผูกจิตเข้ากับตัวพวกเ้าและจะเก็บรวบรวมคะแนนเมื่อพวกเ้าสังหารสัตว์ิญญาในสนามประลองครั้งนี้ทั้งหมดโดยคนที่มีคะแนนจากการสังหารมากที่สุดและสามารถเข้าไปในชั้นที่เจ็ดของสนามประลองได้ก็จะกลายเป็ผู้ชนะอันดับหนึ่งและได้รับของรางวัลที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เตรียมไว้ให้”
พี่เสวียนยินที่ยืนอยู่ข้างตัวข้ากระซิบเบาๆที่ข้างหู “ตามกฎของวิหารศักดิ์สิทธิ์เมื่อสังหารสัตว์ิญญาระดับหนึ่งจะได้หนึ่งคะแนน ระดับสองได้สามคะแนนระดับสามได้ห้าคะแนนและสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อสังหารสัตว์ิญญาระดับหกได้จะได้ห้าสิบคะแนนระดับเจ็ดหนึ่งร้อยคะแนน และระดับแปดจะได้รับทั้งหมดห้าร้อยคะแนน!แต่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสัตว์ิญญาระดับแปดจะดีที่สุด”
ข้าถึงกับชะงักไปเมื่อได้ยิน“มีสัตว์ิญญาระดับแปดด้วยเหรอ?”
“อืม”
นางหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูด“ก็มีแค่ตัวเดียวเท่านั้นแหละ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันและอีกอย่างคือสนามเซินยวนมีทั้งหมดเจ็ดชั้นสร้างจากผู้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้มันมีภาพลวงตาอยู่มากมายจนยากที่จะแยกแยะทว่าสัตว์ิญญาจะเป็สัตว์จริงๆ ทั้งหมด โดยั้แ่ชั้นที่หนึ่งจนถึงชั้นที่เจ็ดจะมีชื่อซึ่งแบ่งออกเป็ชั้นหนึ่งคือโลกทุ่งร้าง สองคือแผ่นดินหิมะ สามคือแอ่งลาวาโลกันตร์ สี่คือโลกอำมหิตห้าคือจักรภพธารา หกคือเหวโลกันตร์และเจ็ดก็คือมิติกระจกถ้ายิ่งลงไปยังชั้นที่ลึกก็จะยิ่งอันตราย ซึ่งแต่ละชั้นจะมีหินาาสรรพสัตว์ที่ผลิตขึ้นจากการหลอมพลังที่ใช้ส่งตัวผู้เข้าร่วมการแข่งขันไปยังชั้นต่อๆไป และเ้าจะต้องจำไว้ว่าจะต้องระวังตัวให้มากๆ!”
“อืม ข้ารู้แล้วล่ะ รับรองว่าข้าจะปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน”
“ก็ดี ข้าเชื่อในตัวเ้าเสมอ!”
ข้าจับขลุ่ยในมือเล่นไปมาก่อนจะถาม“แล้วไอ้เ้านี่มีไว้ทำอะไร?”
“มันคือขลุ่ยกระดูกที่ท่านาุโนำพลังิญญาใส่เข้าไปด้านในเมื่อผู้เข้าร่วมการประลองรับมือกับการโจมตีของทั้งสัตว์ิญญาและผู้เข้าร่วมการประลองด้วยกันไม่ไหวก็ให้เป่าขลุ่ยนี้และมันจะพาผู้ที่เป่ากลับออกมาจากสนามทันทีเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายที่อาจถึงชีวิตของผู้เข้าร่วมการประลองทุกๆคน”
ว่าแล้วนางก็ล้วงเอาเส้นด้ายสีเทาเส้นหนึ่งออกมาแล้วร้อยเข้ากับขลุ่ยกระดูกเล็กๆและห้อยไว้ที่คอของข้าก่อนจะพูดขึ้น“เ้านี่จะเป็ตัวช่วยชีวิตที่ดีที่สุดของเ้าเมื่ออยู่ในสนามประลองดังนั้นจะต้องรักษาไว้ให้ดี”
“อืม ข้ารู้แล้วน่า!”
...
เวลาอาหารค่ำยังไม่ทันได้จบลงก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกโดยคนที่เดินนำมาก็คือซูซีเฉิงที่สวมชุดคลุมเสนาบดีของสหพันธ์ถัดจากนั้นก็จะเป็คนที่มีตราสัญลักษณ์พลเอกและพลโทเดินตามเข้ามาซึ่งแต่ละคนก็อยู่ในชุดของพันธมิตรนักปราชญ์ขาวที่ทรงพลังจนยากจะหยั่งถึงด้านนอกคือองครักษ์เืัที่ยืนล้อมวิหารแห่งนี้เอาไว้จนรอบ
ผู้าุโถึงกับใแล้วยื่นไม้เท้าให้คนอื่นรับไปก่อนจะเดินเข้ามาทำความเคารพ“ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้ล่ะขอรับท่านเสนาบดี?”
ซูซีเฉิงยิ้มกว้างก่อนจะบอก“ซูเหยียนลูกสาวของข้าก็เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ด้วยข้าก็เลยว่าจะมาดูแลนางสักหน่อย ท่านผู้อาสุโสก็คงจะไม่ขัดอะไรใช่ไหม?”
“ถ้าเป็เช่นนั้นข้าน้อยจะขัดได้อย่างไรล่ะขอรับ เชิญท่านนั่งได้เลยขอรับ”
“ขอบคุณมากท่านผู้าุโ”
ผู้เข้าร่วมการประลองแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมากันถ้วนหน้าบ้างก็เคารพและศรัทธา แต่บ้างก็ทำท่าทีไม่สนใจเหมือนอย่างฟางชิงยวนและมู้เซวี่ยนส่วนเยว่หลิงก็นั่งหลับอยู่บนโต๊ะแม้ว่าซูซีเฉิงจะเดินเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองเลยสักนิดราวกับว่าไม่ได้คิดจะให้เกียรติเสนาบดีของสหพันธ์ท่านนี้ั้แ่แรกอยู่แล้ว
ทว่าพลังของเยว่หลิงก็สามารถที่จะไม่ให้เกียรติซูซีเฉิงได้จริงๆ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้